“ใช่! พูดถูกแล้ว! พี่เซียวน่ะใจดีมาก ๆ ขนาดที่ไม่กล้าแม้จะฆ่ามอนสเตอร์ตัวเล็ก ๆ ด้วยซ้ำตอนนั้น! แต่เพราะโดนพวกมิดซัมเมอร์มาล้อม เขาก็เลยตัดสินใจที่จะเปลี่ยนตัวเองและฆ่าพวกนั้นทิ้งซะ !” ซางกวน อาโอเชินเองก็โอ้อวดด้วยอย่างไม่ลังเล
จริง ๆ เขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับการต่อสู้อะไรนั่นเลย ไม่แม้แต่จะได้ช่วยเซียวเฟิงสู้ในดันเจี้ยนครั้งนั้นด้วย สิ่งที่เขาทำน่ะ คือการสาบานว่าจะกินอุจจาระถ้าหากเซียวเฟิงสามารถสำเร็จดันเจี้ยนได้ด้วยตนเอง เพราะงั้นเพื่อไม่ต้องรับกรรมจากความปากพล่อยของตน เด็กหนุ่มคนนี้จึงหนีหายตั้งแต่ที่การต่อสู้ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ
เฉียนโตวโตวที่ได้ยินก็เพียงยิ้มอยู่เงียบ ๆ ขณะที่จืออี้ก็ได้แต่มองหลานของตนด้วยความสงสัย
“เฮ้ แล้วพวกนายรู้หรือยังว่าเจ้าแห่งฮีลเลอร์กลายมาเป็นศัตรูกับกิลด์มิดซัมเมอร์ได้ยังไง?” หานเฟิงพูดเสียงเบาลง มันทำให้ผู้เล่นที่ได้ยินรู้สึกสนใจในสิ่งที่เขาพูดขึ้นมาทันที
“ทั้งสองฝ่ายมาเป็นศัตรูกันได้ยังไงน่ะ?”
นิโคลัส เจ๋าซือถาม จริง ๆ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงเขาจะเชื่อว่าตนน่าจะเป็นคนที่สนิทกับเซียวเฟิงตั้งแต่หมู่บ้านเริ่มต้นแล้วก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่รู้ว่าสาเหตุใดที่ทำให้กิลด์มิดซัมเมอร์ตั้งใจจะฆ่าเซียวเฟิงเช่นนี้
“นี่เป็นความลับระดับสุดยอดเลยนะ กว่าฉันจะได้มันมาน่ะ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” หานเฟิงหันมองรอบตัวด้วยความระมัดระวังขณะพูดออกมาเช่นนั้น จากนั้นเขาก็หยิบเอาห่อเมล็ดแตงโมออกมาจากกระเป๋าก่อนจะแบ่งมันให้สองพี่น้องนิโคลัส ขนมทานเล่นพวกนี้เขาซื้อมันมาจากร้านค้าระบบระหว่างทาง
“พวกนายรู้ไหมว่าโรส หัวหน้ากิลด์มิดซัมเมอร์ที่ถือว่าเป็นผู้เล่นหญิงที่สวยที่สุดในเขตฮัวเซียน่ะ มาจากหมู่บ้านเริ่มต้นที่เดียวกับเจ้าแห่งฮีลเลอร์? มีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้เมื่อตอนที่พวกเขายังอยู่ในหมู่บ้านเริ่มต้นกัน!”
“จริงเด่ะ!?”
สองพี่น้องนิโคลัสรับเมล็ดแตงโมมา แต่ก่อนที่เขาจะได้ทานมันลงไป เรื่องที่หานเฟิงพูดก็ทำให้ทั้งสองต้องตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
ซึ่งเฉียนโตวโตวและจืออี้ที่ได้ยินเองก็หันไปจ้องหานเฟิงตาแข็งด้วยเช่นกัน จึงทำให้เขาเกิดตัวสั่นด้วยความกลัวขึ้นมา
“สหาย มานั่งนี่เร็ว เรามีเรื่องต้องคุยกัน!”
“ได้โปรด เล่าให้พวกเราฟังทีว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพี่เซียวกับผู้เล่นหญิงที่สวยที่สุดในเขตฮัวเซียคนนั้น!”
