เพียงเห็นท่าทางของป๋ายซ่าว หลินเมิ้งหยาก็รู้ได้ทันทีว่านางจะต้องมีอะไรปิดบังอยู่
นางยิ้มและไม่พูดเรื่องนี้อีก
“จริงสินายหญิง ฮูหยินหวังยังนอนนิ่งอยู่ในห้องนั้น นาง…นางยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่หรือเจ้าคะ?”
เมื่อพูดถึงฮูหยินหวัง สีหน้าของป๋ายซ่าวกับป๋ายซูพลันเปลี่ยนไป
มีเพียงป๋ายจื่อที่ยังกินอาหารโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ไม่รู้ซิ แต่คงจะปล่อยให้นางอยู่ที่นั่นไม่ได้ ข้าจะลองหาวิธีและลองหาสถานที่เงียบสงบให้กับนาง”
ป๋ายจีเล่าว่าฤทธิ์ของยาแกล้งตายหมดลงแล้ว
ฮูหยินหวังยังคงมีลมหายใจ ถึงแม้จะอ่อนแรงแต่ก็น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
หากมิใช่เพราะป๋ายซูตั้งใจฟังจนสังเกตเห็นลมหายใจของฮูหยินหวังแล้วล่ะก็ พวกเขาคงไม่เชื่อว่านางยังมีชีวิตอยู่
“แต่เพราะเหตุใดนายหญิงจึงไม่ส่งตัวฮูหยินหวังกลับจวนไปเล่าเจ้าคะ?”
ป๋ายจีมองหลินเมิ้งหยา นางรู้สึกว่านายหญิงช่วยชีวิตฮูหยินหวังด้วยความยากลำบาก ตอนนี้ควรจะมอบตัวนางกลับไปให้คนที่บ้านดูแล
ทว่านายหญิงกลับไม่มีวี่แววว่าจะส่งนางกลับไป
“เมื่อช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นอาการของนางยังอยู่ในขั้นวิกฤติ พวกเจ้าต้องปิดปากให้สนิทปล่อยให้คนภายนอกคิดว่านางตายไปแล้ว”
หลินเมิ้งหยาได้ยินมาว่าฮูหยินหวังมาจากตระกูลของทหารผู้กล้า
นางได้รับความรักจากครอบครัวมาตั้งแต่เกิด
ตอนที่แต่งงานกับหวังฮั่นหลิน ตอนนั้นเขายังเป็นเพียงคนมีพรสวรรค์ที่ยากจน
แต่เพราะฮูหยินหวังเป็นคนหนักแน่น เมื่อญาติฝ่ายหญิงเห็นว่าไม่มีทางเลือกจึงใช้เส้นสายทำให้หวังฮั่นหลินได้ตำแหน่งในปัจจุบันมาครอบครอง
ดังนั้นคำพูดของฮูหยินหวังจึงกลายเป็นคำขาด
ชายอ่อนแอต้องพึ่งพาอาศัยบ้านของทางฝ่ายหญิง เมื่อลองครุ่นคิดดูแล้วเรื่องนี้อาจสร้างความอับอายให้แก่เขาไม่น้อย
แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าหากส่งตัวฮูหยินหวังกลับไปเช่นนั้น อัตราการเสียชีวิตของนางจะมากถึงร้อยเท่า
“โอ้กกก…นายหญิง ข้าขอตัวก่อน”
“โอ้กกก…ข้าก็ด้วย”
ขณะที่กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ อยู่ๆ ป๋ายจีกับป๋ายซ่าวก็รู้สึกอยากอาเจียนจึงขอตัวออกไปก่อน
“พวกนางเป็นอะไรไป?”
หลินเมิ้งหยาหันไปมองชิงหูด้วยความสงสัย แต่เขากลับชี้นิ้วไปทางป๋ายจื่อ
“ข้าเองก็ไม่รู้ แปลกจังเลย”
ป๋ายจื่อใช้ตะเกียบคีบหัวใจหมูขึ้นมา มองทางหลินเมิ้งหยาด้วยความสงสัย
หลินเมิ้งหยาเพิ่งรู้ว่าบนโต๊ะมีทั้งหัวใจหมู ตับหมู ไส้หมู ทุกอย่างที่เป็นเครื่องในของหมู
มองดูชิงหูที่เก็บซ่อนรอยยิ้มมีเลศนัยเอาไว้ไม่ทัน หลินเมิ้งหยาก็โยนตะเกียบใส่เขา
“เจ้าตั้งใจใช่หรือไม่”
ชิงหูเอี้ยวตัวหลบตะเกียบของหลินเมิ้งหยาแล้วจิบชาด้วยท่วงท่าสง่างาม
“หากเจ้าติดตามข้าไป รับรองว่าจะต้องเจอเรื่องพวกนี้มากมายอย่างแน่นอน บางทีพวกนางอาจจะไม่อยากอาหารอีกเลย”
ชิงหูพูดอย่างมีเหตุผลแต่เรื่องพวกนี้ควรค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า
ถึงอย่างไรสาวใช้ทั้งสี่ยกเว้นป๋ายซู พวกนางก็ล้วนเป็นเพียงเด็กสาวที่มาจากครอบครัวธรรมดา
“ใช่แล้ว อีกหน่อยคงได้เจอเรื่องพวกนี้มากขึ้น จริงสิ สถานการณ์ทางเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ได้ยินข่าวอะไรมาบ้างหรือไม่?”
