ตอนที่202 เขาพูดว่าอะไร
ฉีเล่ยพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มที่ได้รับคำชื่นชมจากอีกฝ่าย และเอ่ยตอบไปว่า
“แล้วอาการป่วยก่อนหน้าตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ?”
“อาการป่วย?”
ถ้าไม่บอก ด็อกเตอร์ทอมสันคงไม่ทันสังเกตเห็นว่า อาการหายใจติดขัดของตนก่อนหน้านี้ได้หายดีเป็นปลิดทิ้งแล้ว เนื่องจากฉีเล่ยได้ทำการปรับสมดุลร่างกายของอีกฝ่ายให้กลับมาเสถียรได้อีกครั้ง
ด็อกเตอร์ทอมสัน เอ่ยถามต่อด้วยสีหน้าประหลาดใจทันที
“คุณอาจารย์ครับ นี่มันช่างมหัศจรรย์มากจริงๆ ตอนนี้โผ๊มรู้สึกดีขึ้นแล้ว หรือว่าการฝังเข็มที่ว่าจะเกี่ยวข้องกับพลังปราณจริงๆ?”
ฉีเล่ยกล่าวตอบไปว่า
“ใช่ครับ”
เมื่อครู่เขาได้สำแดงใช้วิชาเข็มหยกปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนท่าแห่งวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ไป และถ้าเขาที่เอาจริงถึงขั้นนี้แต่ยังไม่สามารถรักษาอีกฝ่ายได้ ก็นับว่าเสียชาติเกิดแล้ว
“ช่างมหัศจรรย์จริงๆ”
ฉีเล่ยอาศัยโอกาสนี้อธิบายต่อ เพื่อให้ชาวต่างชาติเห็นค่าของศาสตร์แพทย์แผนจีนทันที เขาบอกกับด็อกเตอร์ทอมสันไปว่า
“ลองคิดดูสิครับว่า ถ้าวงการแพทย์แผนจีนกลับมาเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง พวกเราจะสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยบนโลกได้อีกมากมายขนาดไหน?”
ด็อกเตอร์ทอมสันรีบคว้าสมุดบันทึกมาจดทันที และเงยหน้าขึ้นมองฉีเล่ยพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“การฝังเข็มแบบจีนโบราณนับว่าสุดยอดมากจริงๆ โผ๊มเคยได้ยินแต่คนอื่นเขาพูดกันว่า การฝังเข็มแบบจีนมันวิเศษอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ไม่เคยได้สัมผัสจริงๆสักครั้ง อ่อแล้วก็…ทักษะที่คุณเพิ่งใช้ไปมีชื่อเรียกไหมครับ?”
ฉีเล่ยยิ้มตอบไปตามตรง
“เคล็ดวิชาเข็มหยกปาฎิหาริย์ครับ เป็นหนึ่งในกระบวนท่าของวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ สามารถปรับสมดุลธาตุทั้งหกในร่างกายได้”
ขณะที่กล่าวถึงตรงนี้ ฉีเล่ยก็หยิบเข็มเล่มนั้นออกมาจากแขนของอีกฝ่าย และกล่าวว่า
“เอาล่ะ ลองดูต่อจากนี้ให้ดีนะครับ”
ฉีเล่ยนำเข็มไปฆ่าเชื้อใหม่อีกครั้ง จากนั้นจึงเริ่มทำการฝังเข็มแบบเดิมในตำแหน่งเดิมอีกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่ว่าครั้งนี้เขาลดความเร็วและน้ำหนักในการลงเข็มให้เบามือลงเล็กน้อย
เมื่อปลายเข็มจมเข้าไปในชั้นผิวหนัง ฉีเล่ยก็ใช้นิ้วทั้งสองบีบคลึงตัวเข็มไปสองสามที ก่อนจะลงน้ำหนักเพิ่มลงไปอีกครั้ง
“รู้สึกอะไรบ้างไหมครับ?”
คราวนี้นัยน์ตาสีฟ้าสดใสของด็อกเตอร์ทอมสันถึงกับเบิกกว้าง จับจ้องฉีเล่ยด้วยความประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เกินกว่าจินตนาการของเขาไปแล้ว
เขาหันขวับมองไปทางบรรดาเพื่อนฝูง พร้อมกับร้องออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า
“โอ้ก้อด! โซ อะเมสซิ่ง!”
“คุณอาจารย์ โผ๊มรู้สึกร้อนมาก ทำไมจู่ๆครั้งนี้ถึงรู้สึกร้อนแบบนี้? ช่างมหัศจรรย์จริงๆ! โซแฟนแทสติก!”
“นี่ก็เป็นวิชาเข็มหยกปาฏิหาริย์เช่นกันครับ แต่เป็นการปรับสมดุลธาตุไฟภายในตัว”
ด็อกเตอร์ ทอมสันรีบเอ่ยถามด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความหวังทันทีว่า
“โอ้ คุณอาจารย์ ช่วยสอนวิชานี้ให้โผ๊มได้ไหมครับ?”
ชาวตะวันตกมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ เมื่อใดที่พบว่าสิ่งนั้นดี พวกเขาจะพยายามจดบันทึก และเรียนรู้ทุกอย่างเพื่อนำไปศึกษาต่อยอด แม้อาจจะดูเหมือนเห็นแก่ตัวไปสักหน่อย แต่เพราะธรรมชาติเช่นนี้ของชาวตะวันตกนี่เอง จึงทำให้การแพทย์ตะวันตกพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ซึ่งตรงข้ามกับศาสตร์แพทย์แผนจีน ที่นับวันก็จะยิ่งหายสาบสูญ
ฉีเล่ยส่ายหัวและกล่าวว่า
“เกรงว่าจะไม่ได้ครับ”
ด็อกเตอร์ทอมสันกล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกผิดทันที
“อ่อ โผํมต้องขอโทษจริงๆครับ เคยอ่านเจอในหนังสือวัฒนธรรมอยู่น่ะครับว่า คนจีนอย่างพวกคุณมักจะชอบเก็บซ่อนทักษะความสามารถเป็นการส่วนตัว และจะถ่ายทอดให้กับคนในครอบครัวเดียวกันเท่านั้น ยังไงโผ๊มต้องโทษอีกครั้งนะครับที่ล่วงเกิน”
ฉีเล่ยยิ้มและกล่าวตอบไปทันที
“ด็อกเตอร์ ทอมสัน คุณเข้าใจผิดแล้วครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะสอนให้ แต่เกรงว่าทักษะนี้จะซับซ้อนและยากเกินเข้าใจ และที่สำคัญที่สุดก็คือ การจะศึกษาศาสตร์สายนี้จำเป็นต้องมีเงื่อนไขพิเศษด้วยครับ”
“เงื่อนไขพิเศษอารายเหรอคับ?”
“ผู้ฝึกฝนวิชาจะต้องสามารถใช้ลมปราณได้”
คำพูดหลังจากนี้ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ด็อกเตอร์ทอมสันนี่แหละเป็นแฟนหนังจีนตัวยง
“ลมปราณ! ลมปราณแบบดาบมังกรหยก!”
“…”
ต้องขอบคุณหนังจีนเรื่องนี้จริงๆที่ทำให้คนทั้งโลกได้รู้จักคำว่า ลมปราณ
ฉีเล่ยพยักหน้าตอบอย่างช่วยไม่ได้
“ประมาณนั้นล่ะครับ”
ในเวลานี้เอง จู่ๆก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งในคณะชาวต่างชาติ เดินตรงมาพูดกับด็อกเตอร์ทอมสันเป็นภาษาอังกฤษชนิดไม่มีเว้นช่องไฟ ดูคล้ายกับว่าทั้งสองคนกำลังโต้เถียงอะไรกันสักอย่างอยู่ ซึ่งสีหน้าของแต่ละฝ่ายก็ดูไม่ค่อยพอใจกันเท่าไหร่นัก
ในที่สุดด็อกเตอร์ทอมสันก็ยักไหล่ และหันไปพูดกับฉีเล่ยว่า
“เขาเป็นศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองจากมหาวิทยาลัยของเรา ชื่อว่า ด็อกเตอร์ฮาเมอร์ เขาอยากรู้ว่าการฝังเข็มของคุณจะสามารถรักษาโรคทางนี้ได้ไหมครับ?”
โรคหลอดเลือดหัวใจและสมองเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุปัจจัยมาก ระยะเริ่มต้นเกือบร้อยทั้งร้อยไม่มีใครสามารถตรวจพบอาการได้เจอ และความน่ากลัวของเจ้าโรคนี้ก็คือ หากปล่อยทิ้งไว้ และกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ อาจถึงขั้นทำให้เป็นอัมพาตหรือนอนเป็นมนุษย์ผักไปตลอดชีวิตได้
ในศาสตร์การแพทย์ตะวันตก จะสามารถบรรเทาอาการเบื้องต้นได้โดยใช้ยา วิธีการตรวจสอบเพื่อให้รู้ว่ามีแนวโน้ม หรือความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้หรือไม่นั้น ก็มีอยู่มากมาย ทั้งการเอ็กซ์เรย์ การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตรวจสอบผ่านห้องปฏิบัติการ และอีกมากมาย เมื่อยืนยันผลได้แล้ว ค่อยเข้าสู่กระบวนการผ่าตัดต่อไป
แต่ในศาสตร์การแพทย์แผนจีน โดยส่วนใหญ่จะรักษาโดยการฝังเข็มและต้มยาจีนดื่มอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีวิธีรักษาโรคดังกล่าวให้หายขาดได้ อย่างมากที่สุดก็แค่เสริมภูมิให้ร่างกายแข็งแรงอยู่ตลอดเวลา
ฉีเล่ยยิ้มและกล่าวอธิบายไปว่า
