เล่มที่ 6 บทที่ 171 ไท่จื่อที่ไม่ได้เรื่อง

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ไม่ หมู่โฮ่ว เอ๋อร์เฉินมิกล้าขัดพระประสงค์ของท่าน”

  แม้ไท่จื่อจะไม่ชอบความคิดของฮองเฮาเพราะเขาคิดว่าจวนอวี้จะต้องล่มสลาย

  น่าเสียดาย เขาคิดไม่ถึงเลยว่าฮองเฮาจะไม่อนุญาตให้เขาไปที่สวนของชายาอวี้

  หากเขาอยู่ที่นั่น ไม่ว่าชายาอวี้จะดิ้นรนอย่างไรเขาเชื่อว่าตนเองจะสามารถทำให้นางยอมรับผิดได้อย่างแน่นอน

  เจ้าโง่! ฮองเฮาสบถด่าในใจพลางปรายสายตาเย็นชาไปทางเขา

  หน้าที่ของไท่จื่อคือปกป้องดูแลประเทศชาติ เขาต้องขึ้นครองบัลลังก์และดูแลต้าจิ้น

  แต่เขากลับเป็นคนไร้ประโยชน์ ลุ่มหลงแต่กายเนื้อของหญิงสาว

  องค์ชายแบบนี้จะมีปัญญาดูแลใต้หล้าได้อย่างไร?

  “โอ้? เช่นนั้นเจ้าลองพูดมาสิว่าเจ้าจะทำให้ชายาอวี้รับผิดได้เช่นไร?”

  นับตั้งแต่วันที่ไท่จื่อก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เขากระตือรือร้นเหลือเกินที่จะใช้อำนาจของตนเอง

  หัวใจของฮองเฮารู้สึกราวกับไร้เรี่ยวแรง

  นางดูแลต้าจิ้นอย่างยากลำบากเพื่อสืบทอดเอาไว้ให้ลูกชายของตนเอง ละเพื่อส่วเสริมให้เขากลายเป็นฮ่องเต้ที่เหมาะสม

  แต่คิดไม่ถึงเลยว่าไท่จื่อจะไม่ได้เรื่องเช่นนี้

  อย่าว่าแต่รู้เรื่องการบ้านการเมืองเลย แม้แต่สายตายังมิก้าวไกล นางรู้สึกเจ็บใจเหลือเกิน

  “ตั้งแต่ก่อตั้งแว่นแคว้นขึ้นมา บ้านเมืองออกกฎหมายที่ห้ามมิให้ใช้คุณไสยเวทมนตร์ใดๆ โดยเฉพาะในราชวงศ์ หากจับได้จะต้องถูกลงโทษ ถ้าหากพวกเขาได้รับโทษนี้ ต่อให้พระสนมเต๋อเฟยออกหน้าปกป้องแต่หลงเทียนอวี้ก็ต้องได้รับโทษอยู่ดี เมื่อถึงเวลานั้นข้าก็จะสามารถจัดการองค์ชายไร้ความสามารถได้ทุกเมื่อ หมู่โฮ่วลองตรองดูเถิดว่า ยามนั้นหลงเทียนอวี้จะยังสามารถเป็นศัตรูตัวฉกาจของข้าได้หรือไม่”

  ไท่จื่อเสนอแผนการลับของตนเองออกมาทั้งยังแสดงสีหน้าภาคภูมิใจ

  ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฮองเฮาไม่เคยชื่นชมเขาเลย

  ดังนั้นเขาจึงอยากแสดงความสามารถให้ฮองเฮาได้ชื่นชมบ้าง

  “ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่าหลงเทียนอวี้จะรู้วันเกิดของเจ้าได้อย่างไร?”

  ฮองเฮามองดูไท่จื่อก่อนจะพูดปัญหาหนึ่งออกมา

  ไท่จื่อมีคำตอบในใจอยู่แล้วดังนั้นจึงรีบตอบกลับทันควัน

  “หลงเทียนอวี้เป็นองค์ชาย เคยถูกเลี้ยงดูเติบโตมาด้วยกันกับข้า ดังนั้นเขาต้องรู้วันเกิดของข้าอย่างแน่นอน พระสนมเต๋อเฟยเองก็เป็นพระสนมคนหนึ่ง ดังนั้นนางจึงรู้วันเกิดของข้าเป็นแน่ การจะรู้เรื่องนี้ไม่ยากเลย”

  ทว่าฮองเฮากลับยกยิ้มเย็นชา

  “เจ้าได้รู้วันเกิดของเจ้าเมื่อตอนที่ก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ อีกทั้งตอนนั้นเจ้ากับหลงเทียนอวี้ยังกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันไปแล้ว เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้ดี ข้าคลอดเจ้าที่ตำหนักลู่หยาง ตอนนั้นนอกจากเสด็จพ่อของเจ้าแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ หลงเทียนอวี้เป็นองค์ชาย แน่นอนว่าย่อมมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่จะต้องตรวจสอบหลายด้านจึงจะสามารถลงโทษเขาได้ เจ้าคิดหรือว่าแผนการไร้สมองของเจ้าจะปิดบังทุกคนได้?”