ตำหนักถูกเก็บกวาดจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว ประตูตำหนักของนางปิดสนิท
ตอนนี้มีเพียงชิงหูที่สามารถฟังข่าวสารจากภายในและภายนอกได้
“เป็นไปตามที่เจ้าคาด หวังฮั่นหลินมิใช่คนรักเดียวใจเดียว”
คนที่ชิงหูตามสืบประวัติเป็นคนแรกคือหวังฮั่นหลิน
“เขายังมีจวนอยู่ที่เมืองฝั่งตะวันตกอีกแห่งหนึ่ง ข้าลองไปตรวจสอบมาแล้ว ที่นั่นไม่เพียงมีอนุภรรยาแสนสวย แต่ยังมีลูกด้วยกันอีกด้วย ดูเหมือนพวกเขาจะอยู่กินกันมานานแล้ว หวังฮั่นหลินคนนั้นปิดบังข้อมูลเอาไว้อย่างดีจึงไม่มีใครรู้เรื่องนี้ อีกทั้งเพื่อนบ้านที่จวนแห่งนั้นยังเล่าว่าฮูหยินและลูกไม่ค่อยออกไปนอกบ้าน”
ทันทีที่ฮูหยินหวังตายใต้เท้าหวังก็รีบไปรายงานที่บ้านอนุภรรยาเลยอย่างนั้นหรือ?
หวังฮั่นหลินจอมเจ้าเล่ห์
“จริงสิ หวังฮั่นหลินกับฮูหยินหวังไม่มีลูกด้วยกันอย่างนั้นหรือ?”
ชิงหูส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย
“มีเพียงลูกสาวคนเดียว แต่เพราะร่างกายไม่แข็งแรงดังนั้นจึงมิได้มาร่วมงานเลี้ยงในคราวนี้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้ยินมาว่าลูกสาวของฮูหยินหวังร้ายกาจมากแต่นางใกล้จะออกเรือนแล้ว”
แต่เพราะเกิดเรื่องนี้กับฮูหยินหวังขึ้น คุณหนูหวังคงต้องเลื่อนงานแต่งออกไปอีกหนึ่งปีเต็ม
ได้ยินมาว่าลูกสาวของฮูหยินหวังร้ายกาจ หลินเมิ้งหยาฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“พอผ่านช่วงนี้ไป เจ้าจงไปเชิญคุณหนูหวังมาหาข้า ข้ามีเรื่องต้องคุยกับนาง”
มองดูใบหน้าของหลินเมิ้งหยาที่แสยะยิ้มมีเลศนัย ชิงหูเข้าใจทันทีว่านางจะต้องมีแผนการร้ายอะไรบางอย่าง
“เจ้านี่หนา ร้ายกาจจริงเชียว”
หลังจากท้องอิ่ม หนังตาก็เริ่มหย่อน หลินเมิ้งหยานอนหลับสนิทบนเตียงตลอดคืน
เมื่อตื่นขึ้นมาสาวใช้ทั้งสองช่วยนางล้างหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนที่หลินจงอวี้จะพรวดพราดเข้ามา
“พี่สาว พี่สาว ได้ยินข่าวแล้วหรือไม่?”
หลินจงอวี้มีสีหน้าประหนึ่งคนที่กำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ปากร้องโหวกเหวกเสียงดัง
“ไอหยา เจ้าเก็บเงินได้หรือ? เหตุใดจึงดีใจมากถึงเพียงนี้?”
