เล่มที่ 6 บทที่ 172 ความอยุติธรรม

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“จริงสิอาจารย์ ท่านต้องการกล่องหยกเช่นนี้ไปทำอะไร? เก็บทรัพย์สินส่วนตัวอย่างนั้นหรือ?”

  หลังจากได้เรียนรู้กับป๋ายหลี่รุ่ยมานาน หลินเมิ้งหยาจึงพบว่านางต้องใช้วิธีการที่แปลกและแตกต่างในการเข้าหาเขา

  โดยเฉพาะวิธีการแสดงความล้ำเส้นเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

  ป๋ายหลี่รุ่ยถลึงตาใส่หญิงสาว แม้นางมักจะปฏิบัติตัวล้ำเส้นแต่กลับเก่งกาจในเรื่องยาพิษ

  พรสวรรค์ทางด้านยาพิษของนางเก่งกว่าศิษย์พี่เขาเล็กน้อย

  ทุกครั้งที่แข่งขันกับศิษย์พี่เขามักจะแพ้ราบคาบทุกครั้ง

  หากเขาสามารถเอาชนะศิษย์พี่ได้ เช่นนั้นความฝันอันแสนยาวนานของเขาก็จะสัมฤทธิ์ผลเสียที

  “นี่คือหญ้าหลงหุน แม้หญิงสาวจะมีชีวิตแต่ถึงกระนั้นร่างกายก็อ่อนแอ หากคิดจะเรียนเพื่อเอาวิชาของข้ากลับไป เกรงว่าร่างกายของเจ้าจะรับไม่ไหว แต่หญ้าหลงหุนตัวนี้แตกต่างออกไป มันจะประคับประคองจิตวิญญาณของเจ้า”

  นางมองดูอาจารย์ก่อนจะเดินออกจากห้องเล็กอีกห้อง ในมือถือต้นหญ้าสีม่วงอ่อนเข้ามาด้วยความระมัดระวัง หลินเมิ้งหยาเดินเข้าไปหาป๋ายหลี่รุ่ยด้วยความตื่นเต้น

  “อาจารย์ ท่านมิเชื่อเรื่องจิตวิญญาณมิใช่หรือ?”

  ไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำกับหญิงสาว ป๋ายหลี่รุ่ยย้ายต้นหญ้าต้นนั้นลงกล่องหยกด้วยความระมัดระวัง

  “ต้นหญ้าชนิดนี้มีการอวดอ้างสรรพคุณว่าสามารถปกป้องจิตวิญญาณได้ แต่อันที่จริงมันทำได้เพียงดูแลลมปราณของผู้ใช้เท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็นับว่าเป็นของพิเศษ จะต้องใช้ถึงสามครั้งติดต่อกันจึงจะได้ผล”

  มองดูท่าทางเคร่งขรึมของอาจารย์ หลินเมิ้งหยารู้ได้ทันทีว่าต้นหญ้าชนิดนี้มีราคาแพงมาก

  “หวังว่ากล่องหยกกล่องนี้จะสามารถคงอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเก็บรักษาหญ้าหลงหุนล่ะนะ”

  ในเมื่ออาจารย์มั่นใจแล้ว เช่นนั้นโอกาสในการมีชีวิตรอดของฮูหยินหวังก็เพิ่มมากขึ้น

  ตอนนี้นางต้องคำนึงถึงเรื่องอื่นด้วย

  “อาจารย์ อีกนานหรือไม่กว่าฮูหยินหวังจะฟื้น?”

  ป๋ายหลี่รุ่ยมองดูหญิงสาวบนเตียง แม้จะช่วยชีวิตกลับมาได้แล้ว แต่ก็มิอาจรู้ได้ว่าจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่

  “ไม่รู้ บางทีอาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกก็ได้”

  ป๋ายหลี่รุ่ยมิได้สนใจใยดีชีวิตผู้อื่นแต่ผู้หญิงคนนี้หาได้ยากยิ่ง ได้ยินหลินเมิ้งหยาเอ่ยว่าตับไตไส้พุงของนางเคยออกมาทักทายทุกคนหมดแล้ว

  ยิ่งไปกว่านั้นในกายของนางมีพิษที่หาได้ยากอยู่จำนวนมาก

  เขากับหลินเมิ้งหยาช่วยกันวิเคราะห์ บางทีพิษพวกนั้นอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ฮูหยินหวังยังมีชีวิตอยู่

  แม้เขาจะเพียรหาอาการเช่นนี้ในหนังสือแต่ก็ไม่พบ

  หากเขาสามารถวินิจฉัยเรื่องนี้ออกมาได้ เช่นนั้นเขาจะต้องสามารถเกทับศิษย์พี่ของตนเองได้อย่างแน่นอน