  ฮองเฮาโกรธมาก เจ้าโง่คนนี้กลับออกอุบายที่มีแต่เสียกับเสียออกมา

  แม้นางอยากจะกำจัดหลงเทียนอวี้มากแค่ไหนแต่ตอนนี้ยังมิใช่โอกาสดีที่จะลงมือ

  “ฮึ ต่อให้เป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีวันปล่อยให้เขาหนีรอดได้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาและเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความตาย”

  ไท่จื่อยังไม่รู้ว่าตนเองกำลังคิดผิด

  “หลักฐาน? เจ้าอุตส่าห์คิดออกมาได้ หลงเทียนอวี้มีทหารคอยหนุนหลัง แต่เพราะเขาแอบทำอยู่ลับๆ ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดสายตาของใคร ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าตระกูลเจียงเป็นถึงขุนนางสามรัชสมัย เขาเป็นปู่ของหลงเทียนอวี้ มีเส้นสายมากมาย แม้สกุลหลินจะตามมาทีหลัง แต่เจ้าลองดูสิว่ามีแม่ทัพคนไหนบ้างที่ไม่ภักดีต่อสกุลหลิน หากเจ้าคิดจะกำจัดทั้งสองตระกูลนี้ คงต้องรอให้ฟ้าถล่มดินทลายลงมาก่อน!”

    ฮองเฮาระเบิดอารมณ์โกรธเกรี้ยวออกมา แก้วชาบนโต๊ะถูกขว้างลงบนพื้นจนแหลกละเอียด

  เมื่อเห็นเศษแก้วที่แหลกเป็นผุยผง ไท่จื่อก็ไร้ซึ่งความหยิ่งผยองอีกต่อไป

  เขาก้มหน้าคุกเข่าลง ยอมรับคำตำหนิจากฮองเฮาแต่โดยดี

  “ข้าสั่งให้เจ้าไปเชื่อมความสัมพันธ์กับสองตระกูลเพื่อแผ่ขยายอำนาจ แต่เจ้าทำอะไรลงไป? เพื่อพวกผู้หญิงแล้วเจ้ากลับเข้าไปต่อกรกับพวกเขาไม่หยุดหย่อน หมิงเยว่เป็นองค์หญิงแห่งซีฟาน เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางจะไม่กลายมาเป็นหนอนบ่อนไส้ในราชสำนักของเราและแสวงหาผลประโยชนให้กับซีฟาน!”

  นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหมิงเยว่ ฮองเฮารู้ได้ทันทีว่านางมิใช่คนอ่อนโยนอ่อนหวานดั่งเปลือกนอก

  ผลปรากฏว่าหลังจากกลับมาจากเขาหลิงจู หมิงเยว่ส่งคนมาขอความช่วยเหลือจากตนเอง

  อีกทั้งยังมอบอัญมณีมากมายเพื่อแสดงความจริงใจ

  นางจึงอนุญาตให้ไท่จื่อกับหมิงเยว่ร่วมมือกัน แน่นอนว่านางมิได้ถูกหมิงเยว่หลอกแต่นางอยากเห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของหมิงเยว่

  ผลปรากฏว่าสิ่งที่หมิงเยว่ขอเป็นอันดับแรกคืองานอภิเษกสมรสระหว่างหลงเทียนอวี้กับนาง อีกทั้งนางยังเข้าไปรบเร้าไท่จื่อไม่หยุดหย่อน

  หากตอนนั้นนางไม่ตัดสินใจเช่นนั้น หากนางไม่รับปากหมิงเยว่ เกรงว่าป่านนี้ข่าวลือฉาวโฉ่ระหว่างไท่จื่อกับอ๋องอวี้คงแพร่กระจายไปทั่ว

  ทั้งที่เป็นการวางแผนตั้งแต่ต้น แต่คาดไม่ถึงเลยว่าไท่จื่อจะหลงกลหมิงเยว่เข้าจนได้

  หากคิดจะกำจัดหลงเทียนอวี้ เรื่องนี้จะร่วมมือกับหมิงเยว่ไม่ได้เด็ดขาด

  “เจ้าจงคุกเข่าอยู่ที่นี่และทบทวนความผิด พวกเจ้าเข้ามา จับตาไท่จื่อไว้ให้ดี หากเขาคุกเข่าไม่ถึงห้าชั่วโมงก็อย่าให้เขาลุกขึ้นเด็ดขาด

  ดวงตาคมกริบดั่งเหยี่ยวจ้องไท่จื่อเขม็ง ท่าทางไม่เหมือนแม่ผู้ให้กำเนิดที่กำลังมองลูกชายเลยแม้แต่น้อย

  ดวงตาคู่นั้นสะท้อนแววแห่งความผิดหวัง จนคนลอบมองอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

  ไท่จื่อกลืนคำแก้ต่างลงคอ

  ความหวาดกลัวแล่นพล่านเข้ามาในหัวใจ นี่หรือว่าหมู่โฮ่วจะไม่ต้องการเขาแล้ว?