หลินเมิ้งหยาที่สวมใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ฉุดหลินจงอวี้นั่งลงกินข้าวเช้าด้วยกัน
“ข้าได้ยินมาว่าสาวใช้คนนั้นตายก่อนจะถึงคุกด้วยซ้ำ ไท่จื่อโกรธจนตัวสั่น แต่ก็มิอาจทำอะไรได้”
หลินจงอวี้แสดงสีหน้าของไท่จื่อยามโกรธจนตัวสั่นออกมาให้หลินเมิ้งหยาดู
เมื่อซิ่งเอ๋อร์ตายนั่นเท่ากับว่าหลักฐานทุกอย่างถูกทำลายลงแล้ว
แม้ไท่จื่ออยากจะง้างปากซิ่งเอ๋อร์เพื่อผลักหลงเทียนอวี้และสกุลเจียงลงไปในน้ำแต่ก็มิอาจทำได้
“สาเหตุการตายเล่า?”
ไท่จื่อจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้อย่างแน่นอน
หลินจงอวี้มีท่าทีแปลกไป เขายกนิ้วโป้งขึ้น
“พี่สาว ท่านลงมือตั้งแต่ตอนไหนกัน! คนของข้าลองสืบดูแล้ว ซิ่งเอ๋อร์ตายเพราะยาพิษ แต่ก่อนตายนางถูกทำให้หัวใจหยุดเต้นก่อนดังนั้นจึงไม่มีโอกาสรอด”
หลินจงอวี้รู้สึกเลื่อมใสหลินเมิ้งหยามาก
สวรรค์โปรดเมื่อคืนมีคนมากมายคิดปองร้ายซิ่งเอ๋อร์ ไท่จื่อจึงส่งทหารองครักษ์ไปคุ้มกันอย่างแน่นหนา
นอกจากหลินเมิ้งหยาจะเป็นคนจัดการแล้ว เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะเป็นคนอื่นที่ลงมือ
“ข้า? ข้าไม่ได้ทำ การตายของนางแสดงให้เห็นว่านางโชคร้ายเอง”
แม้จะพูดเช่นนั้นทว่ารอยยิ้มของหลินเมิ้งหยากลับเผยให้เห็นชัดเจนว่ากำลังปิดบังบางสิ่งอยู่
“พี่สาว ท่านบอกข้าเถิด ข้าสงสัยเหลือเกิน”
หลินจงอวี้รบเร้าหลินเมิ้งหยาพลางกระตุกแขนเสื้อนางด้วยท่าทางออดอ้อน
“ความลับของสวรรค์มิควรถูกเปิดเผย วางใจเถิดเมื่อถึงเวลาข้าจะบอกเจ้าเอง”
เมื่อเรื่องราวเป็นไปเช่นนี้แล้ว หลินเมิ้งหยาจึงวาดรอยยิ้มอ่อนโยน
ตอนนี้นางสบายใจขึ้นแล้ว
คาดว่าไท่จื่อจะไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ อย่างแน่นอน
แต่หลินเมิ้งหยาเองก็มิใช่คนที่จะถูกใครแก้เผ็ดเอาได้ง่าย ๆ
ครั้นรุ่งสาง ไท่จื่อมีรับสั่งให้เชิญเสด็จไปที่ตำหนักของฮองเฮา
การตายของซิ่งเอ๋อร์เมื่อคืนทำให้พวกเขาคาดไม่ถึง
ไท่จื่อโกรธเกรี้ยวจนเกือบจะสั่งประหารทหารองครักษ์ทั้งหมด
หากมิใช่เพราะคนสนิทของไท่จื่อห้ามเอาไว้ ป่านนี้เลือดคงไหลนองแผ่นดิน
“เอ๋อร์เฉินถวายคำนับฮองเฮา”
ไท่จื่อคุกเข่าค้อมตัวลง หน้าผากแนบจรดพื้นเพื่อแสดงความเคารพต่อมารดา
ทว่าดวงตาของฮองเฮากลับปรากฏร่องรอยแห่งความผิดหวัง
แต่ถึงกระนั้นสีหน้ากลับยังสง่างามดั่งเดิม
“ลุกขึ้นเถิด ได้ยินมาว่าซิ่งเอ๋อร์ตายไปแล้ว”
ไม่โกรธ ไม่ตำหนิ
นางส่งเสียงเรียบประหนึ่งกำลังพูดเรื่องธรรมดา
ทว่าหัวใจของไท่จื่อกลับรู้สึกเสมือนกำลังดิ่งลงหุบเหว
เขารู้จักนิสัยของมารดาตนเองดี