…
เซียวเฟิงส่งข้อความหาเฉียนโตวโตวไปแล้วจากดินแดนแห่งความมืด ทว่าเธอไม่ได้ตอบข้อความของเขา เพราะงั้นชายหนุ่มจึงได้แต่ปล่อยไปก่อนด้วยความสงสัยและเริ่มเดินลึกเข้าไปในหมอกแห่งสงครามพร้อม ๆ กับเหล่าภาคีพาลาดินที่มาด้วยกัน
เขาคำนวณไว้ว่าพวกตนน่าจะมาถึงครึ่งทางของหมอกแห่งสงครามพวกนี้แล้ว นี่มันก็เกือบจะเที่ยงแล้วด้วย เขาไม่น่าจะไปทันตอนที่สงครามป้องกันแคมป์เริ่มแน่ ๆ แต่ยังไงเสียสงครามนั้นก็คงยิงยาวไปอีก 6 ชั่วโมง ไว้เขาจัดการตรงนี้เสร็จแล้วค่อยตามไปก็ยังได้
ขณะที่ปล่อยให้ตนเองในเกมฟื้นฟูมานาไป เซียวเฟิงก็ออฟไลน์เพื่อออกไปทำอาหารกลางวันให้เซียวหลิงด้วย เขาใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีในการทำอาหารกลางวันก่อนจะกลับมาออนไลน์ดังเดิม โชคยังดีที่เมื่อคืนเขาได้ใช้เวลาร่วมกับเธอมาเยอะ วันนี้เด็กสาวจึงไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจอะไรออกมา
เมื่อเซียวเฟิงกลับมาออนไลน์ ก็เป็นเวลากว่า 12 นาฬิกาเข้าไปแล้ว สงครามป้องกันแคมป์เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างแน่นอน ส่วนภาคีพาลาดินก็ยังเดินหน้าเข้าไปในหมอกแห่งสงครามนี้อย่างไม่หยุดยั้ง เห็นเช่นนั้นเซียวเฟิงจึงรีบตามพวกเขาให้ทันอย่างไม่รีรอ
ทางฝั่งพื้นที่ราบ สองพี่น้องนิโคลัสนั้นช็อกไปกับข่าวลวงที่หานเฟิงเล่าออกมาในขณะที่สงครามเริ่มต้นขึ้น
[ประกาศถึงผู้เล่นทุกท่านในเขต! สงครามป้องกันแคมป์ของกิลด์มิดซัมเมอร์ จะเริ่มต้นขึ้นในอีก 30 วินาที! ผู้เล่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับสงครามในครั้งนี้ที่ยังไม่ได้ออกจากพื้นที่ทำสงคราม กรุณารีบถอยออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย!]
ประกาศทั่วทั้งเขตดังขึ้นซ้ำ ๆ อยู่หลายครั้ง ทว่าไม่มีใครที่เชื่อฟังและถอยออกมาจากพื้นที่ทำสงครามนั้นเลย พวกเขาทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ ต่างมีเป้าหมายที่จะมาดูสงครามครั้งนี้อย่างใกล้ชิดกันอยู่แล้ว
[สงครามป้องกันแคมป์ของกิลด์มิดซัมเมอร์ ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว! มอนสเตอร์เวฟแรกจะถูกปล่อยออกมาในอีก 10 นาที! กรุณาเตรียมตัวให้พร้อม! ท่านจะเป็นฝ่ายชนะหากท่านสามารถป้องกันการโจมตีของมอนสเตอร์เหล่านี้ได้ แต่ท่านจะเป็นฝ่ายแพ้หากมอนสเตอร์สามารถบุกเข้าไปโจมตีศูนย์บัญชาการของท่านได้!]
มอนสเตอร์จำนวนมากมายปรากฏตัวขึ้นบริเวณพื้นที่ราบรอบ ๆ ตัวแคมป์ มันทิ้งระยะห่างออกไปจากตัวแคมป์นิดหน่อยก่อนจะโถมวิ่งเข้าใส่แคมป์จากทั้ง 4 ทิศทาง คาดคะเนด้วยสายตาแล้วพวกมันมีไม่ต่ำกว่าล้านตัวเลย !
