ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 94 อย่าคิดหนีแม้แต่คนเดียว!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สือเถี่ยกล่าว “ตอนนี้ยังยากที่จะตัดสินชี้ขาดได้ว่าความจริงเป็นเช่นไร แต่เรื่องมีความข้องเกี่ยวกับปีศาจอัคคี ย่อมต้องตรวจสอบให้ละเอียด”

“เรื่องนี้สำคัญและเร่งด่วนยิ่งกว่าเรื่องของกลุ่มทำลายหุบเหวปราการมังกรนัก”

ในตอนที่ได้ชมพิธีโลหิตจิตหวนเวลาเมื่อครู่ สือเถี่ยก็รู้สึกตงิดใจอยู่ลึกๆ ถึงพลังปราณอันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากแหวนของเยี่ยจิ่ง

เพียงแต่เขาไม่ใช่คนที่จะด่วนสรุปอะไรง่ายๆ ดังนั้นจึงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจเท่านั้น

ส่วนความผิดปกติของอเวจี แม้ทุกคนจะคอยเฝ้าระวัง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่อันตรายถึงขั้นต้องให้ความสนใจเป็นอันดับแรก

ปีศาจอัคคีเป็นศัตรูเก่าที่สู้รบกับโลกแปดพิภพอย่างเอาเป็นเอาตายมาตลอดหลายปีมานี้ ถ้าหากว่าเยี่ยจิ่งได้รับการสืบทอดจากจักรพรรดิปีศาจอัคคีโดยบังเอิญก็แล้วไป

แต่ถ้าหากเขามีความสัมพันธ์กับโลกปีศาจอัคคีในขณะนี้ นั่นคงจะเป็นเรื่องที่ลำบากมาก

ตอนนี้สือเถี่ยยังคงไม่ได้ตัดสินเรื่องนี้ กระนั้นระดับความสำคัญของเรื่องนี้ ก็ยกระดับขึ้นภายในใจของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

สีหน้าเหยียนซวี่หมองคล้ำกลายเป็นก้นหม้อ กัดฟันพูดว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น!”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถามอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีเหตุผลอะไรที่ท่านผู้อาวุโสเหยียนถึงต้องการให้ข้าถึงแก่ความตาย”

เหยียนซวี่เปล่งเสียงฮึดฮัด สีหน้าท่าทางคลุมเครือ

จุดสนใจของคนอื่นๆ แท้จริงแล้วยังคงอยู่ที่บนร่างของเยี่ยจิ่ง สายตาของทุกคนกำลังเพ่งพิจารณาเขาอยู่

บัดนี้เยี่ยจิ่งจึงอยู่ในสภาวะที่สับสน

มีสายตาของทุกคนจดจ้องเช่นนี้ ผู้ที่กำลังโกรธแค้นร้อนรนย่อมต้องไม่สบายเนื้อสบายตัวเป็นธรรมดา

เขาเข้าใจสถานการณ์ของโลกนี้จำกัดนัก ทว่าเกี่ยวข้องกับปีศาจอัคคีอย่างไร แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่รู้ชัดเจนอยู่แล้ว

บัดนี้ได้ยินว่าตนเองถูกผู้อื่นกล่าวหาว่าเป็นพวกเดียวกันกับปีศาจอัคคี จึงทั้งโกรธและตกใจ

เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอมองไป เขาพบว่าลายเพลิงทั่วทั้งร่างกายของเยี่ยจิ่งยิ่งเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ราวกับทั้งร่างกายกำลังจะลุกไหม้ขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

เยี่ยจิ่งตะคอกด้วยความโมโห “เยี่ยนจ้าวเกอ! ข้าตกอยู่ในกำมือของเจ้า หากเจ้ามีความสามารถพอ จะฆ่าจะแกงก็เข้ามาเลยสิ!”

“เพื่อที่จะให้มีชื่อเสียง ถึงขั้นต้องสร้างเรื่องใส่ร้ายข้าด้วยหรือ เจ้ามันชาติสุนัขกลับขาวเป็นดำ เปลี่ยนผิดเป็นถูก!”

เยี่ยนจ้าวเกอพูดอย่างใจเย็นว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นปลาติดแห เป็นลูกไก่ในกำมือ จะจัดการเจ้าก็สมควรแล้ว ข้ายังจำเป็นต้องสร้างเรื่องใส่ร้ายเจ้าอีกหรือ”

“เจ้าเองอาจจะไม่รู้เรื่องด้วย แต่การจะตรวจสอบก็ไม่ใช่เรื่องยาก หลังจากนำเจ้ากลับสำนักแล้ว ให้ยอดฝีมือของสำนักศึกษาแหวนวงนั้นของเจ้า เพียงเท่านี้ก็มีบทสรุปแล้ว”

เขามองเยี่ยจิ่งอย่างสงบนิ่ง “อย่าหลงตัวเองนักเลย ข้ามีเรื่องอีกตั้งมากมายต้องทำ ไม่มีเวลามาสิ้นเปลืองกับเจ้าหรอก”

เยี่ยจิ่งยิ่งโมโหมากขึ้น ลายเพลิงบนร่างกายส่องสว่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หลังจากนั้นก็มีเปลวไฟของจริงลุกไหม้ขึ้นมา!

เขาอยู่ท่ามกลางเปลวไฟรอบด้าน พลางจ้องมองเยี่ยนจ้าวเกอ สือเถี่ย ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาแห่งเกาะตะวันออก และคนอื่นๆ เขม็ง

“พวกคนของเขากว่างเฉิงล้วนเป็นพวกเดียวกันทั้งหมดดังคาด ร่วมกันปกป้องคนผิด!”

“จิตใจคนทั้งน่ากลัวและโหดเหี้ยม สังหารคนเป็นว่าเล่น พวกเจ้าดุร้ายอำมหิตเสียยิ่งกว่าปีศาจอัคคีเสียอีก!”

“ให้เข้าเป็นพวกเดียวกับคนเช่นพวกเจ้า สู้ไปอยู่กับปีศาจอัคคีเสียดีกว่า!”

เยี่ยจิ่งเงยศีรษะขึ้นฟ้าตะโกนอย่างบ้าคลั่ง บนมือของเขาปรากฏแสงสีแดงทรงกลมครอบบนนิ้วมือ ซึ่งนั่นก็คือแหวนสีแดงเข้มวงนั้น

แหวนระเบิดแสงอันเจิดจ้าออกมา ด้านหลังของเขาเกิดเงามายาขึ้นรางๆ

ท่ามกลางเงานั้น หินหลอมเหลวพวยพุ่งไปทั่วฟ้า และกระจายออกไปทั่วผืนพิภพ!

ประหนึ่งกับมียักษ์เพลิงที่น่าหวาดกลัวตนหนึ่งปรากฏอยู่ในนั้น

นี่ไม่ใช่ลมปราณอันแข็งแกร่งที่สามารถสร้างขึ้นจากพลังของเยี่ยจิ่งในตอนนี้ และแม้มันจะไหลออกมาขาดๆ หายๆ ทว่าก็ทำให้จิตใจก็ผู้คนสั่นสะเทือนได้

เยี่ยนจ้าวเกอมองภาพตรงหน้า ก่อนจะกลอกตาขาวมองครั้งหนึ่ง “…สมองของเจ้าถูกเผาจนเสียสติแล้วจริงๆ หรืออย่างไร”

สิ่งที่ไม่เหมือนกับภาพที่ฉายให้เห็นในพิธีโลหิตจิตหวนเวลาก่อนหน้านี้ ก็คือบัดนี้ทุกคนสามารถรับรู้และสัมผัสโดยตรง

บรรดาผู้คนรอบข้าง แม้แต่เหยียนซวี่ที่กำลังมองเยี่ยจิ่งอยู่ในตอนนี้ ล้วนรับรู้ได้ถึงพลังภายในเงามายานั่น และรู้สึกเชื่อการวิเคราะห์ของเยี่ยนจ้าวเกอก่อนหน้านี้ไปแล้วเจ็ดแปดส่วน

เหยียนซวี่มองแหวนสีแดงเข้มที่มือเยี่ยจิ่ง พลางกล่าวในใจว่า ‘ที่แท้ก็หลอมรวมเข้ากับร่างกายเขาไปแล้ว มิน่าที่ผ่านมาถึงไม่เคยเห็นเลย’

สือเถี่ยกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ถ้าให้พูดตามตรงแล้ว ความแข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบเจอมาตลอดชีวิตนี้ จะทำลายโลกแปดพิภพนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”

“แต่ตอนนี้แม้แต่เสี้ยววิญญาณก็ไม่นับว่าเป็น กระทั่งความคิดก็ไม่นับว่าใช่ เป็นเพียงลมปราณแค่เศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น ยังไม่สามารถพลิกฟ้าได้”

สิ้นคำพูด สือเถี่ยก็ยื่นมือหนึ่งออกมา ในชั่วพริบตาเดียวฝ่ามือก็กลายเป็นผลึกแก้วใส มีแสงสีทองส่องสว่างจากภายในออกมาภายนอกประดุจเพชร

เขาฟาดฝ่ามือหนึ่งลงไป เยี่ยจิ่งกับเงานั่นก็ร้องตะโกนออกมาพร้อมกันด้วยความเจ็บปวดและความโกรธแค้น

แสงเพลิงทั่วร่างพลันมอดดับไป เยี่ยจิ่งถูกกดไว้กับพื้นอีกครั้ง ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ทำได้แค่เพียงจ้องเยี่ยนจ้าวเกอและสือเถี่ยตาเขม็งด้วยความไม่พอใจ

เมื่อสือเถี่ยกำลังจะกล่าวพูด สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินออกไปเพียงก้าวเดียวก็ถึงด้านนอกสวน

ภายนอกสวนแห่งนี้ ดวงอาทิตย์ที่เดิมทีเฉิดฉายอยู่กลางท้องฟ้า จู่ๆ ก็มืดลงไปถนัดตา

ท้องฟ้ามืดมน ราวกับเข้าสู่ยามวิกาลในชั่วพริบตานั้น

ท่ามกลางความมืด มีพระจันทร์ดวงหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ

แสงสีทองจากร่างกายที่เป็นแก้วของสือเถี่ย บัดนี้ราวกับแสงที่ไม่มีวันดับ ส่องแสงแข่งกับฝ่ายตรงข้าม

แสงสว่างกับความมืดมิดสลับกันไปมาบนท้องฟ้า ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ เกิดเป็นคลื่นบ้าคลั่งขึ้นมา จนแทบจะพังทลายสวนและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ด้านล่าง!

“จันทราในแสงรัตติกาล!” ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาเปล่งเสียงฮึดฮัดหงุดหงิดใจ “ระดับวรยุทธ์เช่นนี้ แสงรัตติกาล หนึ่งในเจ็ดสุริยัน!”

เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตนเอง “ข้าจำได้ว่าแสงรัตติกาลมีระดับวรยุทธ์ใกล้เคียงกับจรัสแสง ผู้เป็นผู้นำเจ็ดสุริยัน พลังความสามารถก็น่าจะจัดอยู่ในอันดับที่สองของทั้งเจ็ดคนกระมัง”

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาผงกศีรษะ “ไม่ผิด แม้ว่าตำแหน่งต่ำจะกว่าจรัสแสง แต่พลังความสามารถกลับไม่ได้ด้อยไปกว่าแต่อย่างใด เป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย”

“อีกทั้งอย่างที่พวกเรารู้กัน ในบรรดาเจ็ดสุริยัน แสงรัตติกาลมักจะเป็นผู้ที่กระทำงานด้านมืด ปกติแล้วจะไม่ค่อยปรากฏตัว แต่จิตอาฆาตหนักมาก”

ชายหนุ่มพูดนิ่งๆ ว่า “ให้เกียรติข้าเสียจริง ไม่เสียเปล่าที่ข้าจัดการเซียวเซิง”

