เล่มที่ 6 บทที่ 169 แปลกประหลาด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้กับฮูหยินของเขา เกรงว่าเขาคงเกลียดพวกเราไปแล้ว”

  จนกระทั่งตอนนี้ หลินเมิ้งหยาก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะรักษาชีวิตของฮูหยินหวังได้หรือไม่

  บาดแผลจะติดเชื้อหรือไม่? การผ่าตัดของนางสำเร็จหรือเปล่า? ฮูหยินหวังจะทนไหวหรือไม่?

  นางมิอาจล่วงรู้สิ่งเหล่านี้ได้

  “หวังฮั่นหลินกับฮูหยินหวังรักกันมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหวังฮั่นหลินมิเคยมีอนุภรรยา เขาค่อนข้างให้เกียรติฮูหยินหวังมาก”

  ในเมืองหลวง หลงเทียนอวี้คอยจับตามองการเคลื่อนไหวของพวกขุนนางแนวหน้าอยู่เสมอ

  ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะรู้เรื่องเหล่านี้

  หากหวังฮั่นหลินกับฮูหยินหวังมีความรู้สึกดีต่อกันอย่างลึกซึ้ง อย่างน้อยหากหลงเทียนอวี้ตามตัวเขามาที่ห้องอ่านหนังสือ เขาควรจะร้องโวยวายและขอพบภรรยาของตนเองมิใช่หรือ?

  “เขาเป็นคนเช่นไร? ขัดแย้งกับพระองค์หรือไม่?”

  หลงเทียนอวี้ครุ่นคิด

  “ไม่หรอก เขาเพียงแต่ร้องไห้ออกมา อีกทั้งยังบอกอีกว่าเขาอยากอยู่ในห้องอ่านหนังสือเพียงคนเดียว ไม่อยากพูดกับใคร”

  หลินเมิ้งหยาที่เป็นคนมีสัญชาตญาณว่องไวรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

  ตอนที่แม่ของนางจากไป ได้ยินว่าท่านพ่อกระอักออกมาเป็นเลือด อีกทั้งยังตกอยู่ในอาการโศกเศร้านานกว่าครึ่งปี

  ตอนที่ได้เห็นศพของท่านแม่เขาเจ็บปวดเจียนตาย

  อาจจะไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่เป็นเช่นนี้แต่หวังฮั่นหลินน่าสงสัยเหลือเกิน

  “ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ควรกลับไปที่ห้องอ่านหนังสือแล้วดูด้วยตนเองเพคะว่าที่ห้องมีอะไรหายหรือเพิ่มขึ้นมาหรือไม่”

  หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าหวังฮั่นหลินแปลกมากจริงๆ

  หากฟังจากคำพูดของหลงเทียนอวี้แล้ว ตอนที่เกิดเรื่องกับฮูหยินหวังเขาควรจะสั่งให้คนมาล้อมตำหนักหลิวซินเอาไว้

  ฉะนั้นคนที่รู้ความจริงทั้งหมดแต่ยังไปยังตำหนักฉินหวู่มีเพียงคนของนางและคนของหลงเทียนอวี้เท่านั้น

   อีกทั้งคนเหล่านั้นจะไม่มีทางพูดอะไรก็ตามที่ไม่ได้รับคำสั่งจากพวกนางทั้งสอง

  แต่ก็มิได้บอกว่าจะไม่มีใครปล่อยให้ข้อมูลรั่วไหล

  ถึงอย่างไรนางก็ยังรู้สึกผิดปกติแต่ผิดปกติอย่างไรนางมิอาจบอกได้

  “เจ้าคิดว่าหวังฮั่นหลินผิดปกติ?”

  ภายในห้องมีเพียงพวกเขาทั้งสองดังนั้นจึงมิได้พูดจาอ้อมค้อม

  หลินเมิ้งหยาพยักหน้า อยู่ๆ ก็รู้สึกปวดหัว

  เรื่องนี้วุ่นวายเหลือเกิน นางอยากทำทุกอย่างให้ราบรื่นแต่เรื่องราวกลับมากเกินกว่าจะจัดการได้

  “เพคะ บางทีหม่อมฉันอาจคิดมากเกินไป หม่อมฉันยังถูกขังอยู่ดังนั้นจึงทำอะไรไม่สะดวก ท่านอ๋องได้โปรดระวังตัวด้วย”

  นางทรุดกายลงนั่งบนตั่งข้างหน้าต่าง หลินเมิ้งหยาเลื่อนนิ้วมือขาวราวหิมะนวดหว่างคิ้ว

  หลังจากผ่านการผ่าตัดที่ต้องอาศัยความแม่นยำและความรวดเร็ว หลินเมิ้งหยารู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย

  ทว่าเรื่องราวมากมายกลับโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อนจนนางรู้สึกว่าไม่อาจรับไหว

  หลงเทียนอวี้มองใบหน้านิ่วคิ้วขมวดของหลินเมิ้งหยา เขารู้สึกปวดใจเล็กน้อย

  “เจ้าเป็นอะไร?”