“เวรเอ้ย! นี่มันมีมากกว่าผู้เล่นอีกนะเนี่ย!”
“ก็ใช่น่ะสิ! เขาถึงได้บอกกันว่าสงครามป้องกันแคมป์น่ะน่ากลัว! มีแค่พวกกิลด์ใหญ่ ๆ เท่านั้นแหละที่จะสามารถรับมือการโจมตีของมอนสเตอร์พวกนี้ได้! พวกกิลด์เล็ก ๆ ย่อย ๆ น่ะ ก็คงจะรอให้ไอเทมครบไม้ครบมือกันก่อนถึงจะเริ่มตั้งแคมป์กัน”
“ฉันนึกว่าพวกมอนสเตอร์พวกนี้จะค่อย ๆ เดินทางมาจากเขตอื่นซะอีก ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ มันจะถูกอัญเชิญลงมาดื้อ ๆ แบบนี้”
“ก็ไม่ผิดซะทีเดียว เพราะนอกจากมอนสเตอร์ที่ถูกอัญเชิญมาใหม่แล้ว ก็ยังมีมอนสเตอร์ที่อยู่ละแวกนี้มาเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ด้วย”
“โชคดีจริง ๆ ที่มอนสเตอร์ทั้งหมดในเวฟแรกเป็นแค่มอนสเตอร์ธรรมดาเลเวล 10 น่ะ ถ้าแค่นี้ล่ะก็มิดซัมเมอร์น่าจะฆ่าพวกมันได้สบาย ๆ อยู่แล้ว”
“แต่มันมีตั้ง 36 เวฟนะ! หากเวฟหลัก ๆ มันระดมเอามอนสเตอร์ระดับสูงอย่างพวกเลเวล 30 เข้ามาเป็นล้านแบบนี้ ฉันพนันเลยว่าต่อให้เป็นไดนาสตี้ก็ไม่มีทางชนะเหมือนกัน!”
“ไม่ ๆ นายประเมินความแข็งแกร่งที่แท้จริงของไดนาสตี้ต่ำไปแล้วสหาย พวกนั้นสามารถเคลื่อนพลนับล้านมายังจุด ๆ เดียวได้ในพริบตา เพราะงั้นฉันเชื่อว่าสงครามป้องกันแคมป์น่ะ ไม่คณามือพวกเขาหรอก”
…
ตอนนี้เหล่ามอนสเตอร์เลเวลต่ำจำนวนมากกำลังถาโถมเข้าใส่แคมป์ที่อยู่ ณ จุดกลางของพื้นที่ราบ ทางฝั่งซ้ายมีมอนสเตอร์ประจำถิ่นเลเวล 10 ประจำการอยู่ ในขณะที่ทางฝั่งขวาก็มีพวกก็อบลินกำลังเดินทัพ ด้านหน้าของแคมป์มีพวกสไลม์เลเวล 10 กำลังคืบคลานเข้ามา และที่น่าสนใจที่สุดก็คงจะเป็นพวกไก่ขี้โมโหที่มาจากทางด้านหลังแคมป์และกำลังส่งเสียงโหวกเหวกไปทั่วสนามรบ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครในที่นี้รู้สึกขบขันไปกับเสียงเหล่านี้เลย เพราะว่าพวกเขาต่างกำลังตกใจกับจำนวนของมอนสเตอร์นับไม่ถ้วนราวกับมันเป็นท้องทะเลสิ่งมีชีวิตก็มิปาน
ผู้เล่นของมิดซัมเมอร์นั้นต่างจัดทัพใหญ่ไว้ 4 ทัพสำหรับรับมือมอนสเตอร์ที่โถมเข้ามาทั้ง 4 ด้านไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขามาพร้อมกับความมั่นใจที่พลุกพล่านนี้ราวกับเป็นคมมีดนับแสนที่พร้อมจะสะบั้นได้กระทั่งบรรยากาศที่น่าขนลุก
“ออกไปฆ่าพวกมันแล้วมาเริ่มปาร์ตี้กันดีกว่า! บ่อค่าประสบการณ์เคลื่อนมาหาถึงที่แล้ว!”