จันทราในแสงรัตติกาล วิชาพิเศษที่สุดในบรรดาวิชาเจ็ดวิชาสุริยะ มันสร้างสนามปราณอันเป็นเอกลักษณ์ขึ้น กลับดำเป็นขาว เปลี่ยนกลางวันเป็นกลางคืน

สภาพความเป็นจริงกลายเป็นภาพมายา ตะวันจันทราสลับสับเปลี่ยน อาศัยช่วงเวลาระหว่างวิชามายากับวิชาหมัด แสดงวิชาวรยุทธ์อื่นของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

บัดนี้มือที่ยื่นออกมาของแสงรัตติกาลราวกับมีพลังที่จะทำลายล้างโลก หากไม่ใช่เพราะสือเถี่ยคอยต้านทานเอาไว้ คนของเขากว่างเฉิงทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็คงถูกความมืดมิดกลืนกินไปแล้ว

“ราชสีห์เหล็กหรือ?” เสียงทุ้มต่ำสายหนึ่งดังออกมาจากความมืด

เมื่อเห็นแสงรัตติกาลถูกหยุดยั้งเอาไว้ ยอดฝีมือคนอื่นๆ ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมืด ก็พุ่งเข้าหากลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอ

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาแห่งเกาะตะวันออกและยอดฝีมือคนอื่นๆ แห่งเขากว่างเฉิง ต่างก็ลุกมารับหน้าและสู้กัน

ในตอนนี้เอง เหยียนซวี่ที่เดิมทีมีท่าทีจอมจำนนแล้ว จู่ๆ ก็พลันลุกพรวดขึ้น!

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่งด้วยความคับแค้น แต่ก็ไม่ได้หยุดฝีเท้าแต่อย่างใด กลับหลีกหนีออกไปไกลด้วยความเร็ว

เยี่ยจิ่งที่อยู่อีกด้านก็หลุดออกจากพันธนาการเช่นกัน ทว่าเขากลับอยากจะไปหาเรื่องเยี่ยนจ้าวเกอมากกว่า ถึงกระนั้นท่ามกลางความมืดมิดในขณะนี้ เขากลับไม่สามารถแยกแยะตำแหน่งของเยี่ยนจ้าวเกอได้ จึงทำได้แค่เพียงส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความคับแค้น แล้วหนีออกไปเช่นกัน

สือเถี่ยแค่นหัวเราะออกมาจากกลางอากาศ

ทันใดนั้น แสงสีทองของแก้วก็ส่องสว่างขึ้นในความมืด แล้วพลันโจมตีไปบนร่างของเหยียนซวี่

ร่างของเหยียนซวี่ที่กำลังวิ่งหนีอยู่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เลือดสีแดงสดพุ่งออกจากปาก

ทุกๆ รูขมขนทั่วร่างกายของเขามีโลหิตซึมออกมา ทั้งตัวเขาราวกับกลายเป็นมนุษย์โลหิตคนหนึ่ง

แม้ว่าสมาธิส่วนมากของสือเถี่ยจะอยู่ที่แสงรัตติกาลแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทว่าเขาโจมตีเหยียนซวี่ครั้งนี้ ทำเอาเขาบาดเจ็บหนักจนเจียนตาย แต่ก็ยังคงฝืนเอาชีวิตรอดมาได้

เหยียนซวี่ไม่กล้าที่จะลังเลแม้แต่น้อย ยังคงกระเสือกกระสนหลีกหนีต่อไป

เยี่ยนจ้าวเกอส่งกระแสจิตไปหาสือเถี่ย ‘ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ ปล่อยให้ข้าจัดการ ข้าจะไปตามหาเขากับเยี่ยจิ่ง’

สือเถี่ยลังเลเล็กน้อย ‘หากอีกฝ่ายขัดขืน ก็สังหารตรงนั้นได้เลย’

‘ท่านอาจารย์ลุงใหญ่โปรดวางใจ’ เยี่ยนจ้าวเกอเคลื่อนตัวไปด้วยความเร็ว ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มเย็น ‘อย่าคิดหนีแม้แต่คนเดียว!’

………………