  หลินเมิ้งหยาสะดุ้งตกใจ จู่ๆ ร่างของนางก็ถูกหลงเทียนอวี้อุ้มขึ้นมา

  นางเบิกตาโตมองดูใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้า หัวใจเต้นเป็นจังหวะระรัว

  เขาอุ้มหลินเมิ้งหยาแต่กลับรู้สึกว่าตัวนางเบาหวิวราวกับไร้น้ำหนัก

  คิ้วขมวดเข้าหากัน ผอมเกินไปจะไม่ดีต่อสุขภาพ

  เขาโน้มตัวลงค่อยๆ วางร่างของนางลงบนเตียง

  จากนั้นจึงถอดรองเท้าให้นางแล้ววางไว้ที่ข้างเตียง

  “ลมตอนกลางคืนค่อนข้างแรงเจ้าห่มผ้าให้หนาหน่อย หากหนาวก็บอกให้ป๋ายจีจุดไฟให้”

  เขาออกคำสั่งอย่างอ่อนโยน หลงเทียนอวี้หยิบผ้าห่มขึ้นคลุมร่างของนาง

  “เพคะ”

    หลินเมิ้งหยาได้รับการดูแลด้วยความใส่ใจจากหลงเทียนอวี้จนเหม่อลอย นางไม่รู้ว่าควรตอบเขาเช่นไร

  เขาคือหลงเทียนอวี้ผู้เย็นชาคนนั้นจริงหรือ?

  “เรื่องในจวนลำบากเจ้ามามาก ข้ารู้ว่าหรูฉินยังมิรู้ความ แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นหลานที่หมู่เฟยรัก หากเจ้าสามารถไว้ชีวิตนางได้ก็ไว้ชีวิตนางเพื่อเห็นแก่หน้าหมู่เฟยเถิด”

  ร่างกายของหลินเมิ้งหยาแข็งทื่อ ความเจ็บปวดแล่นพล่าน

  ที่แท้เขาทำดีกับนางก็เพราะต้องการรักษาชีวิตของญาติผู้น้องคนนั้น

  นางซ่อนความผิดหวังในแววตา แม้แต่หลงเทียนอวี้เองก็คงมองออกว่าธนบัตรใบนั้นเป็นของเจียงหรูฉิน

  “พระองค์วางใจเถิด หม่อมฉันจะปกป้องดูแลบ้านสกุลเจียงเอง ส่วนหรูฉิน หม่อมฉันจะไม่ทำร้ายนางอย่างแน่นอน”

  ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก

  แม้จะเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นนางเองก็ควรเข้าใจ

  แต่เพราะอะไรกันนะ เหตุใดนางจึงต้องรู้สึกโศกเศร้าเช่นนี้

  “อยากกินอะไร? ข้าจะบอกให้โรงครัวทำให้เจ้า”

  หลงเทียนอวี้เพียงเอ่ยเรื่องนี้ออกมาลอยๆ เท่านั้น เหตุเพราะเขากลัวพระสนมเต๋อเฟยจะเสียใจจึงได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา

  แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะผินหน้าไปอีกทาง หลับตาลงก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ

  “หม่อมฉันเหนื่อยแล้ว อยากนอนพักผ่อน ท่านอ๋องกลับไปเถิดเพคะ”

  เหนื่อย? หลงเทียนอวี้มองดูหลินเมิ้งหยาพลันเกิดความคิดบางอย่างในใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงครัวเพื่อทำอะไรบางอย่างมาบำรุงร่างกายของหลินเมิ้งหยา

  ด้านหลังเมื่อสิ้นเสียงปิดประตู

  ดวงตาที่ปิดสนิทพลันลืมขึ้น

  หยักยิ้มขมขื่นพลางส่ายหน้า เหตุใดนางจึงต้องทุกข์ใจด้วยเล่า?

  ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าตนเองกับหลงเทียนอวี้มีประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น แต่เพราะเหตุใดนางจึงไม่อาจหักห้ามหัวใจของตนเองได้?