  ไม่ ไม่มีทาง หมู่โฮ่วมีเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียว นอกจากตนเองแล้ว นางไม่มีวันเลือกใครอื่นอีก

  ห้องในตำหนักกว้างขวาง เวลานี้เหลือเพียงไท่จื่อที่กำลังนั่งคุกเข่าบนพื้นอันแสนเย็นยะเยือกเพียงคนเดียว

  งานเลี้ยงผ่านไปห้าวันแล้ว

  เป็นไปตามที่หลินเมิ้งหยาคาด ห้าวันที่ผ่านมาเหตุการณ์ดำเนินไปอย่างเป็นปกติ

  ซิ่งเอ๋อร์ตาย หวังฮั่นหลินถูกหลงเทียนอวี้ส่งกลับไปยังจวนฮั่นหลิน มีเพียงศพของฮูหยินหวังที่ยังคงอยู่ในจวนอวี้เท่านั้น

  แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่คนภายนอกเล่าลือ

  ในความเป็นจริงหลังจากประตูวิญญาณไม่เปิดรับฮูหยินหวัง ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็ร่วมมือกับป๋ายหลี่รุ่ยช่วยชีวิตของนางไว้ได้

  ทว่าร่างกายของนางยังคงอ่อนแอและไม่ได้สติ

  ทุกวันหลังจากกินอาหารกลางวันแล้ว หลินเมิ้งหยามักจะมุ่งหน้าไปยังคุกใต้ดินของหลงเทียนอวี้

  องครักษ์ที่คุกใต้ดินแห่งนี้ล้วนจดจำนายหญิงแห่งจวนอวี้ได้แล้ว

  ดังนั้นจึงไม่มีใครรั้งนางเอาไว้

  หลงเทียนอวี้ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ป๋ายหลี่รุ่ยมีอุปนิสัยแปลกประหลาด

  แม้แต่ป๋ายหลี่อู๋เฉินยังทำได้เพียงยืนส่งอาหารอยู่ทางด้านนอกเท่านั้น

  มีเพียงหลินเมิ้งหยาที่สามารถเข้าออกห้องนั้นได้อย่างอิสระ

  ได้ยินเหล่าองครักษ์เล่าว่าชายแก่และหญิงสาวคู่นี้ บางครั้งบางคราวก็ส่งเสียงร้องโวยวายผ่านประตูหินออกมา

  ป๋ายหลี่รุ่ยกับหลินเมิ้งหยากลายเป็นเพื่อนต่างวัยกันไปโดยปริยาย

  “ท่านอาจารย์ นี่คือกล่องหยกที่ท่านต้องการ ข้าหาหยกที่ดีที่สุดมาทำ ท่านลองตรวจสอบดู”

  ทันทีที่หลินเมิ้งหยาเดินเข้าไปในห้องหินของป๋ายหลี่รุ่ย นางก็ยื่นกล่องหยกที่มีขนาดเท่ากำปั้นไปให้เขา

  แม้ภายในห้องหินออกจะรกไปสักเล็กน้อยแต่ถึงกระนั้นก็ยังมีอากาศให้หายใจอยู่มาก

  แม้ใบหน้าของป๋ายหลี่รุ่ยจะดูเหนื่อยล้า แต่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ

  เขารับกล่องหยกจากหลินเมิ้งหยา มองสำรวจอย่างตั้งใจ พยักหน้าแล้ววางไว้ด้านข้าง

  “เจ้ามาดูนี่ซิ อาการของฮูหยินหวังดีกว่าแต่ก่อนหรือไม่”

  ความสัมพันธ์ระหว่างหลินเมิ้งหยากับป๋ายหลี่รุ่ยเป็นดั่งอาจารย์และศิษย์

  อันที่จริงป๋ายหลี่รุ่ยอยากให้หลินเมิ้งหยามาเป็นผู้สืบทอดวิชาแพทย์พิษของตนเอง

  ทว่าหลินเมิ้งหยาขอให้เขาเป็นอาจารย์และเทิดทูนเขาเสมือนอาจารย์คนหนึ่ง

  เมื่อไม่มีทางเลือกสุดท้ายเขาก็ตอบตกลงเป็นอาจารย์ของนาง

  “แม้หัวใจจะเต้นช้าไปสักเล็กน้อย แต่ลมหายใจเข้าออกสมดุลกัน ท่านอาจารย์ให้ยาตัวใหม่กับนางอย่างนั้นหรือ?”

