เล่มที่ 6 บทที่ 173 ความหลังของพระสนมเต๋อเฟย

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

แม้จะถูกกักบริเวณเอาไว้ทว่าไม่นานหลินเมิ้งหยาก็ได้รับการปล่อยตัว

  แม้แต่ทหารหลวงด้านนอกเองก็ถอนกำลังไปแล้ว ดูเหมือนไท่จื่อกับฮองเฮาจะหมดหนทางต่อกรกับนาง

  หรือบางทีพวกเขาอาจจะกำลังหาหนทางอื่น

  ในจวนไม่มีสถานที่ใดที่หลินเมิ้งหยาไม่อาจไปได้แล้ว

  นอกจากหลงเทียนอวี้ ไม่มีใครสามารถเข้าไปในห้องอ่านหนังสือได้อีกแต่พวกเขากลับไม่ห้ามปรามนาง

  “ท่านอ๋องล่ะ?”

  หลงเทียนอวี้ไม่อยู่ในห้องอ่านหนังสือ หลินเมิ้งหยาจึงนึกประหลาดใจ

  ทุกวันตอนบ่ายหลงเทียนอวี้มักจะสะสางงานอยู่ในห้องนี้

  “ทูลพระชายา องค์ชายเจ็ดมารับตัวท่านอ๋องไปพ่ะย่ะค่ะ เอ่ยว่ามีเรื่องต้องจัดการ”

  พ่อบ้านเติ้งอยู่ด้านหลังหลินเมิ้งหยาเอ่ยตอบ

  “อืม เข้าใจแล้ว”

  หลงชิงหานไม่ได้มาจวนหลายวันแล้ว บางทีเขาอาจจะได้ผลกระทบจากเรื่องนี้

  หลินเมิ้งหยามิได้คิดอะไรมาก นางสำรวจทุกซอกทุกมุมของห้องอ่านหนังสือ

  “ท่านอ๋องมีรับสั่งว่ามีอะไรหายไปหรือไม่?”

  หลินเมิ้งหยาเอ่ยถาม พ่อบ้านเติ้งครุ่นคิดก่อนจะส่ายหน้า

  “ของที่ท่านอ๋องใช้มีจำนวนเท่าเดิม อีกทั้งหากไม่ได้รับอนุญาตจากท่านอ๋องก็ไม่มีใครกล้าหยิบจับอะไรพ่ะย่ะค่ะ”

  พ่อบ้านเติ้งตอบ หลินเมิ้งหยาพยักหน้ารับ

  ทั้งโต๊ะและหนังสือล้วนถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

  ยิ่งไปกว่านั้นหลงเทียนอวี้ยังเป็นคนละเอียดรอบคอบ เขาไม่มีทางปล่อยผ่านสิ่งผิดปกติใดๆ ให้รอดพ้นสายตา

  หลินเมิ้งหยาสำรวจห้องอ่านหนังสืออีกรอบ นางไม่ละเว้นแม้แต่มุมกำแพง

  หากนางต้องการจะซ่อนของ นางจะเก็บไว้ที่ใดกันนะ?

  หลินเมิ้งหยาเงยหน้า มองขึ้นไปที่คานหลังคา

  หวังฮั่นหลินเป็นขุนนาง เขาคงไม่มีวิทยายุทธ์หรอกกระมัง

  นางครุ่นคิด หลงเทียนอวี้เองก็คงคิดเช่นเดียวกัน คงจะต้องตรวจสอบที่นั่น

  “ป๋ายซู เจ้าลองขึ้นไปดูหน่อยว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่?”

  ป๋ายซูพยักหน้าก่อนจะถีบกายกระโดดขึ้นไปด้านบน

  ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองดูคาน

  “วิชาตัวเบาของแม่นางป๋ายซูไม่เลวเลย”

  พ่อบ้านเติ้งอดที่จะชื่นชมเหล่าคนประหลาดในจวนของหลินเมิ้งหยาไม่ได้

  “พอใช้ได้ ในตำหนักของข้านางมีวิทยายุทธ์เป็นอันดับสาม”

  เมื่อพูดถึงเรื่องวิทยายุทธ์แล้ว แน่นอนว่าชิงหูเก่งเป็นลำดับหนึ่ง

  ช่วงนี้เย่ไม่ค่อยปรากฏตัวออกมา แต่หลินเมิ้งหยารู้ว่าเขาจะต้องอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่ง

  หากมีใครคิดจะเอาชีวิตนาง เย่จะต้องปรากฏตัวออกมาช่วยเหลืออย่างแน่นอน

  ส่วนเสี่ยวอวี้ หลังจากได้รับการฝึกจากคนเหล่านั้น วิทยายุทธ์ของเขาก็ก้าวหน้ามากขึ้น

  อีกหน่อยตำหนักของนางคงแข็งแกร่ง มิมีใครอาจหาญเหยียบย่างเข้ามาได้โดยไม่ได้รับอนุญาต

  “นายหญิง มีของเจ้าค่ะ!”