  ขณะที่กำลังรู้สึกหดหู่ จู่ๆ ชามโจ๊กที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าโดยมิทันตั้งตัว

  เมื่อมองตามโจ๊กสีขาวนวลถ้วยนั้นก็เห็นเป็นชิงหูที่ถือถ้วยโจ๊กอยู่ส่งยิ้มหล่อเหลาขณะมองมาทางนาง

  “ทำไมถึงเอาโจ๊กมาให้ข้ากินเล่า ข้าไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้ว ของแบบนี้มิอาจคลายความหิวของข้าได้หรอก”

  แม้จะบ่นอุบอิบ ทว่านางก็ยื่นมือไปรับถ้วยโจ๊กมา

  โจ๊กถ้วยนี้ดูออกจะธรรมดา แต่กลับเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ

  หน่อไม้หั่นเต๋า ข้าวโพดชิ้นเล็ก เห็ดหอมที่ถูกหั่นเป็นแว่น วัตถุดิบทั้งสามอย่างทำให้รสชาติของโจ๊กหอมหวานละมุนลิ้น

  กินเข้าไปไม่กี่คำก็กินหมด นางมองชิงหูด้วยแววตาน่าสงสารเพื่อสื่อให้เขาเห็นว่านางยังไม่อิ่ม

  “เจ้า…ยังกินต่อได้อีกหรือ?”

  ชิงหูลองถามหยั่งเชิงก่อนจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากหลินเมิ้งหยา

  ดวงตาเปล่งประกายด้วยความพิศวง มือยื่นไปรับถ้วยจากนาง ก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์

  “บางทีข้าคงคิดมากเกินไป ข้าหลงนึกว่าเจ้าจะกินอะไรไม่ลงหลังจากต้องเจอเรื่องมากมายเหล่านั้น”

  ฉะนั้นเขาจึงเลือกวัตถุดิบสามอย่างนี้เพราะคิดว่าหากใส่เนื้อเข้าไป หลินเมิ้งหยาอาจจะนึกถึงเลือดและเนื้อจากเหตุการณ์เมื่อครู่

  “ไม่เป็นไรหรอก ข้าอยากกินของอร่อยๆ เจ้าทำให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”

  ล้อเล่นหรือไร นางเป็นนักเรียนแพทย์มานานถึงห้าปี นางไม่มีทางกลัวอวัยวะภายในเหล่านั้นหรอก

  ตอนที่เริ่มเรียนครั้งแรกอย่าว่าแต่การผ่าศพเลย ขนาดเอากบมาผ่าดูอวัยวะ นักเรียนแพทย์หญิงจำนวนไม่น้อยอ้วกแตกอ้วกแตน

  แน่นอนว่าหลินเมิ้งหยาเพียงแค่หน้าซีดและกินอาหารมังสวิรัติไปหนึ่งปีเต็ม

  แต่เมื่อเข้าสู่ปีที่สองนักเรียนทุกคนก็เริ่มชินชา

  ต่อมาทุกครั้งที่เลิกเรียน ทุกคนเริ่มที่จะพูดคุยเรื่องอวัยวะภายในขณะกินหมูตุ๋นน้ำแดงได้โดยไม่รู้สึกสะอิดสะเอียน

  เหตุเพราะแบบนี้นักเรียนแพทย์จึงถูกเรียกว่านักเรียนปีศาจ

  ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นกับฮูหยินหวังจึงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

  “เฮ้อ ข้านับถือเจ้าจริงๆ เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย ตกลงเจ้าเป็นผู้หญิงจริงๆ หรือ?”

  ชิงหูรู้สึกหมดคำจะกล่าว ยกมือกุมขมับพลางถอนหายใจ

  หลังจากที่เขาฆ่าคนครั้งแรก เหตุเพราะได้เห็นเลือดที่พวยพุ่งออกมาเป็นจำนวนมากดังนั้นเขาจึงอาเจียนไปสามวันสามคืนและกินอะไรไม่ลง

  แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้จะไม่รู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น

  “ข้าเป็นผู้หญิงหรือไม่ จำเป็นต้องสงสัยเรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?”

  หลินเมิ้งหยายืดอกขึ้น สีหน้ามีเลศนัยระคนข่มขู่

  ชิงหูรีบเผ่นออกไปทันทีโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง มือถือถ้วยโจ๊กวิ่งออกจากห้องของหลินเมิ้งหยาไป

  ในที่สุดรอยยิ้มก็ปรากฏอยู่บนใบหน้า

  ขอเพียงมีเขาอยู่นางก็รู้สึกราวกับว่าตนเองไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร

  สุดท้ายแล้วบนโต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่กลับมีเพียงหลินเมิ้งหยาและป๋ายจื่อเท่านั้นที่กินข้าวได้อย่างหน้าตาเฉย

  สาวใช้อีกสามคนที่เหลือพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกสะอิดสะเอียนเอาไว้ ดังนั้นจึงทำเพียงนั่งจิบชา

  “เจ้าเด็กน้อย สงวนท่าทีการกินอย่าให้มูมมามนักเลย ขนาดหมาข้างถนนยังกินเรียบร้อยกว่าเจ้าอีก”

  ชิงหูกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร เขากินอาหารด้วยท่าทางสบาย ๆ

  ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้เห็นหลินเมิ้งหยายัดอาหารเข้าปากเป็นว่าเล่น เขาก็รู้สึกมีความสุขเหลือเกิน

  “ไป ไป ไป ถ้าพูดอะไรดีๆ ไม่เป็นก็ไม่ต้องพูด เจ้าน่ะสิหมาข้างถนน”

  หลินเมิ้งหยาถลึงตาใส่ชิงหู เรื่องนี้จะว่านางก็ไม่ถูก

  เมื่อก่อนตอนที่นางทำการทดลองกับอาจารย์ นางมักจะไม่ได้กินอะไรเลยตลอดทั้งวัน

  จากนั้นเมื่อกลับมาถึงหอในตอนเย็น นางจะสวาปามอาหารอย่างบ้าคลั่ง

  วันนี้นางรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน

  “นายหญิงกินเยอะหน่อยนะเจ้าคะ วันนี้ท่านเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

  ป๋ายจีเองก็ถลึงตาใส่ชิงหู แม้ที่ตำหนักแห่งนี้จะมีคนมากมาย แต่คนที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุดกลับเป็นนางเพียงคนเดียว

  เมื่ออยู่ไปนานวันเข้า นางจึงกลายเป็นผู้อาวุโสประจำตำหนัก

  แม้แต่ชิงหูเองก็ต้องไว้หน้านางเช่นเดียวกัน

  “จริงสิป๋ายจี เรื่องที่ข้าบอกให้ตามครอบครัวของเจ้ามาพบ เจ้าหาคนส่งข่าวไปแล้วหรือยัง?”

  หลินเมิ้งหยาลิ้มรสอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย อันที่จริงชิงหูเป็นผู้เตรียมอาหารเหล่านี้ด้วยตนเอง

  วันนี้ทั้งวัน คนในตำหนักยังไม่ได้กินข้าวเลยแม้แต่คนเดียว

  ไม่ว่าพรุ่งนี้จะต้องเจอกับเรื่องอะไรแต่วันนี้ท้องต้องอิ่มก่อน

  “ยังเลยเจ้าค่ะ ช่วงนี้งานที่จวนค่อนข้างยุ่ง ข้ากลัวพวกเขาจะมาสร้างความวุ่นวาย”

  สีหน้าของป๋ายจีเผยให้เห็นความลำบากใจ

  หลินเมิ้งหยาหัวเราะแล้วหันไปทางป๋ายซ่าว

  “จริงสิป๋ายซ่าว ข้าจำได้ว่าเจ้ายังมีแม่กับน้องชายและน้องสาวใช่หรือไม่?”

  ป๋ายซ่าวชะงัก มีสีหน้าลังเล

  “เช่นนั้นเจ้าเรียกครอบครัวของเจ้ามาที่ด้วยกันเลยเถิด ข้ามีเรื่องรบกวนครอบครัวของเจ้า”

  เรื่องนี้เพิ่งจะพูดคุยกับป๋ายจีและป๋ายซ่าวพร้อมกันต่อหน้า

  อันที่จริงพวกนางทั้งสี่คนล้วนเหมือนกัน ป๋ายจีกลัวว่าป๋ายซ่าวจะคิดว่าหลินเมิ้งหยาลำเอียง

  ทว่าป๋ายซ่าวกลับไม่เคยคิดเช่นนั้น หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักนางกลับส่ายหน้า

  “อย่าดีกว่าเจ้าค่ะนายหญิง ครอบครัวของข้า…พวกเขาเป็นคนหยาบกระด้าง ไม่อาจทำงานเป็นชิ้นเป็นอันได้ เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะลำบากนายหญิงเปล่าๆ เจ้าค่ะ”