  “อาจารย์ ข้ายังมีเรื่องให้ต้องทำ ข้าขอตัวก่อน หากท่านต้องการพบข้าก็ให้ส่งคนมาเรียกข้าเถิด”

  หลินเมิ้งหยาออกจากประตูหิน ที่ด้านนอกป๋ายหลี่อู๋เฉินมองนางด้วยสายตาเย็นชา

  “หยุด”

  หลินเมิ้งหยาเดินผ่านหน้าเขาไป ทว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินกลับร้องเรียกนางเอาไว้

  นางชะงักฝีเท้ายืนอยู่กับที่ หลินเมิ้งหยาสังเกตเห็นนานแล้วว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินมีท่าทีเหมือนเป็นศัตรูกับนาง

  “มีธุระ?”

  ทั้งสองหันหลังเข้าหากัน ไม่มีใครคิดจะหันหน้ากลับมา

  “เจ้าคิดหรือว่าจะทำให้ท่านอ๋องเชื่อใจเจ้าได้เพียงเพราะเจ้าโน้มน้าวท่านลุงของข้าได้?”

  แม้ป๋ายหลี่อู๋เฉินจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดท่านลุงของเขาจึงถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้ ทว่ายิ่งนานวันเข้า ท่านอ๋องก็ยิ่งให้ความสำคัญกับนาง

  “ข้าคิดว่าเจ้ากำลังเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้โน้มน้าวลุงของเจ้าได้ อีกทั้งยังไม่ได้คิดจะโน้มน้าวใครเพื่อท่านอ๋อง เหตุเพราะข้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ลุงของเจ้ากับข้าเป็นเพียงอาจารย์และลูกศิษย์เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเป็นชายาอวี้ดังนั้นจึงได้รับความเชื่อใจจากท่านอ๋องอยู่แล้ว”

  อันที่จริงหลินเมิ้งหยารู้ดี ที่ป๋ายหลี่อู๋เฉินไม่ชอบนางอาจเพราะเขารู้สึกเหมือนถูกนางเขย่าตำแหน่งของตนเอง

  ยิ่งไปกว่านั้นป๋ายหลี่รุ่ยยังไม่สนใจใยดีเขาอีก

  แต่ป๋ายหลี่รุ่ยกลับสนิทสนมกับนาง ดังนั้นป๋ายหลี่อู๋เฉินจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์

  “เจ้า…เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ จะเข้าใจความยิ่งใหญ่ของผู้ชายได้อย่างไร หากเจ้าทำให้การใหญ่ของพวกเราต้องเสียเรื่อง ต่อให้ท่านอ๋องปกป้องเจ้าข้าก็จะไม่ละเว้น”

  ราวกับได้ยินเรื่องน่าขัน จู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็ระเบิดหัวเราะออกมา

  “การใหญ่? ป๋ายหลี่อู๋เฉิน เจ้าทำร้ายได้แม้กระทั่งลุงของเจ้า แล้วยังคิดจะทำการใหญ่อีกหรือ? หรือการใหญ่ที่เจ้าว่าจะเป็นความอยุติธรรม? ขนาดคนที่สนิทกับเจ้าที่สุด เจ้ายังสามารถใช้ประโยชน์จากเขาได้ เช่นนั้นยังมีอะไรในใต้หล้าที่เจ้าจะไม่หลอกเอาผลประโยชน์ได้อีก? ที่เจ้ารู้สึกจิตใจไม่สงบก็เพราะเจ้ารู้สึกว่าเจ้าทำร้ายลุงของเจ้าเพื่อท่านอ๋อง เพื่อการใหญ่ของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงพยายามหลบซ่อนความรู้สึกผิดของตนเองเอาไว้ ท่านอ๋องสั่งให้เจ้าลักพาตัวลุงของเจ้ามาอย่างนั้นหรือ? การใหญ่ของเจ้าคงเกี่ยวกับความอยุติธรรมจริงๆ ใช่หรือไม่?”

  คำพูดของหลินเมิ้งหยาเสมือนมีดที่กรีดหัวใจของป๋ายหลี่อู๋เฉิน

  เขาหมุนตัวไปเผชิญหน้าหลินเมิ้งหยาอย่างร้อนรน

  “เจ้าจะเข้าใจอะไร? ที่ข้าทำไปทั้งหมดก็เพื่อท่านอ๋องและต้าจิ้น”

  หลินเมิ้งหยาผินหน้ากลับมา ทว่าบนใบหน้ากลับประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น

  “เพื่อท่านอ๋องหรือเพื่อตัวเจ้าเอง! ป๋ายหลี่อู๋เฉิน เจ้าลองไปตรองดูให้ดี! บนโลกใบนี้ไม่ต้องการคนอกตัญญู!”