ใครสักคนหนึ่งตะโกนขึ้นเพื่อสลายความตึงเครียดของผู้เล่นที่กำลังจดจ้องอยู่กับเหล่ามอนสเตอร์ตรงหน้า ผู้นำทั้ง 4 ทัพต่างได้รับข้อความแบบเดียวกัน นี่ถือเป็นความคิดที่ดี ดังนั้นหัวหน้ากิลด์ของพวกเขาจึงไม่ได้ห้ามอะไร และมันหมายถึง… เธอเห็นด้วยกับแผนนี้ !
“ออกไปฆ่ามันกันเลย! มอนสเตอร์ของเวฟแรกทั้งหมดเป็นแค่เลเวล 10! เพราะงั้นรีบ ๆ ฆ่ามันแล้วกลับมาประจำตำแหน่งให้เร็วที่สุด!”
“ทราบแล้วครับ! พวกเรามิดซัมเมอร์ สามารถฆ่าพวกมันได้สบาย ๆ อยู่แล้ว!”
เสียงตอบรับดังกังวานจากทั่วทั้ง 4 ทิศพร้อมกับเหล่าผู้เล่นต่างพากันวิ่งทะยานใส่ฝูงมอนสเตอร์ประจำทิศของตนเองอย่างไม่เกรงกลัว
“ฆ่ามันให้หมด เพื่อค่าประสบการณ์!”
“ยิ่งเยอะยิ่งดี!”
“นักบวช! อย่าเพิ่งร่ายบัฟให้ผู้เล่นอื่น! เข้าไปใช้คทาของพวกเธอฟาดมอนสเตอร์ให้ตายไปเลย! มอนสเตอร์ระดับนี้พวกเธอฆ่ามันได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว!”
…
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่ดูยุ่งเหยิงไปหมดก็จริง แต่ก็ไม่มีผู้เล่นคนไหนได้รับอันตรายแต่อย่างใด ยังไงมอนสเตอร์เลเวล 10 ก็ไม่ใช่อุปสรรคที่น่าเกรงกลัวของพวกเขาอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้โรสจึงยินยอมที่จะให้พวกเขาได้ออกไปสู้เช่นนั้น
[มอนสเตอร์เวฟแรกถูกกิลด์มิดซัมเมอร์กำจัดจนหมดสิ้น มอนสเตอร์เวฟที่ 2 จะถูกปล่อยออกมาในอีก 10 นาที! โปรดเตรียมตัวให้พร้อม! ท่านจะเป็นฝ่ายชนะหากสามารถป้องกันการโจมตีของมอนสเตอร์ได้ แต่ท่านจะเป็นฝ่ายแพ้หากมอนสเตอร์สามารถเข้าโจมตีศูนย์บัญชาการภายในแคมป์ของท่านได้!]
ความวุ่นวายเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ในสนามรบก็จริง อย่างไรก็ตาม กับสถานการณ์เช่นนี้ มันจำเป็นที่จะต้องหาสิ่งที่สามารถสลายความเครียดของผู้เล่นแต่ละคนได้ การที่พวกเขาสามารถกำจัดมอนสเตอร์ในเวฟแรกได้ทั้งหมดและนำพามาซึ่งชัยชนะนั้น ถือเป็นสิ่งที่รังสรรค์ความมั่นใจในตัวบุคคลได้เป็นอย่างดี
“เอาล่ะ กลับไปยังตำแหน่งที่ต้องป้องกันได้แล้ว ครั้งนี้เราจะไม่เป็นฝ่ายบุกก่อน”
เมื่อได้ยินเสียงของโรสผ่านช่องทางการสื่อสารภายในกิลด์ สมาชิกกิลด์ทุกคนก็ปฏิบัติตามคำสั่งของเธออย่างเคร่งครัด พวกเขากลับไปยังตำแหน่งเดิมของตนอย่างว่าง่ายและกระตือรือร้น ทัพขนาดใหญ่ทั้ง 4 ทิศกลับมาอยู่ในสภาพเดิมอีกครั้ง เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับมอนสเตอร์เวฟต่อไป
“คนคนนั้นสุดยอดไปเลยนะเนี่ย การที่บอกให้ผู้เล่นเป็นฝ่ายบุกก่อนนั้นถือเป็นการสลายความตึงเครียดที่เฉียบขาดน่าดูเลย แถมเขายังทำสำเร็จอีก”