    ป๋ายซูชูกล่องเล็ก ๆ ขึ้น

  “นายหญิง พบสิ่งนี้เจ้าค่ะ”

  หลินเมิ้งหยารับกล่องไป เมื่อเปิดออกเห็นเป็นขี้ผึ้งเม็ดกลมเล็กๆ อยู่ภายในหนึ่งลูก

  “พวกเรากลับไปกันก่อนเถิด จำเอาไว้ว่าห้ามมิให้ผู้ใดรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”

  “เจ้าค่ะ”

  พวกนางมิได้ใช้เวลาอยู่ในห้องนี้นานนัก

  ในที่สุดก็ถึงค่ำคืนงานเลี้ยงไหว้พระจันทร์

  เหตุเพราะมีฐานะเป็นถึงชายาอวี้ ดังนั้นในวันที่สิบห้าเดือนแปด หลินเมิ้งหยาจึงต้องเข้าไปร่วมงานเลี้ยงในวังกับพระสนมเต๋อเฟย

  หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว พระสนมเต๋อเฟยส่งจิ่นเยว่มาดูการเตรียมตัวของหลินเมิ้งหยา

  “ท่านน้า ท่านไม่ได้มาที่นี่นานแล้วนะเจ้าคะ”

  เพียงเดินเข้ามาในสวนหลิวซิน ป๋ายจีรีบเข้าไปต้อนรับอย่างสนิทสนม

  ทว่าวันนี้จิ่นเยว่ดูซีดเซียวลงเล็กน้อย ท่าทางเหมือนคนกำลังฝืนยิ้ม

  “อืม ช่วงนี้ทางฝั่งเหนียงเหนียงค่อนข้างยุ่ง จริงซิ พระชายาเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”

  ป๋ายจีพยักหน้า ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความลำบากใจเล็กน้อย

  “ท่านน้ามาก็ดีแล้ว พวกเราเป็นเพียงสาวใช้ระดับล่าง มิรู้ว่างานเลี้ยงในวังหลวงมีข้อห้ามอะไรบ้าง ดังนั้นจึงรู้สึกลำบากใจมากเลยเจ้าค่ะ”

  ป๋ายจีพูดตามความจริง นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยาเข้าร่วมงานเลี้ยงของราชวงศ์

  แม้จะบอกว่าเป็นงานเลี้ยงของราชวงศ์ที่มีแต่เครือญาติ ทว่าของที่ต้องตระเตรียมกลับมีมากมาย

  ยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้มีคนจำนวนมากประสงค์ร้ายต่อชายาอวี้

  ภายในห้องเหล่าสาวใช้ทำให้หลินเมิ้งหยาต้องปวดหัว

  ก็แค่งานเลี้ยงตอนกลางคืนมิใช่หรือ? ทำไมถึงยุ่งยากขนาดนี้?

  “อย่าปักปิ่นระย้าอันนี้ไปเลยเพคะ เท่าที่หม่อมฉันดู ปิ่นลายดอกโบตั๋นในมือของป๋ายจีนับว่าไม่เลว”

  เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง

  หลินเมิ้งหยาพลันเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มอันคุ้นเคยของจิ่นเยว่ผ่านทางกระจก

  “ท่านน้าของข้าในที่สุดท่านก็มาแล้ว หากท่านไม่มาข้าคงถูกพวกนางทรมานตายอย่างแน่นอน”

  ไม่ว่าหลงเทียนอวี้หรือหลินเมิ้งหยาพวกเขาต่างมิได้มองว่าจิ่นเยว่เป็นเพียงทาสรับใช้ธรรมดา

  “หม่อมฉันมาแล้วเพคะ อันที่จริงหม่อมฉันก็ผิดเอง พวกเด็กสาวเหล่านี้มิรู้กฎระเบียบในวังหลวง จากนี้ไปข้าจะสอนพวกเจ้าทีละน้อย”

  จิ่นเยว่ลงมือจัดแต่งทรงผมให้หลินเมิ้งหยาด้วยความคุ้นเคย มองดูกระจก ก่อนจะวาดคิ้วให้นางอย่างสวยงาม

  มิรู้ว่าเพราะเหตุใดหลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกว่าน้าจิ่นเยว่ในวันนี้ดูแปลกไป

  หรือพระสนมเต๋อเฟยจะต้องรับมือกับเรื่องยุ่งยากในงานเลี้ยงวันนี้?