  เมื่อจบคำหลินเมิ้งหยาไม่ลังเลเลยที่จะหมุนตัวเดินจากไป

  ทิ้งป๋ายหลี่อู๋เฉินที่กำลังชะงักงันเอาไว้

  เขารู้สึกว่ากล่องอาหารที่ถืออยู่ในมือหนักอึ้งเหลือเกิน

  ป๋ายหลี่อู๋เฉินผู้ฉลาดเฉลียวเสมอมารู้สึกราวกับว่ากำลังสับสนมึนงง

  ตอนเด็กท่านลุงเลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ เขาเลี้ยงตนเองให้กลายเป็นคนมีพรสวรรค์

  เขาหยุดยืนที่หน้าประตูหิน ท่าทางประหนึ่งคนสิ้นวิญญาณ เป็นครั้งแรกที่เขาคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างแท้จริง

  เดินออกจากคุกใต้ดิน แม้อากาศด้านนอกจะอบอุ่นแต่หัวใจของนางกลับเยือกเย็น

  เพื่อชื่อเสียง เพื่อผลประโยชน์ คนจำนวนมากสูญเสียตัวตนของตนเองและยอมละทิ้งจิตวิญญาณ

  นางหันกลับไปมองคุกใต้ดินเบื้องหลังหวังว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินจะรู้ตัวว่าตนเองทำอะไรผิดไป

  เมื่อกลับมาจากสวน นางเห็นชิงหูกับหลินจงอวี้กำลังตำหนิกันไกลๆ

  “ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของเจ้า ถ้าหากเจ้าพบมันเร็วกว่านี้ เจ้าเด็กน้อยคงไม่ต้องถูกกักบริเวณเช่นนี้”

  แขนข้างหนึ่งหอบหิ้วตะกร้าดอกเก๊กฮวย แขนอีกข้างเท้าเอว ถลึงตาใส่เสี่ยวอวี้

  “วันนั้นข้าเข้ามาที่นี่ไม่ได้ส่วนเจ้าแต่งกายเป็นหญิงจึงเข้ามาได้ แต่ถึงกระนั้นเจ้ากลับไม่พบมัน ตกลงว่าข้าหรือเจ้ากันแน่ที่ผิด”

  เสี่ยวอวี้ชำเลืองเห็นหลินเมิ้งหยา ทว่าเขากลับแสร้งมองไม่เห็น ก่อนจะหันไปด่าชิงหู

  “ไอหยา นี่เจ้าโทษข้าอย่างนั้นหรือ? เหล่าเหนียงมีตาเพียงสองข้าง แค่มีเวลาดูแลเจ้าเด็กน้อยนั่นก็ถือว่าไม่เลวแล้ว พวกลูกน้องของเจ้าเล่า? เหตุใดข้าจึงไม่เห็นพวกเขาออกมาปกป้องเจ้าเด็กน้อยเลย”

  ใบหน้าของทั้งสองหล่อเหลามีเอกลักษณ์ ฉะนั้นเมื่อทั้งคู่ทะเลาะกันจึงเกิดเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกัน

  หลินเมิ้งหยาแย้มยิ้มพลางส่ายหน้า หากนางมองไม่ออกว่าพวกเขากำลังทำให้นางรู้สึกขำขัน เช่นนั้นนางคงโง่เต็มที

  เพียงเดินเข้าไปในสวน สัตว์เลี้ยงตัวน้อยทั้งสองก็วิ่งเข้ามาห้อมล้อมหลินเมิ้งหยา

  “เจ้าหนู เป็นอย่างไรบ้าง?”

  โอบอุ้มเสือน้อย ดวงตาไม่ต่างจากแมวเปล่งประกายยามมองดูตนเอง

  ดูเหมือนจะหายดีแล้ว

  เสี่ยวป๋ายแสดงท่าทางราวกับเป็นพี่ชาย เมื่อเห็นว่าเจ้านายอุ้มเสือน้อย มันไม่เกรี้ยวกราดแต่กลับฟุบลงนิ่งๆ แทบเท้าของหลินเมิ้งหยา

  “อาป๋าย เจ้าก็มานี่ซิ”

  นางอุ้มสัตว์เลี้ยงทั้งสองเอาไว้ในอ้อมกอด

  สัตว์ทั้งสองที่มีท่าทางร่าเริงกลับสงบนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยา ทั้งสองหามุมสบายของตนเองในอ้อมกอดของนาง

  “นายหญิง ฮูหยินหวังเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

  ภายในศาลาเล็ก ป๋ายจีเตรียมชาดอกเก๊กฮวยเอาไว้แล้ว ป๋ายจื่อเป็นผู้ตระเตรียมผลไม้

  ป๋ายซ่าวนำเสื้อขนสัตว์สีขาวเข้ามา ป๋ายซูจ้องมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง

  “อืม ท่านอาจารย์บอกว่าสามารถช่วยชีวิตกลับมาได้แล้ว แต่ยังมิรู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่”

  สาวใช้ทั้งหมดล้วนเอาใจใส่นางทั้งสิ้น

  หลินเมิ้งหยาวางสัตว์เลี้ยงทั้งสองลงข้างกาย หันกลับไปมองสองคนที่กำลังทะเลาะกัน

  “ยังจะทะเลาะกันอยู่ตรงนั้นอีกนานหรือไม่ หากยังไม่รีบเข้ามานี่ เช่นนั้นพวกเจ้าทะเลาะกันจนฟ้ามืดเลยแล้วกัน”

  เมื่อประธานออกคำสั่งแล้ว ทั้งสองจึงระงับการตีฝีปากลง ก่อนจะเดินเข้ามาในศาลา

  หลินจงอวี้อายุน้อยที่สุดทั้งยังได้รับความรักความเอ็นดูจากหลินเมิ้งหยามากที่สุด ดังนั้นเมื่อเขาส่งยิ้มหวานมาให้ หลินเมิ้งหยาจึงดึงตัวเขาให้นั่งลงข้างกาย

  แม้ชิงหูจะอยากนั่งที่ตำแหน่งนั้นแต่เมื่อเห็นสายตาเย็นชาของหลินเมิ้งหยา เขาจึงทำได้เพียงนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทางน้อยใจ

  “เรื่องคุณไสยมนตร์ดำคงจบลงเพียงเท่านี้แล้ว แต่คนที่จะจับตามองตำหนักของเราคงมีมากมายอย่างแน่นอน พวกเจ้าต้องคอยระวังให้ดี ต่อจากนี้ไป พวกเราต้องระมัดระวังในทุกย่างก้าว”

  เรื่องผ้ายันต์ที่ห่อหุ้มชาดสีแดงทำให้หลินเมิ้งหยารู้ว่าจวนอวี้มิต่างอะไรจากเนื้อที่ถูกย่างในกระทะร้อน

  อีกทั้งเรื่องนี้ยังแสดงให้เห็นว่าสกุลเจียง สกุลหลินและสกุลที่เกี่ยวข้องกับจวนอวี้ล้วนถูกไท่จื่อหมายหัวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

  แต่โชคดีเหตุเพราะไท่จื่อไร้ความสามารถจึงทำให้สกุลที่เกี่ยวข้องกับจวนอวี้เหล่านี้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว

  เมืองหลวงกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว

  “คราวนี้พวกเราประมาทเกินไป นายหญิงได้โปรดลงโทษด้วย”

  สิ่งที่ป๋ายซูต้องทำคือระมัดระวังสิ่งที่เกิดขึ้นในสวน

  แต่ป๋ายซูกลับไม่สังเกตเห็นว่ามีคนฝังของสิ่งนั้นลงในดินจนเจ้านายของตนเองเกือบมีอันตรายถึงชีวิต

  หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดก่อนจะเล่าแผนการส่วนหนึ่งของตน

  “มิใช่ความผิดของเจ้า ข้าเพียงแต่ประมาทเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นข้าใจอ่อนเองมิเช่นนั้นคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

  เจียงหรูฉินถูกใต้เท้าเจียงพาตัวกลับไปแล้ว

  เกรงว่าต่อจากนี้ไปนางคงมิมีโอกาสก้าวเข้ามาอยู่ในจวนอวี้อีกแล้ว

  ส่วนทางด้านใต้เท้าหวัง หลงเทียนอวี้ตรวจสอบห้องอ่านหนังสืออย่างละเอียดแล้วแต่กลับไม่พบร่องรอยใดๆ

  หรือใต้เท้าหวังจะมิได้มีสิ่งใดผิดปกติหรือเป็นเพราะหลงเทียนอวี้ยังตรวจสอบไม่ละเอียดกันแน่

  หมิงเยว่เองก็ถูกตำหนิ อีกไม่กี่วันก็จะเดินทางกลับซีฟานพร้อมฮ่องเต้หมิงแล้ว

  ส่วนนางเองก็จะได้มีเวลารับมือกับไท่จื่ออย่างเต็มที่

  “คืนนี้พาคุณหนูหวังมาที่นี่เถิด จำเอาไว้ว่าอย่าทำให้คนอื่นแตกตื่น พวกเจ้าทั้งสี่ตามข้าไปที่ห้องอ่านหนังสือของท่านอ๋องหน่อย”

  สาวใช้ทั้งสี่พยักหน้ารับแม้จะไม่รู้ว่านายหญิงต้องการทำอะไร

  แต่พวกนางรู้ดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคราวนี้ทำให้นายหญิงโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง