ตอนที่ 160 หลิวหลีผู้ก้าวสู่ระดับปรมาจารย์

แม่ครัวยอดเซียน

“หลงหลิวหลี เร็วหน่อย หอยทากยังเร็วกว่าเจ้าเลย” เพลิงลมสลาตันคอยหาเรื่องหลิวหลีอยู่ข้างกายนาง จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้ว

“เหอะ คิดว่าข้าเป็นเหมือนเจ้าหรืออย่างไร เวลาไปไหนก็ลอยไปมา แบบข้านี่ถือว่าเร็วแล้ว อีกอย่างเจ้าเคยเห็นหอยทากเหรอ” พูดจาเสียดสีกันไปนานๆ หลิวหลีที่เดิมทียังงงๆก็เริ่มจะกัดกลับไปต่างๆนานา ในเมื่อไม่ยอมให้นางอยู่อย่างเป็นสุข อีกฝ่ายก็อย่าหวังจะสงบสุขเลย รอนางพิชิตมันได้ก่อนเถอะ จะต้องทำให้มันรู้ว่าการทารุณนางเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง

เพลิงลมสลาตันพูดไม่ออก เพราะมันเองก็ไม่เคยเห็นหอยทากจริงๆ แต่เคยได้ยินคนเปรียบเทียบมาเช่นนี้ ฮือๆ ตอนแรกคนผู้นี้ยังทนยอมให้มันทารุณอยู่เลย ตอนนี้ทำไมปากร้ายเช่นนี้ มันเถียงสู้นางไม่ได้ควรจะทารุณนางต่อไปดีหรือไม่ เหอะ นานขนาดนี้แล้วยังไม่ใกล้จะแตะขอบๆช่วงรวมกายาระยะสุดยอดเสียที อ่อนแอจนเกินไปแล้ว โดยลืมไปเสียสนิทเลยว่าพลังบำเพ็ญเพียรทั้งหมดของหลิวหลีถูกผนึกเอาไว้ นางแค่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาเท่านั้น

“เพลิงลมสลาตัน เจ้าเถียงสู้นางได้หรือ” เสียงหญิงสาวที่หายไปนานก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“เถียงไม่ได้ ฮือๆ นางรังแกข้า” ราวเห็นเจ้านาย เพลิงลมสลาตันรีบพูดไปร้องไห้ไป

“เจ้าเป็นคนเลือกเอง จะเปลี่ยนตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว” เสียงหญิงสาวนางนั้นแฝงไปด้วยความสุขในขณะที่เห็นอีกฝ่ายทุกข์ทน

ดังนั้นนี่คือสิ่งที่มันเลือก ดังนั้นก็ต้องรับให้ได้สินะ เพลิงลมสลาตันรู้สึกว่าถ้าตัวเองมีหัวใจ เขาคงต้องรู้สึกเสียใจมากแน่

“ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก นอกจากนางจะชอบว่าข้าแล้ว นางยังเป็นนักบำเพ็ญที่มีความพยายามมากที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมา มิน่าตั้งแต่เริ่มมีการจัดอันดับผู้ถูกเลือก มีแต่นางที่ได้เข้ามาในดินแดนแห่งนี้ คงเป็นโชคชะตาแน่ๆ” เพลิงลมสลาตันสรุป

“นางบำเพ็ญเพียรมานานขนาดนี้ต้องดูผลลัพธ์สักหน่อยแล้ว” เสียงหญิงสาวดังขึ้น และนางจึงปลดผนึกพลังเซียนในตัวของหลิวหลีทันที หลิวหลีที่กำลังพยายามฝึกฝน ก็สัมผัสได้ถึงพลังเซียนของตัวเองถูกปลดผนึกแล้ว จะบอกให้นางรู้ตัวก่อนเลยไม่ได้หรือ

พลังเซียนที่ถาโถมมาราวจะกลืนกินหลิวหลีไปทั้งตัว พลังในร่างกายเคลื่อนไหวราวแม่น้ำกำลังไหลบ่าลงสู่มหาสมุทร เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง หลิวหลีรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะแตะพลังอีกช่วง แต่เหมือนยังขาดอะไรไปบางอย่าง ทำให้ไม่สามารถหาทางออกได้

“ถ้าเป็นเช่นนั้นควรคืนเพลิงอัคคีให้หลิวหลีได้แล้ว” เสียงหญิงสาวเข้าใจสถานการณ์หลิวหลีเป็นอย่างดี จึงปล่อยเพลิงอัคคีที่นางยึดไปคืนหลิวหลี