บราเธอร์ไนน์ออฟกลอรี่ผู้หล่อเหล่าบัดนี้กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ โรส เขามองไปยังทิศทางหนึ่งขณะที่พูดออกมาเช่นนั้น
ที่ปลายสายตาของเขา มีผู้เล่นคนหนึ่งที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาตกเป็นเป้าสายตาอยู่ คน ๆ นั้นดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากิลด์คนก่อนของกิลด์มิดซัมเมอร์ในเกมออนไลน์เกมอื่น
โรสไม่ได้พูดอะไร เธอยังคงยืนสงบนิ่งดูสถานการณ์ราวกับดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำมารับแสงอาทิตย์ สายตาที่ไร้ซึ่งความหวั่นไหวนั้น กำลังเฝ้ารอการปรากฏตัวของมอนสเตอร์เวฟที่ 2 อยู่
ขณะเดียวกัน ทางด้านเซียวเฟิงก็เหมือนจะเจอปัญหาภายในดินแดนแห่งความมืดอีกแล้ว
ในส่วนที่ลึกเข้ามาเรื่อย ๆ ของหมอกแห่งสงครามนี้ มันยังคงเป็นปัญหาสำหรับทั้งเซียวเฟิงและภาคีพาลาดิน เพราะพวกมันสามารถลดพลังชีวิตของพวกเขาได้ทีละไม่น้อยเลย
“อ่า! หมอกแห่งสงครามตรงนี้มันหนาแน่นมากเลย! ลำพังเพียงการปัดเป่าของพวกเราไม่สามารถขจัดหมอกพวกนี้ได้หมดแน่!”
เหล่าบิชอปเริ่มมีเหงื่อไหลซึมกันออกมาแล้ว เมื่อหลายนาทีก่อน บิชอปเพียงคนเดียวก็สามารถขจัดหมอกเหล่านี้ได้สบาย ๆ พวกเขาสามารถสลับกันมาทำหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่องอย่างไร้ที่ติ ทว่าตอนนี้ จากความหนาแน่นของหมอกแห่งสงคราม จึงจำเป็นต้องใช้บิชอปถึง 2 คนในการช่วยกันปัดเป่าไปแล้ว
นอกจากนี้จุดที่หมอกแห่งสงครามโดนปัดเป่าไปก่อนหน้าเองก็เริ่มจะค่อย ๆ กลับมารวมตัวกันใหม่อีกครั้งหลังจากที่พวกเขาเดินลึกเข้ามาขนาดนี้
“รีบเดินเร็วเข้า! แล้วก็รักษาตำแหน่งของตนเองไว้! อย่าหลุดจากขบวนทัพ เขยิบเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ กัน!”
กัปตันโบลตันที่ช็อกไม่ต่างจากคนอื่น ๆ รีบเปลี่ยนขบวนทัพของภาคีพาลาดินให้ไปอยู่รอบ ๆ บิชอปทั้งสองที่กำลังทำหน้าที่ปัดเป่าแทน
ผู้เดินนำทัพทั้ง 6 ประกอบด้วยเซียวเฟิง ถูกแบ่งออกไปเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 2 คน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสามารถขจัดหมอกแห่งสงครามได้ในวงกว้างขึ้น แต่เพราะแบบนี้มันจึงเป็นต้นตอของปัญหาใหม่ นั่นเพราะพวกเขาไม่มีเวลาที่จะมาพักฟื้นฟูมานาของตนเอง ดังนั้นแล้วในยามที่พวกเขาหยุดและฟื้นฟูมานา พวกเขาก็จะต้องรับความเสียหายกันไปชั่วขณะ สถานการณ์ที่ย่ำแย่เช่นนี้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งท้ายที่สุดก็ไม่มีผู้ปัดเป่าคนไหนสามารถฟื้นฟูมานาได้ทัน
“ไม่นะ! มานาของพวกเราไม่เหลือแล้ว! ตอนนี้เรากำลังอยู่ท่ามกลางหมอกแห่งสงคราม!”