  “พวกเจ้าออกไปเตรียมตัวก่อน ข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่านน้า”

  สาวใช้ทั้งสี่ถอนตัวออกจากห้อง ภายในห้องจึงเหลือเพียงจิ่นเยว่กับหลินเมิ้งหยา

  “ท่านน้ามีเรื่องอะไรในใจอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นลองเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ บางทีข้าอาจช่วยเหลือท่านน้าได้”

  นางกำลังเขียนคิ้วเป็นเส้นเรียวยาว สีหน้าแสดงถึงความลังเลเล็กน้อย สุดท้ายจึงวางอุปกรณ์แต่งหน้าลง

  จิ่นเยว่หยักยิ้มขมขื่นขณะมองหน้าหลินเมิ้งหยา พระชายาฉลาดเฉลียวยิ่งนัก ดูเหมือนตนเองจะมิอาจปิดบังเรื่องนี้ได้

  “เรื่องบางเรื่องพระชายาไม่รู้จะดีกว่าเจ้าค่ะ หากรู้เข้าพระองค์จะยิ่งคิดมาก”

  หลินเมิ้งหยากลับหัวเราะ หันมองกระจก ริมฝีปากแดงขับกับฟันขาวเรียงตัวสวย

  “หากท่านน้าไม่อยากพูดเหตุใดจึงส่งสายตากังวลมาเล่า ท่านน้าฉลาดหลักแหลมกว่าพวกนางมาก เหตุใดจึงแสดงความกังวลออกมาทางสีหน้าให้เห็นกัน?”

  แม้หลินเมิ้งหยาจะมองจิ่นเยว่เป็นเหมือนคนของตนเอง

  แต่บางเรื่องก็ยังต้องเว้นระยะต่อกันเอาไว้

  ดวงตาของจิ่นเยว่เผยความรู้สึกซาบซึ้งออกมาให้เห็น ร่องรอยของความโศกเศร้าพลันมลายหายไป

  นางหยิบหวีขึ้นหวีผมให้กับหลินเมิ้งหยา

  ช่างเป็นหญิงที่สวยสง่า งดงามดั่งอัญมณี

  “พระชายาเกิดในสกุลหลิน มิทราบว่าเคยได้ยินเรื่องท่านอ๋องหลิงหนานหรือไม่?”

  ท่านอ๋องหลิงหนาน? หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด เหมือนท่านพ่อจะเคยพูดถึง

  ท่านอ๋องผู้นี้คือองค์ชายที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนรักและเอ็นดูเป็นอย่างมาก

  แต่เพราะความรักและเอ็นดูจึงทำให้องค์ชายผู้นี้สูญเสียคุณสมบัติในการสืบทอดราชบัลลังก์

  แต่เพราะองค์ชายหลิงหนานสนิทสนมกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอย่างยิ่ง

  ฉะนั้นแม้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะขึ้นครองราชย์ แต่กระนั้นเขาก็ยังรักและเอ็นดูน้องชายของตนเอง

  “ท่านอ๋องหลิงหนานมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาและอุปนิสัยอ่อนโยน ในเวลานั้นเหล่าสตรีชั้นสูงต่างพยายามทอดสะพานให้พระองค์ ต่อมามีคุณหนูสูงศักดิ์สกุลหนึ่งได้ครองรักกับท่านอ๋องหลิงหนาน แต่เพราะเหตุผลบางประการ ทำให้ทั้งคู่มิอาจแต่งงานกันได้”

  แม้น้าจิ่นเยว่จะไม่ได้บอกว่าใครแต่หลินเมิ้งหยาพอจะเดาได้แล้ว

  เกรงว่าคุณหนูสูงศักดิ์ผู้นั้นคงกำลังพำนักในตำหนักหยาเสวียนในขณะนี้

  ทั้งที่มีความสัมพันธ์กับท่านอ๋องหลิงหนานแต่กลับถูกเรียกตัวเข้าวัง

  ดูเหมือนผั่วผั่วของนางจะต้องเป็นสาวสวยมหันตภัยของวังหลวงเป็นแน่

  “ท่านน้ามีความกังวลอะไร ได้โปรดกล่าวออกมาเถิด แม้เมิ้งหยาจะอายุน้อยและอาจจะไม่เข้าใจแต่อย่างน้อยก็พอรู้เรื่องรู้ราวอยู่บ้าง”