เมื่อเพลิงอัคคีสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหลิวหลี ก็รีบหลั่งไหลเข้าไปในตัวของหลิวหลี ความรู้สึกที่คุ้นเคยนี้ทำให้หลิวหลีได้รู้ว่าเพลิงอัคคีของตัวเองที่ถูกยึดไปนั้นได้กลับมาแล้ว เมื่อเพลิงอัคคีกลับมาแล้ว นางก็สัมผัสได้ถึงปราการบางอย่างได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เหมือนว่าต้องได้แรงกระตุ้นช่วยนางจึงสามารถทลายปราการนี้ลงได้

“เพลิงลมสลาตัน ถึงตาเจ้าแล้ว” เหมือนสัมผัสได้ว่าหลิวหลีถึงช่วงสุดยอด จะบรรลุช่วงพลังต่อไปนั้นต้องใช้เพลิงอัคคีชนิดต่อไป เสียงหญิงสาวบอกให้เพลิงลมสลาตันเข้าร่างหลิวหลี

“ข้าจะได้เจอเจ้าอีกไหม” เสียงเพลิงลมสลาตันซึมเศร้าลงเล็กน้อย อย่างไรเสียตั้งแต่เริ่มมีการจัดอันดับผู้ถูกเลือก นางก็อยู่กับเขามาตลอด ตอนนี้จึงรู้สึกอาลัยอาวรณ์น้อยๆ

“ต้องได้เจอสิ เจ้านายของเจ้ามีชะตาเหนือฟ้า อีกทั้งยังมีบารมีคอยคุ้มครอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เจ้านายเจ้าเป็นผู้มีบุญญาธิการ พวกเราจะต้องได้เจอกันอีกแน่” เสียงหญิงสาวปลอบโยน

“ได้ เจ้าห้ามหลอกข้านะ” เพลิงลมสลาตันพูดจบ ก็กลายร่างเป็นแสงเข้าร่างหลิวหลี นางสัมผัสได้ว่ามีเพลิงอัคคีที่ไม่คุ้นเคยไหลเข้าร่างกาย นี่เป็นเพลิงลมสลาตัน

“เพลิงลมสลาตัน เจ้าเต็มใจหรือไม่ ข้าไม่อยากบังคับเจ้า” ถึงเพลิงอัคคีนี้จะไม่ต่างอะไรจากเป็ดเป็นฝูง ไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่ทำตัวราวชำนาญ แต่เพลิงอัคคีชนิดนี้ใสซื่อบริสุทธิ์ราวเด็กน้อย

“ทำไม พยายามมาตั้งนานขนาดนี้ จะไม่รับผิดชอบข้าเลยหรือ จะบอกเจ้าอย่างนะ อย่าคิดจะสลัดข้าทิ้งง่ายๆ” เพลิงลมสลาตันคิดว่าว่าหลิวหลีไม่ต้องการตนเอง พลันโมโหน้อยๆ นี่มันเวลาไหนแล้วยังจะรังเกียจกันอีก มันจึงเสียใจน้อยๆ

“ได้ แต่เจ้าอย่าเสียใจทีหลังแล้วกัน” ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้านางไม่บรรลุช่วงพลังคงจะรู้สึกผิดกับความร่วมมือขนาดนี้ของอีกฝ่ายแน่

เพลิงลมสลาตันกลายร่างเป็นเปลวไฟสีเทาไหลวนสะเปะสะปะอยู่ในร่างกายของหลิวหลี หลิวหลีกระแทกจนภายในร่างกายเกือบบาดเจ็บ หลิวหลีรีบโคจรวิชา แล้วปล่อยเพลิงอัคคีที่เหลือออกมา เพื่อนำเพลิงลมสลาตันให้เคลื่อนไหวไปตามทาง หลังจากเดินพลังจนทั่วร่างกายแล้ว เพลิงลมสลาตันก็เริ่มคุ้นเคยจึงเคลื่อนไหวเอง และสุดท้ายมันจึงเข้าไปในลมปราณเส้นหนึ่งของหลิวหลี และกลายเป็นเส้มลมปราณสีเทา ทว่า

“หลิวหลี หลิวหลี ข้ากลายเป็นเส้นลมปราณเส้นหนึ่งของเจ้าแล้ว ตอนนี้ถึงเจ้ารังเกียจข้าก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ” เพลิงลมสลาตันพูดอย่างได้ใจ

เอิ่ม ถึงแม้จะกลายเป็นเส้นลมปราณของนาง แต่ยังพูดมากอยู่เหมือนเดิม ยังดีที่เพลิงอัคคีชนิดอื่นพูดไม่ได้ ไม่เช่นนั้นในร่างนางคงครึกครื้นน่าดู นอกจากคนจะเต็มโต๊ะแล้ว อาจจะต้องใช้เก้าอี้เสริม

“ใช่ๆ แต่ให้ข้าบรรลุช่วงพลังก่อนจะได้ไหม” นางสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากที่เพลิงลมสลาตันเข้าร่างกาย นางกำลังจะบรรลุช่วงแล้ว ช่วงเวลาเหมือนจะเอ็นดูนางไม่น้อย