แสงแห่งการปัดเป่าที่เคยสว่างไสวประดุจดวงอาทิตย์ท่ามกลางหมอกมืดค่อย ๆ มอดดับลงไปแล้ว ทำให้ภาพของหมอกแห่งสงครามสีดำทมิฬกลับมาปกคลุมบรรยากาศโดยรอบอีกครั้ง !
“เสร็จกัน! หมอกแห่งสงครามกำลังเริ่มกลืนกินพวกเราแล้ว!”
ทันใดนั้นเอง ทุก ๆ คนก็เริ่มถูกหมอกแห่งสงครามกลืนกินเข้าไปทีละนิด ๆ ในขณะที่ตัวเลขแสดงความเสียหายนั้นก็ทวีคูณความเสียหายให้เห็นอย่างรวดเร็ว พลังชีวิตที่มีมากดั่งเม็ดทราย ตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับบ่อทรายที่มีรูรั่วเสียแล้ว หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ เพียงไม่กี่นาทีพวกเขาได้ตายกันหมดจากการสูญเสียพลังชีวิตทุก ๆ วินาทีแน่!
“แล้วพวกนายจะยืนรออะไรเล่า! เร็วเข้า รีบวิ่ง! วิ่งไปในทิศเดียวกัน อย่าให้แตกแถว แล้วก็ทำให้มั่นใจด้วยว่าฉันสามารถเห็นพวกนายได้! ปลายทางอยู่ไม่ไกลจากนี้แล้ว!” เซียวเฟิงรีบหันไปตะโกนบอกหลังดื่มน้ำแห่งการชำระล้างเข้าไปแล้ว ขณะที่พูดนั้นเขาก็รีบวิ่งไปอยู่ที่ท้ายแถวของทัพเหล่านี้ด้วย
“เดินหน้าเต็มกำลัง!”
ภาคีพาลาดินทั้งพันนายตระหนักได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นพวกเขาก็รีบวิ่งเป็นแถวตรงไปยังปลายทางพร้อมกับบิชอปทั้งห้าโดยมีกัปตันโบลตันวิ่งนำอยู่อย่างไม่รอช้า
“ไม่ได้! พวกเราต้านความเสียหายจากหมอกแห่งสงครามพวกนี้ไว้ไม่ได้แน่! พวกเราจะตายกันหมด!”
ผู้นำหญิงพูดขึ้นด้วยความหวาดกลัว แม้แต่พาลาดินที่สงบนิ่งและเข้มแข็งมาตลอดก็ยังต้องแสดงความหวาดกลัวออกมาเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ การที่เห็นพลังชีวิตของตนเองลดลงเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังรอวันตายที่ตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำไป
ซู่ม!
ทันใดนั้นเอง แสงสีทองสว่างจ้าก็ส่องลงมาท่ามกลางเหล่านักรบพาลาดินเหล่านี้หลังจากที่ผู้นำหญิงพูดจบ แสงจากพลังโฮลี่ไลท์ก็นี้อาบไปทั่วร่างของภาคีพาลาดินทุกคนจนสว่างจ้าไปหมด ราวกับว่าหมอกแห่งความมืดเองก็ถูกขจัดทิ้งไปด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่ตามมาติด ๆ นั่นก็คือพลังชีวิตของทุกคนที่ได้รับแสงโฮลี่ไลท์นั้นอาบร่าง มันพลันพุ่งพรวดกลับขึ้นมาดังเดิมพร้อมกับตัวเลขสีเขียวเหนือหัวเป็นหลักฐานยืนยันว่าพลังชีวิตของพวกเขาได้รับการฟื้นฟูแล้ว
“น…นี่มัน…พลังแห่งพระเจ้า!”
กัปตันโบลตันและพาลาดินคนอื่น ๆ ต่างพากันตกใจ พวกเขาหันกลับไปมองยังท้ายขบวนด้วยความไม่รู้
“ฝ…ฝีมือของท่านอาร์คบิชอป!”
“วิเศษมาก! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านเทพธิดาแห่งแสงถึงแต่งตั้งเขาเป็นอาร์คบิชอป!”
