ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 93 ใส่ร้ายป้ายสี ข้าก็ทำเป็นเช่นกัน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เหยียนซวี่ไม่สามารถติดต่อกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยตนเองแน่นอน

มิเช่นนั้นจะเป็นการทิ้งจุดบกพร่องเอาไว้ที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น แล้วในภายหลังเขาจะอยู่ที่เขากว่างเฉิงต่อไปได้อย่างไร

ถึงแม้ว่าฐานะจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ จะเป็นทุนเดิมที่ใหญ่ที่สุดของเหยียนซวี่

โดยที่ก่อนหน้านี้ยังคงเป็นฝ่ายคุมการณ์ จึงรับรู้ข่าวสารที่มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย

ทว่าหากไม่ถึงจุดที่จำเป็นจริงๆ เหยียนซวี่ก็ไม่ได้อยากจะทรยศสำนัก ไปขอการคุ้มครองจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งต้องละทิ้งรากฐานทุกอย่างของตนไป ทรัพย์สินสมบัติและเส้นสายคนรู้จักก็ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น

เมื่อถึงสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ในฐานะของผู้ขออาศัยจากภายนอก ต่อให้อีกฝ่ายจะดูแลเขาอย่างดีเพื่อแสดงความจริงใจ ทว่าเขาก็ไม่มีหวังที่จะเข้าถึงศูนย์กลางการสืบทอดได้จริงๆ

เพราะฉะนั้นการที่เหยียนซวี่จะส่งสารให้กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ล้วนแล้วแต่ต้องผ่านกระบวนการมากมาย เพื่อหลบหลีกการตรวจสอบของอีกฝ่าย ที่ต่อให้ทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้รับข่าวสาร ก็ยากที่จะสืบสาวมาถึงตัวเขาได้

ดังนั้น การยืนยันกันซึ่งๆ หน้ากับผู้อาวุโสของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนนั้น เหยียนซวี่จึงไม่รู้สึกเป็นกังวลมากนัก

ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ ในท้ายที่สุดก็เป็นคนสนิทของเหยียนซวี่เองที่เป็นผู้จัดการ

สวนแห่งนี้เป็นกิจการลับของเหยียนซวี่ ทว่าสุดท้ายก็หนีสายตาของสือเถี่ยไม่พ้นอยู่ดี

เหยียนซวี่เงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้าพลางถอนหายใจยาว การปรากฏตัวขึ้นที่ถังตะวันออกอันเหนือความคาดหมายของสือเถี่ย เขาก็รู้สึกได้แล้วว่าครั้งนี้ยากที่จะถอนตัว ทว่าถึงอย่างไรก็ยังมีความหวังว่าจะมีความโชคดีโดยบังเอิญอยู่ จึงไม่คิดที่จะละทิ้งความหวังใดๆ ไป

ขอเพียงแค่ไม่ถูกสือเถี่ยสังหารเสียตรงนั้น และไม่ถูกจองจำเอาไว้ที่หุบเขาผนึกเวหา เขาก็ยังคงมีความหวังอยู่

หากความผิดเรื่องการติดต่อกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อที่จะยืมมือสังหารคนไม่สามารถยืนยันความจริงได้ ลำพังเพียงแค่ข้อหาใส่ร้ายป้ายสีให้เยี่ยนจ้าวเกอ เนื่องจากการแก่งแย่งชิงดีกันภายในสำนัก ความผิดนี้เขายังพอรับไหว

แม้ว่าเขาจะถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสคุมการณ์อย่างแน่นอน แต่ยังมีโอกาสที่จะได้สร้างผลงานชดใช้ในสนามรบเกินกว่าครึ่ง

ในตอนนั้นเขาก็คงมีโอกาสที่จะหนีออกไปได้

การที่จะผงาดกลับขึ้นมาที่เขากว่างเฉิงนั้น เขาไม่ได้ตั้งความหวังอีกแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะทำได้เพียงทรยศสำนัก แล้วหนีไปอยู่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นแล้วจริงๆ

ทว่าบัดนี้ความหวังล้วนถูกดับสิ้นไปหมดแล้ว

เหยียนซวี่มองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ แววตามืดมนนัก จนถึงตอนนี้แล้วเขาจะยังไม่รู้อีกได้อย่างไร ว่าการปรากฏตัวเหนือความคาดหมายของสือเถี่ย จะต้องเป็นแผนของเยี่ยนจ้าวเกออย่างแน่นอน

ขณะเดียวกันกับตอนที่เขาจ้องมองเยี่ยนจ้าวเกอ อีกฝ่ายก็กำลังจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน!

จงใจขุดหลุมลึกเอาไว้ รอให้ตัวเขากระโดดลงไป ตกลงไปชนิดที่ไม่สามารถลุกขึ้นมาใหม่ได้อีกตลอดกาล!

สือเถี่ยมองเหยียนซวี่ “ข้าก็ไม่เข้าใจ เหตุใดเจ้าจึงต้องการให้เยี่ยนจ้าวเกอถึงแก่ความตายให้ได้ และเพื่อการนี้แล้วยังต้องสละกระทั่งชีวิตของสวีชวนและพี่น้องร่วมสำนักคนอื่นๆ รวมถึงคนของอาณาจักรถังตะวันออกอีกด้วย”

“ความอดทนอดกลั้นของเจ้าช่างเล็กน้อยอะไรถึงเพียงนี้ ความคิดของเจ้าตื้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือว่ายังมีเรื่องอื่นซ่อนอยู่อีก?”

“ตอนนี้บอกข้ามาเถอะว่าเพราะเหตุใด”

“ในเวลานี้เจ้าคิดจะปิดบังสิ่งใดไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”

สือเถี่ยจับจ้องเหยียนซวี่อย่างไม่วางตา เขาเงียบงันไปเล็กน้อย รู้สึกเพียงแค่ว่าลำคอแหบแห้ง

ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอมองเหยียนซวี่ จู่ๆ เขาก็ยิ้มขึ้นมา “ก่อนหน้านี้ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดท่านผู้อาวุโสเหยียนจึงต้องการให้ข้าถึงแก่ความตายให้ได้”

“แต่หลังจากที่ได้พบเจอกับเยี่ยจิ่งคราวนี้ เหมือนกับข้าจะพอเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว”

เหยียนซวี่ตกตะลึง เขาเพียงแค่จะใช้เยี่ยจิ่งเป็นเหมือนดาบก็เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจตนาโดยส่วนตัวของตัวเขาเลยสักนิด

เมื่อได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอพูดเช่นนี้ในขณะนี้ ภายในใจของเหยียนซวี่ก็พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา

สือเถี่ยพาเยี่ยจิ่งมาด้วยกัน บัดนี้เขาถูกคุมตัวเองไว้ จะขยับก็ไม่ได้ จะพูดก็พูดไม่ได้ ทำได้เพียงจับจ้องคนของเขากว่างเฉิงด้วยใบหน้าที่โกรธแค้นเท่านั้น

บัดนี้ได้ยินว่าตนมีส่วนข้องเกี่ยวกับเหยียนซวี่ ต่อให้เขาจะสติเลอะเลือนถึงเพียงใด ก็ยังรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงหันมองไปทางเหยียนซวี่ทันที

สือเถี่ยเองก็รู้สึกเหนือความคาดหมายเช่นเดียวกัน

สำหรับเหยียนซวี่แล้ว การที่จะกล่าวว่าพบเยี่ยจิ่งหมดสติอยู่ข้างทางโดยบังเอิญนั้น วิธีการพูดเช่นนี้ สือเถี่ยต้องเกิดข้อสงสัยอย่างแน่นอนอยู่แล้ว

กระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดว่าเหยียนซวี่จะคิดเอาชีวิตของเยี่ยนจ้าวเกอ เพื่อช่วยเยี่ยจิ่งแก้แค้นแต่อย่างใด

ชั่วขณะหนึ่ง ความสนใจของทุกๆ คนก็ตกไปอยู่ที่ร่างของเยี่ยนจ้าวเกอ

แม้จะถูกทุกคนจดจ้อง ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้ร้อนรน “จากพิธีโลหิตจิตหวนเวลาเมื่อสักครู่ ทุกท่านคงจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในหุบเหวปราการมังกรแล้ว”

“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ร่างกายของเยี่ยจิ่งเหลวแหลก พังพินาศจนสิ้นภายในหุบเหวปราการมังกร”

“บัดนี้ได้รับการสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ แน่นอนว่าวิชาวรยุทธ์เช่นนี้ ไม่ใช่วิชาทั่วไปจะสามารถเทียบเทียมได้”

ทุกคนต่างผงกศีรษะพร้อมๆ กัน ร่างกายแหลกละเอียดเป็นผุยผงเหลือเพียงแค่วิญญาณ ทว่ากลับสามารถสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ได้ วิชาเช่นนี้ช่างแปลกประหลาดและน่าสงสัยเสียจริงๆ

เยี่ยนจ้าวเกอเดินไปยังตรงหน้าของเยี่ยจิ่งอีกครั้ง แล้วมองเขา “ทุกสิ่งอย่างล้วนมาจากแหวนวงนั้นของเขา ที่จู่ๆ ก็พลันระเบิดแสงอันแปลกประหลาดนั้นออกมา”

“ตอนที่อยู่ในหุบเหวปราการมังกร ข้ารู้สึกประหลาดใจ แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่เข้าใจ จึงไม่ได้คิดอะไรต่อให้มากนัก”

“แต่ตอนนี้ได้เจอกับเยี่ยจิ่งที่เกิดใหม่ด้วยตาตนเอง ความสงสัยภายในใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”

ชายหนุ่มหันกลับไปมองสือเถี่ย “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ ท่านเคยสัมผัสกับยอดฝีมือของบรรดาปีศาจอัคคีด้วยตัวท่านเอง มีความรู้สึกคุ้นตาบ้างหรือไม่ขอรับ”

เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอกล่าวคำพูดนี้ออกมา ทุกคนต่างก็ตกใจไปตามๆ กัน เหยียนซวี่ยิ่งสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ตะคอกด้วยความโมโหว่า“แม้ว่าวรยุทธ์วิชาของเยี่ยจิ่งจะสร้างกายแห่งวิญญาณเพลิงขึ้นมาใหม่ แต่ก็ไม่เหมือนกับร่างของปีศาจอัคคี!”

แววตาของสือเถี่ยกระตุกวูบเล็กน้อย ทว่าก็ผงกศีรษะ “มีจุดที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว”

คนอื่นๆ ก็ผงกศีรษะ หากเหมือนกับปีศาจอัคคีทั้งหมดจริง ก่อนหน้านี้พวกเขาคงไม่นิ่งนอนใจเช่นนี้แน่

เยี่ยนจ้าวเกอพูดว่า “ปีศาจอัคคีที่ทุกคนเคยชินในตอนนี้ จริงๆ แล้วไม่เป็นเช่นนั้น แต่ท่านอาจารย์ลุงใหญ่น่าจะทราบดี ว่าพวกเราโลกแปดพิภพมีการคาดการณ์ต่อที่มาของโลกปีศาจอัคคีอย่างไร”

สีหน้าของสือเถี่ยพลันเปลี่ยนแปลงไป แข็งทื่อแน่นิ่งราวกับหิน เป็นครั้งแรกที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก “จักรพรรดิปีศาจอัคคี?”

ชายหนุ่มพลันผงกศีรษะ “ไม่ผิดขอรับ จักรพรรดิปีศาจอัคคี หรือเรียกอีกชื่อว่าจักรพรรดิเพลิงนภา ยอดฝีมือในตำนานที่ชื่อเสียงเกรียงไกรไปทั่วหล้าก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ทว่าหายไปหลังจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่”

“การคาดการณ์ที่มาของโลกปีศาจอัคคีของพวกเราโลกแปดพิภพในตอนนี้ แนวคิดหลักๆ ที่มีก็คือ นั่นเป็นสิ่งที่เกิดจากการสืบทอดของจักรพรรดิปีศาจอัคคีขอรับ”

“ก็เหมือนเช่นโลกแปดพิภพของพวกเรา ที่เกิดจากการสืบทอดโดยมีมรดกของยอดฝีมือที่เหลือเอาไว้ก่อนเกิดวิกฤตการณ์เป็นพื้นฐาน จากนั้นก็พัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “วรยุทธ์วิชาของสำนักเขากว่างเฉิงในปัจจุบันนี้ หรือจะเป็นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เมืองทะเลมรกต และดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นๆ กระทั่งขุมกำลังอื่นก็ตาม มักจะผ่านการพัฒนามานานหลายปี เมื่อเทียบกับตอนก่อนเกิดวิกฤตการณ์แล้ว ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล”

“การสืบทอดพลังของปีศาจอัคคี ก็ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลายาวนาน เทียบกับการสืบทอดวรยุทธ์สายตรงของจักรพรรดิปีศาจอัคคีแล้ว ก็ต้องมีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน”

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาแห่งเกาะตะวันออกที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก็ได้สติคืนมาในตอนนี้เอง แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงหนักแน่นว่า “ความหมายของเจ้าก็คือ เยี่ยจิ่งได้รับการสืบทอดจากแหวนวงนั้น ซึ่งก็คือการสืบทอดสายหลักของจักรพรรดิปีศาจอัคคีอย่างนั้นหรือ!”

“อีกทั้งยังมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ โดยที่เป็นการสืบทอดที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย แล้วตอบรับว่า “นี่เป็นการคาดคะเนของข้าเพียงผู้เดียว ความจริงเป็นอย่างไร ก็ยังต้องรอการตรวจสอบพิสูจน์ก่อนขอรับ”

“นอกจากนี้แล้ว ตอนนี้เยี่ยจิ่งมีความเกี่ยวข้องกับโลกปีศาจอัคคีหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำให้ชัดเจนเช่นกัน”

ขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอพูด เขาก็มองเหยียนซวี่แวบหนึ่ง เหมือนจะตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจ “อีกทั้ง เหตุใดท่านผู้อาวุโสเหยียนจึงช่วยเหลือเยี่ยจิ่ง…”

คราวนี้สีหน้าของเหยียนซวี่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พร้อมทั้งตะโกนด้วยความเดือดดาลว่า “เหลวไหลไร้สาระ!”

การต่อสู้ระหว่างเขากว่างเฉิงกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ดุเดือดมากแค่ไหน ต่อให้เป็นการเปิดศึกกันเต็มรูปแบบ ทว่าภายหลังก็ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาสานสัมพันธไมตรีได้อีก

ทว่าปีศาจอัคคีเป็นศัตรูร่วมกันของโลกแปดพิภพ ไม่ว่าผู้ใดที่มีส่วนข้องเกี่ยวกับพวกมัน ล้วนแล้วแต่ไม่ลงเอยด้วยดีเป็นแน่

ปีศาจอัคคีสังหารชีวิตคนอื่นเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจอมยุทธ์ที่ผ่านการฝึกฝนมาก่อน พวกมันชอบยิ่งนัก!

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม ทว่าไม่กล่าวสิ่งใด สือเถี่ยจึงพูดอย่างช้าๆ ว่า “ความข้องเกี่ยวระหว่างเยี่ยจิ่งกับเหยียนซวี่ยังคงตัดสินชี้ขาดไม่ได้ แต่การสืบทอดของเยี่ยจิ่งนั้น มีความเป็นไปได้ยิ่งนักที่จะมีความเกี่ยวพันกับจักรพรรดิปีศาจอัคคี”

คำพูดนี้ของสือเถี่ย ทำเอาคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกเย็นสะท้านภายในใจ

เขามองไปที่เยี่ยจิ่ง “ภาพเหตุการณ์ของพิธีโลหิตจิตหวนเวลาที่แสดงออกมา ตอนที่วิญญาณของเยี่ยจิ่งถูกแหวนวงนั้นเก็บรักษาเอาไว้ ลมปราณที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ไหลออกมาจากในนั้น”

“ถึงแม้จะเป็นการมองภาพเหตุการณ์ผ่านพิธี ไม่ได้อยู่ในขณะที่เกิดเหตุด้วยตนเอง แต่ข้าก็รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวและความแข็งแกร่งของลมปราณนั้น จนจินตนาการได้ว่าหากเยี่ยจิ่งอยู่ต่อหน้าข้าจริงๆ จะน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงใด”

สือเถี่ยกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “จากการเปรียบเทียบระหว่างการศึกษาทางประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ จักรพรรดิปีศาจอัคคีที่ตายอยู่ด้วยน้ำมือของท่านสะเทือนสวรรค์ในตอนนั้น ก็ยังไม่น่ากลัวถึงขนาดนี้! ”

สีหน้าท่าทางของทุกๆ คนต่างก็ดูเคร่งครึมจริงจังขึ้น จักรพรรดิปีศาจอัคคีในอดีตผู้นั้น นับว่าเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุด เท่าที่เคยปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์ของโลกปีศาจอัคคีแล้ว

หากยังน่าหวาดกลัวกว่ามันแล้วนั้น…

สีหน้าของเหยียนซวี่พลันซีดเขียว

ถึงสือเถี่ยจะไม่ได้ยอมรับเรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอเชื่อมโยงเขาและเยี่ยจิ่งเข้าด้วยกันก็ตาม ทว่าสถานการณ์ที่ดำเนินมาถึงตอนนี้ ก็ย่ำแย่กว่าผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เขาคาดการณ์เอาไว้มาก!

จู่ๆ เหยียนซวี่ก็นึกถึงเหวินหนิงจือ คนสนิทของตนเองขึ้นมา

เยี่ยนจ้าวเกอมองเขา พลางเบะปากในใจ ‘ใส่ร้ายป้ายสีให้กับผู้อื่น เรื่องพรรค์นี้ข้าก็ทำเป็นเช่นกัน’

…………..