หลิวหลีสัมผัสได้ถึงพลังเซียนที่เคลื่อนไหวรุนแรงในร่างกาย เมื่อมาถึงจุดๆหนึ่ง ปราการก็เบาบางลงไปเรื่อยๆจนบางลงราวกระดาษ หลิวหลีรวมรวบพลังโจมตีที่รุนแรงน้อยๆ จนท้ายที่สุดได้ยินเสียงเปรี๊ยะ ปราการพังทลายลง หลิวหลีเข้าเกณฑ์ต่ำสุดในการเป็นท่านปรมาจารย์ในสำนักแล้ว

“อยู่ในช่วงชำระล้างแล้วหรือ คงจะไม่สามารถบรรลุช่วงพลังต่อไปได้ในช่วงนี้แน่ๆ” หลิวหลีคิดได้เช่นนั้น จึงลืมตาขึ้น

“หลงหลิวหลี เจ้าไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวังจริงๆ จำเอาไว้จงใช้เพลิงลมสลาตันในทางที่ดี ทางออกอยู่ตรงนั้น” เสียงหญิงสาวดังขึ้นเพื่อแสดงความยินดีให้แก่หลิวหลี และชี้ทางออกให้นาง

“ขอบคุณท่านมาก ผู้อาวุโสได้โปรดบอกชื่อของท่านได้หรือไม่ ในภายหน้าข้าต้องตอบแทนท่านแน่นอน” ท่าทีหลิวหลีเปิดเผย ถึงแม้นางจะอยู่ในช่วงชำระล้างแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ที่อยู่ของเจ้าของเสียง เมื่อถามเพลิงลมสลาตัน มันก็ไม่รู้เช่นกัน ว่าเจ้าของเสียงคือใคร หลิวหลีอยากจะทุบเพลิงลมสลาตัน เป็นเพื่อนบ้านกันประสาอะไร ตั้งแต่มีการจัดอันดับผู้ถูกเลือกก็อาศัยอยู่ด้วยกัน แต่กลับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร คงไม่มีใครเป็นแบบนี้อีกแล้ว

“ไม่จำเป็น อย่างน้อยตอนนี้เจ้าก็ช่วยอะไรข้าไม่ได้ หากเรามีวาสนาจะต้องได้พบกัน ของในนี้ล้วนแต่เป็นของผุพัง ไร้ประโยชน์ มีประโยชน์ต่อผู้บำเพ็ญที่อยู่ในช่วงต่ำกว่าช่วงชำระล้าง และไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเจ้า หากเจ้าอยากออกช้าสักหน่อย ก็แล้วแต่เจ้า”

หลังจากเสียงหญิงสาวสิ้นสุดลง ไม่ว่าหลิวหลีจะเรียกอย่างไรก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา

“ดูแล้วช่วงชำระล้างก็ยังคงอ่อนแอมาก” หลิวหลีพึมพำกับตัวเอง แล้วปรับพลังบำเพ็ญเพียรของตัวเองให้อยู่ในช่วงรวมกายา หลิวหลีไม่สนใจเศษขยะเหล่านี้ เป็นดังเสียงนั้นบอก พอพลังบำเพ็ญเพียรสูงขึ้น ของพวกนั้นก็ดูไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ

“นังหนู แค่เพียงช่วงพริบตาเดียวเท่านั้น เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่ เหตุใดจึงเข้าสู่ช่วงชำระล้างแล้ว” เอ๋าเลี่ยตกใจ นังหนูก้าวหน้าเร็วมาก จากช่วงรวมกายาเข้าสู่ช่วงชำระล้างเป็นเหมือนคนละโลก ไม่ได้บรรลุง่ายๆขนาดนั้น อีกทั้งเคล็ดวิชาที่นังหนูฝึกฝนก็มีความพิเศษ จำเป็นต้องใช้เพลิงอัคคี เพลิงอัคคีคงไม่ได้วิ่งโร่มาหานางกระมัง ไม่ว่าคิดอย่างไรเขาก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“อาเลี่ย ข้าบอกเจ้าได้เพียงแค่พลังบำเพ็ญเพียรช่วงชำระล้างในตัวข้าเป็นจริง แล้วข้าก็ได้เพลิงอัคคีที่เสนอตัวมาหาข้าถึงที่ แถมบำเพ็ญเพียรไปหลายร้อยปีถึงได้พิชิตเพลิงอัคคีจนบรรลุช่วงชำระล้างได้สำเร็จ” หลิวหลีหวนนึกถึงช่วงเวลาหลายร้อยปีที่แสนโหดร้าย นึกว่านางนั่งจรวดแล้วบรรลุขึ้นปุปปับหรืออย่างไร