  จิ่นเยว่นิ่งไป เผยสีหน้าลำบากใจ

  “ท่านอ๋องเองก็จะมาร่วมงานเลี้ยงในคราวนี้ ท่านเองก็รู้ว่าฮองเฮามิชื่นชอบคนของจวนเรานัก แต่ก่อนมีคนเคยนำเรื่องของท่านอ๋องและเหนียงเหนียงมาเล่า หนู่ปี้ไม่มีความกังวลเรื่องใด เพียงแต่หวังว่าพระชายาจะเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เท่านั้นเพคะ”

  พูดไปพูดมา เรื่องราวระหว่างพระสนมเต๋อเฟยกับองค์ชายหลิงหนานนับว่าเป็นเรื่องอื้อฉาวที่โด่งดังมากในวังหลวง

  ในวันปกติยังไม่เท่าไรแต่วันนี้มีเหล่าราชนิกูลมากมายมาเข้าร่วม

  เกรงว่าเรื่องนี้อาจจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง

  “ช่วยไม่ได้ ข้ามีวิธีรับมือของข้าอยู่ ท่านน้าอย่ากังวลไปเลย ขอบคุณท่านน้ามากที่มาเตือน ข้าไม่มีวันปล่อยให้ใครดูถูกคนของพวกเราเด็ดขาด”

  ดูเหมือนพวกคนที่ปล่อยข่าวลือเหล่านั้นจะเป็นคนของฮองเฮาอย่างแน่นอน

  หากท่านอ๋องหลิงหนานอยู่ใกล้พระสนมเต๋อเฟยเมื่อใด เรื่องนี้คงยากที่จะถูกลืมเลือน

  คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะยุ่งวุ่นวายถึงเพียงนี้

  ทางนี้ยังไม่ทันแก้ปัญหาได้เรียบร้อย ทางพระสนมเต๋อเฟยกลับมีเรื่องมาซ้ำเติม

  ไม่ว่าจะป้องกันอย่างไรก็ยังไม่ดีพอ

  เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ เสียงรถม้าคันแล้วคันเล่าเคลื่อนไปยังประตูวังหลวงฝั่งทิศตะวันตกเฉียงใต้

  บรรดาองค์ชายของฮ่องเต้ล้วนขี่ม้าเข้าไปทางประตูหลัก ผ่านประตูฉงฮวาก่อนจะถึงตำหนักชุนเอิน

  ส่วนเหล่าพระชายาและสนมทั้งหลายล้วนมีเกี้ยวสีแดงมารับเข้าไปที่หน้าประตูตำหนักชุนเอิน

  ส่วนพระญาติธรรมดาเมื่อลงจากรถม้าแล้วจะต้องเดินเข้าไปเอง

  เพียงรถม้าของพระสนมเต๋อเฟยและหลินเมิ้งหยาไปถึงประตูเล็กทางทิศใต้ สายตาหลายคู่ต่างพากันจับจ้อง

  พระสนมเต๋อเฟยไม่เพียงพาจิ่นเยว่และจิ้งเยว่มา ด้านหลังยังมีสาวใช้ระดับหนึ่งอีกสี่คนตามมาด้วย

  ดังนั้นเมื่ออยู่ท่ามกลางเหล่าสตรีทั้งมวล นางจึงดูโดดเด่นอย่างยิ่ง

  นางมีรูปร่างสูงโปร่ง วันนี้สวมใส่ชุดสีม่วงปักดิ้นทอง ทั้งแขนเสื้อและปกเสื้อล้วนตกแต่งด้วยขนจิ้งจอก

  ศีรษะประดับด้วยรัดเกล้าหยก เครื่องประดับไข่มุกล้วนขับให้นางงามสง่าน่าเคารพนับถือ

  แม้มีใบหน้าสง่างามแต่ถึงกระนั้นยังเจือไว้ซึ่งรอยยิ้มอ่อนโยนมีมารยาท

  “โอ้ ถวายคำนับพี่เต๋อเฟย นี่คงเป็นชายาอวี้อย่างนั้นสินะ ดูแล้วสูงสง่ากว่าผู้อื่นยิ่งนัก สุดท้ายพี่เต๋อเฟยก็เป็นคนที่โชคดีที่สุด”

  ยังไม่ทันจะยืนให้มั่นคง สตรีสวมใส่ชุดฉาวฝูคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาทักทายพร้อมรอยยิ้ม