หากนางระบายความโกรธออกมายังไม่เท่าไร แต่ถ้าหากสงบนิ่ง แสดงว่านางโกรธเกรี้ยวเข้าแล้วจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เอ๋อร์เฉินไร้ประโยชน์จึงทำให้หมู่โฮ่วโฮ่วต้องผิดหวัง”
“ใช่แล้ว เจ้ามันไร้ประโยชน์ แต่คนที่ไร้ประโยชน์ที่สุดคือคนที่เสนอความคิดเช่นนั้นให้กับเจ้า”
คำพูดของฮองเฮาเย็นชาและทิ่มแทงใจ
แม้คนที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าจะเป็นลูกชายของตนเอง แต่ถึงกระนั้นนางกลับไม่รู้สึกสงสารเลยแม้แต่น้อย
หากไท่จื่อไร้ความสามารถ เช่นนั้นองค์ชายคนอื่นคงมาแย่งตำแหน่งจากเขาไป
นี่คือความจริงที่โหดร้าย
“ฮองเฮาได้โปรดลงโทษกระหม่อมด้วย! เอ๋อร์เฉินคิดไม่รอบคอบ หมู่โฮ่วโฮ่วได้โปรดลงโทษลูกด้วยเถิด”
ไท่จื่อคุกเข่าอยู่กับพื้น ร่างกายสั่นเทิ้ม
ตอนนั้นกว่าหมู่โฮ่วจะขึ้นเป็นฮองเฮาได้ นางต้องยืนหยัดต่อสู้ตลอดหลายปี แน่นอนว่านางมิได้พึ่งพาเพียงสกุลซ่างกวนแต่เพียงเท่านั้น
ที่สำคัญที่สุดคือวิธีการที่โหดเหี้ยมอำมหิตและมันสมองอันชาญฉลาด
“หาใช่เจ้าคิดไม่รอบคอบ แต่เจ้าคิดไม่ถึงว่าควรจัดการเรื่องนี้เช่นไร เจ้าคิดหรือว่านังเด็กสกุลหลินนั่นจะถูกโค่นลงเพียงเพราะกลอุบายเล็กน้อยแต่เพียงเท่านี้? ใช้สมองตรองดูหน่อยเถิด นางหาใช่นางบำเรอในจวนของเจ้าไม่”
ฮองเฮารู้สึกได้ว่าหลินเมิ้งหยาคนนี้มิใช่คนธรรมดาอย่างเปลือกนอกที่แสดงออกมา
เด็กคนนั้นจะเป็นเพียงคนธรรมดาได้อย่างไร?
“พ่ะ…พ่ะย่ะค่ะ เอ๋อร์เฉินผิดเอง หมู่โฮ่วได้โปรดลงโทษลูกด้วย”
สีหน้าของไท่จื่อซีดขาว ความผิดในคราวนี้ของเขามีมากกว่าครั้งก่อนๆ หลายเท่าตัว
หมู่โฮ่วเกลียดคนที่มักทำผิดพลาดที่สุด โดยเฉพาะกับลูกชายของตนเอง
“หากเด็กสกุลเจียงไร้ประโยชน์แล้ว เจ้าหาโอกาสกำจัดนางไปเสีย แม้หมิงเยว่จะฉลาดไม่มาก แต่นางก็เป็นคนของซีฟาน ต่อจากนี้ไปเจ้าสามารถใช้ประโยชน์จากนางได้ แต่อย่าเผลอปล่อยให้นางหันกลับมาใช้ประโยชน์จากเจ้า เข้าใจหรือไม่?”
นางเพ่งพิศลูกชาย สุดท้ายแววตาก็ยังคงเปล่งประกายความวาดหวัง
หากเป็นคนอื่นนางคงกำจัดทิ้งไปแล้ว
น่าเสียดาย หากเป็นองค์ชายคนอื่นได้อยู่ในตำแหน่งของไท่จื่อ นางคงไม่อาจใช้งานพวกเขาได้เช่นเดียวกับลูกชายของตนเอง
“แผนการของพวกเจ้าไม่มีทางสำเร็จ หากใช้กับชาวบ้านธรรมดาก็อาจจะสัมฤทธิ์ผล แต่หากเจ้าคิดจะต่อกรกับจวนอวี้ เจ้าจะใช้เพียงกลอุบายตื้นๆ แต่เพียงเท่านี้ไม่ได้”
ฮองเฮาเห็นกลอุบายในวังหลวงมามากมาย
นับตั้งแต่ตอนที่ไท่จื่อกับหมิงเยว่คะยั้นคะยอให้นางไปที่งานเลี้ยง
นางก็เดาเอาไว้แล้วว่าไท่จื่อกับหมิงเยว่กำลังจะลงมือทำอะไรบางอย่าง
แต่คาดไม่ถึงเลยว่าแม้ตนเองจะอบรมสั่งสอนลูกชายคนนี้มานานตลอดหลายปี แต่เขากลับเติบโตขึ้นมาเป็นคนไร้ประโยชน์