“หลายร้อยปีเรอะ นังหนู การประลองเพิ่งเริ่มไปแค่ครึ่งเดือน หรือเกิดเรื่องที่ข้าไม่รู้หรือนี่” สีหน้าเอ๋าเลี่ยเคร่งเครียด ขณะที่เขาไม่รู้ นังหนูไปผจญอะไรมาคนเดียวหรอกหรือ จื่อฉีที่อยู่ดีๆก็บรรลุช่วงบำเพ็ญตามหลิวหลี ตอนนี้จึงเข้าฌาน หากเป็นเช่นนี้คนที่มีความสุขที่สุดก็คงจะเป็นจื่อฉี เพราะไม่เคยได้ประโยชน์จากคู่พันธสัญญามาก่อน

“เจ้าไม่รู้หรือ? ออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิวหลีเหมือนได้ยินเสียงดินแดนกำลังจะปริร้าว จึงตัดบทเอ๋าเลี่ย ในเมื่อไม่ได้สนใจขยะพวกนั้นแล้ว นางจึงตรงไปที่ทางออก เมื่อเสียงโครมดังขึ้น ดินแดนแห่งนี้ก็พังทลายกลายเป็นพลังเซียนบริสุทธิ์ไหลเข้าสู่มิติในร่างหลิวหลี ส่งผลให้พลังเซียนในมิติบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น เอ๋าเลี่ยที่มองดูอยู่ตกตะลึง คราวนี้ถ้าเข้าฌานอยู่ในมิติสักพัก คงจะสามารถพัฒนาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ส่วนฟากหนานกงเวิ่นเทียนสัมผัสได้ว่าตนเองกับมิติกลับมาเชื่อมโยงกันได้แล้ว เขาเจอหลิวหลีที่หายตัวไปนานโดยการติดต่อที่ง่ายดายอย่างยิ่งนี้ ทว่าแม้พลังบำเพ็ญเพียรของหลิวหลีเป็นช่วงรวมกายา แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าหลิวหลีทิ้งระยะห่างจากเขาไปอีกแล้ว แค่เหม่อลอยไปเพียงนิดเดียวก็ทำให้นักบวชหยวนเจินไปถึงทางออกก่อนเขา 10 อันดับแรกจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น 4 อันดับแรกไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตวนมู่เหยาเข้ามาอยู่ในอันดับ 5 กงเพียวเพียวอันดับ 6 เยี่ยซิงขวงอันดับ 7 หยวนเทียนอันดับ 8 พระเทียนสินเป็นอันดับ 9 หงอวี้อันดับ 10 เยี่ยซิงหวงยังคงอยู่ในอันดับที่ 11 ฮัวจิงเฟยอันดับ 18 หลงเสี่ยวเสี่ยวเป็นอันดับที่ 70  ลำดับทั้งหมดนั้นเรียงตามที่เสียงนั้นบอกเอาไว้จริงๆ

และเป็นไปตามที่หุ่นเชิดร่างหญิงสาวกล่าวไว้ รายชื่อผู้ถูกเลือกปรากฏขึ้นกลางอากาศ มี 30 รายชื่อที่เป็นสีแดงอยู่ด้านบน ความรู้สึกพิกลนี้ทำให้หลิวหลีตะลึงตะลาน

“ท่านพี่ นี่คือพี่ชิงหลวน นางชอบท่านมากเลยนะ” หลงเสี่ยวเสี่ยวดึงชิงหลวนมาข้างตัวหลิวหลี ชิงหลวนที่มองนั้นตื่นเต้นอย่างมาก นี่หลิวหลีตัวเป็นๆ แถมลึกล้ำยากจะคาดเดา กลิ่นอายบนตัวของนางทำให้คนรู้สึกหลงใหล

“ชิงหลวน ขอบคุณที่เจ้าช่วยดูแลเสี่ยวเสี่ยว” ที่เสี่ยวเสี่ยวยังอยู่รอดทั้งที่มีพลังบำเพ็ญเพียรเพียงเท่านี้ คงเป็นเพราะความช่วยเหลือจากคนผู้นี้

“ข้าก็ช่วยเช่นกัน” ฮัวจิงเฟยที่ไม่รู้โผล่มาจากจู่ๆก็เอ่ยขึ้น

“เอ๊ะ? ขอบคุณมากแล้วกัน ฮัวจิงเฟย”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”

ชิงหลวนที่อยู่อีกฟากดำดิ่งในห้วงความคิดชื่นชมหลิวหลีอย่างไม่อาจถอนตัว ส่วนหนานกงเวิ่นเทียนเดินมาจับมือหลิวหลีไม่พูดจา แต่การจับมือของอีกฝ่ายนั้นได้ถ่ายทอดคำพูดนับหมื่นล้านคำแล้ว

 …………………………………….