“วิธีการรักษาแบบแพทย์ตะวันตกคือการใช้ยาและการผ่าตัด ซึ่งมันก็ได้ผลดีและผมเองก็ไม่เถียงเช่นกัน แต่นั่นเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุแล้ว อย่างไรก็ตาม ศาสตร์แพทย์แผนจีนจะให้ความสำคัญกับรากเหง้าของปัญหา และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น หลังจากวินิจิฉัยจนพบว่าผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โดยส่วนใหญ่พวกเราจะให้คนไข้ต้มสมุนไพรซึ่งเป็นยาจีนดื่มอย่างสม่ำเสมอ”
“ในเชิงทฤษฎีของการแพทย์แผนจีน จะมองไปถึงเรื่องความสมดุลหยินและหยางในร่างกาย ขอเพียงตรวจพบว่า จุดใดของร่างกายที่เป็นบ่อเกิดของความไร้เสถียร ก็แค่แก้ไขในจุดนั้นให้กลับมาเป็นปกติ ถ้าพื้นฐานของร่างกายเราแข็งแรง โรคภัยก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน”
“เนื่องจากยังมีอีกหลายคนไม่เข้าใจและเชื่อว่า ยาสมุนไพรจีนสามารถรักษาโรคหลอดเลือดในหัวใจและสมองได้ จึงทำให้ผู้ป่วยโดยส่วนใหญ่ที่มาหาแพทย์แผนจีนล้วนเป็นโรคดังกล่าวมากันก่อนอยู่แล้ว ซึ่งนั่นมันก็สายเกินกว่าที่พวกเราจะทำอะไรได้เช่นกัน แต่ถึงอย่างไรทางเราก็จะพยายามรักษาให้ถึงที่สุด ยังดีกว่าที่จะให้พวกเขานั่งรอความตาย”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามที่ซับซ้อนแบบนี้ ฉีเล่ยเองก็ทำอะไรไม่ค่อยจะถูกเช่นกัน
ทำได้เพียงแค่อธิบายให้อีกฝ่ายฟัง และคลายข้อสงสัยที่อีกฝ่ายเอ่ยถามเท่านั้น
ด็อกเตอร์ทอมสันทำหน้าที่แปลคำพูดของฉีเล่ยเป็นภาษาอังกฤษให้ด็อกเตอร์ฮาเมอร์ฟัง และหลังจากได้ยินแบบนั้น เขาก็ถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะเยาะลั่นพร้อมกับเพื่อนๆอีกสองสามคนที่อยู่ข้างๆ ทั้งหมดทำสีหน้าเหยียดหยามจ้องมองมาใส่ฉีเล่ย และพูดอะไรสักอย่างเป็นภาษาอังกฤษ
ฉีเล่ยปรายตามองพร้อมกับถามด็อกเตอร์ทอมสันไปว่า
“เขาพูดอะไรเหรอครับ?”
ด็อกเตอร์ทอมสันอธิบายด้วยน้ำเสียงกระอึกกระอักจือท่าทีประหม่าเล็กน้อย
“เอ่ออ…ด็อกเตอร์ฮาเมอร์เป็นพวกขี้สงสัยไปเรื่อยแหละครับ อย่าปายสนใจเลย”
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลังจากตอบฉีเล่ยไปแล้ว ด็อกเตอร์ทอมสันก็ส่งสายตาให้ด็อกเตอร์ฮาเมอร์ เป็นเชิงปรามว่าให้หยุดหัวเราะได้แล้ว และอย่าทำตัวหยิ่งผยองจนเกินไป เพราะตัวเขาเป็นสักขีพยานให้กับทักษะที่ล้ำเลิศของฉีเล่ยได้ และเชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้มีฝีมือจริงๆ
ฉีเล่ยหันไปถามพวกลูกศิษย์ตัวเองอย่างช่วยไม่ได้
“เขาพูดว่าอะไร?”
แม้เขาจะไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกศิษย์ของเขาจะไม่เข้าใจ ซึ่งสีหน้าการแสดงออกของนักศึกษาเหล่านั้นก็ดูโมโหอย่างมาก แต่ก็ยังช่วยแปลให้ฉีเล่ยฟัง
“มันบอกว่า ในเมื่อคุณพยายามจะอวยว่ายาจีนนั้นดีนักหนา แล้วทำไมยาจีนถึงหายสาปสูญจนแทบไม่เหลืออย่างทุกวันนี้ ส่วนอาจารย์ก็มีดีแค่พูดเก่ง ถึงได้ทำให้ด็อกเตอร์ทอมสันเชื่อได้”
ฉีเล่ยหันไปจ้องด็อกเตอร์ฮาเมอร์เขม็งทันที เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยท้าทายออกไปว่า
“งั้นพวกเรามาเดิมพันกันหน่อยดีไหมครับ?”
เหอจื่อทำหน้าที่เป็นล่าแปลคำพูดของฉีเล่ยให้อีกฝ่ายฟังทันที
ด็อกเตอร์ฮาเมอร์ตอบสวนกลับมาเป็นภาษาอังกฤษอย่างรวดเร็วเช่นกั
“จะเดิมพันด้วยอะไรดีล่ะ?”