  หลินเมิ้งหยายืนอยู่ด้านหน้าเตียงหิน ตรวจสอบอาการของฮูหยินหวังโดยละเอียด

  นางไม่มีทางเลือกจึงต้องย้ายร่างของฮูหยินหวังมาที่นี่

  ด้านนอกมีคนผ่านไปผ่านมามากมายไม่อาจควบคุมดูแลได้ อีกทั้งยังมีโอกาสติดเชื้อสูง

  ต่างจากห้องหินของอาจารย์ที่ทั้งเย็นและสะอาดสะอ้าน

  ยิ่งไปกว่านั้นห้องหินแห่งนี้ยังมียาหลายแขนง

  หลินเมิ้งหยาพบว่าเชื้อราบางชนิดเติบโตช้ามากในห้องนี้

  ดังนั้นที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการรักษาฮูหยินหวัง

  “ถูกต้อง ข้าใช้ยาพิษชนิดอ่อน ข้าพบว่าเมื่อยาชนิดนี้ผสมเข้ากับตัวยาอื่นๆ มันกลายเป็นยาบำรุงร่างกายชั้นเลิศ”

  มองเห็นดวงตาที่กำลังเปล่งประกายของป๋ายหลี่รุ่ย หลินเมิ้งหยาอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง

  อาจารย์ของนางดีทุกอย่างเสียแต่เขาเป็นพวกคลั่งไคล้หลงใหลในตัวยามากเกินไป

  หวนนึกถึงวันที่นางมาขอร้องให้เขาช่วยชีวิตฮูหยินหวัง เขาเอ่ยว่าเขาทำได้เพียงวางยาฆ่าคนแต่มิอาจวางยาเพื่อช่วยชีวิตคนได้

  สายตาอันตรายของอาจารย์ทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกว่านางตัดสินใจผิดที่นำฮูหยินหวังมาที่นี่

  “ท่านอาจารย์ ข้าคิดว่าเราคงต้องระมัดระวังเรื่องการใช้ยา เหตุเพราะร่างกายของฮูหยินหวังยังคงอ่อนแอ ท่านอย่าเผลอวางยานางจนตายไปก่อน”

  ป๋ายหลี่รุ่ยเมื่อเห็นสายตาไม่เชื่อใจของลูกศิษย์ เขาจึงถลึงตาโต

  “นังหนู นี่เจ้าบังอาจสงสัยวิชาแพทย์พิษของข้าอย่างนั้นหรือ?”

  หลินเมิ้งหยาส่ายหน้าทว่าสายตากลับเจือไว้ซึ่งความไม่เชื่อใจ

  “เฮ้อ นังหนูคนนี้นี่ มองข้าเช่นนี้ทำไม ข้าบอกแล้วว่าข้าจะวางยาเพื่อช่วยชีวิตนาง เช่นนั้นข้าก็จะทำตามที่พูดให้ได้”

  เมื่อเห็นท่าทางขุ่นเคืองของอาจารย์ หลินเมิ้งหยาจึงยิ้มแล้วเอ่ย

  “ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจท่าน วิชาแพทย์พิษของอาจารย์เลิศล้ำกว่าใครในใต้หล้า แต่ท่านต้องระมัดระวังการใช้ยาสักเล็กน้อย หากนางตายขึ้นมา คนนอกจะพากันพูดเอาได้ว่าป๋ายหลี่รุ่ยเป็นเซียนยาพิษ ขนาดชีวิตคนยังไม่เว้น หากเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องรู้สึกกระวนกระวายแทนท่านอย่างแน่นอน”

  หลินเมิ้งหยาทั้งชมและด่าในคราวเดียวกัน เปลวไฟจึงลุกโชนในสายตาของป๋ายหลี่รุ่ย

  “ไร้สาระ! วิชาแพทย์พิษของข้าไร้เทียมทาน นังหนู หากไม่จำเป็นก็อย่ามาที่นี่ เดี๋ยวจะทำให้วิชาแพทย์พิษของข้าเสียหาย มิเช่นนั้นข้าจะวางยาเจ้า!”

  หลินเมิ้งหยาลอบหัวเราะในใจ ดูเหมือนอาจารย์จะเริ่มช่วยชีวิตฮูหยินหวังอย่างจริงจังแล้ว

  เช่นนั้นจากนี้ไปก็ถึงเวลาที่นางจะต้องออกโรงแล้ว