บิชอปทั้งห้าที่ช็อกไม่ต่างกับคนอื่นไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีในตอนนี้หลังได้เห็นพลังของเซียวเฟิง
“วิ่งต่อไป! ห้ามหยุดเชียว!” เซียวเฟิงกระดกน้ำแห่งชีวิตเข้าไปพร้อมกับตะโกนย้ำอีกครั้ง
“เร็วเข้า! ท่านอาร์คบิชอปเองก็รับความเสียหายได้ไม่นานเท่าไหร่หรอก!”
ใครสักคนในทัพตระหนักถึงเรื่องนี้ได้แล้ว ปัญหายังคงอยู่ เพราะยังไงเสียเซียวเฟิงก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าพวกเขาเลย ในสายตาพวกเขาเซียวเฟิงยังคงอ่อนแอเหมือนมดดังเดิม
ภาคีพาลาดินเร่งฝีเท้าขึ้นอีก ในขณะที่เซียวเฟิงสามารถร่ายโฮลี่ไลท์ได้ทุก ๆ 27 วินาที ดังนั้นระหว่างที่รอคูลดาวน์ พาลาดินเหล่านี้ก็จะเสียพลังชีวิตไป 27% โฮลี่ไลท์ของเขาสามารถเพิ่มพลังชีวิตได้ 15% นอกจากนี้พลังแห่งพระเจ้าของเขายังเพิ่มผลของการรักษาอีก 50% ผนวกกับคทาแห่งการรักษาในมือเองก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอีก 10% ด้วย ดังนั้นแล้วตอนนี้เซียวเฟิงสามารถเพิ่มพลังชีวิตให้พวกเขาได้ 24% ภายใน 27 วินาที
(15% x 60% + 15%)
หรือจะให้พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถึงแม้ว่าพลังชีวิตของพวกเขาจะไม่กลับมาเท่าเดิม แต่มันก็จะสูญเสียแค่ 6% ต่อนาทีเท่านั้น เพราะฉะนั้นแล้วโอกาสในการรอดชีวิตของพวกเขาจึงเพิ่มสูงขึ้นอีกเป็นอย่างมาก!
โชคร้ายที่ปัญหายังตกมาอยู่กับเซียวเฟิงดังเดิม เขาไม่สามารถรักษาตัวเองได้ในขณะที่รักษาคนอื่นเช่นนี้ เพราะงั้นเขาจึงจำเป็นต้องใช้ยาฟื้นฟูเหล่านี้เพื่อทำให้ตนเองอยู่รอด
แต่จะเรียกโชคร้ายเลยก็ไม่ได้ ความโชคดีมันก็ยังมีอยู่บ้าง ตรงที่ค่าสถานะของเขานั้นเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่งหลังจากที่ได้อาร์ติแฟคท์มาครอบครอง ยิ่งไปกว่านั้น…ด้วยไอเทมระดับเทพเจ้าที่จะสามารถเปลี่ยนมานาเป็นพลังชีวิตยามที่ไม่เหลือพลังชีวิตแล้ว มันก็ยิ่งทำให้เขาสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้นานกว่าคนทั่วไปอีกหลายเท่า
อีกทั้งคูลดาวน์ของกายาศักดิ์สิทธิ์ก็หมดลงแล้ว นั่นหมายถึงตอนนี้ เซียวเฟิงมี 2 ชีวิตสำหรับฝ่าฟันอุปสรรคในครั้งนี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม นี่ก็ดูจะยังไม่นานพอสำหรับเขา เพราะหากเทียบกับเหล่า NPC พาลาดินที่กำลังเดินทัพอย่างรวดเร็วแล้ว เขากับคนพวกนี้ยังต่างชั้นกันมาก แน่นอนว่าเขาจะเป็นฝ่ายที่พลังชีวิตหมดก่อน และถ้าหากเมื่อไหร่เขาตายก่อน พาลาดินเหล่านี้ก็จะตายลงในไม่ช้าเช่นกัน
“ท่านอาร์คบิชอป ข้ามาช่วยท่านแล้ว!”
ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานนั้นเอง บิชอปเรนัลด์ก็วิ่งมาที่ด้านหลังทัพ เขาเพิ่มพลังชีวิตให้เซียวเฟิงด้วยสกิลรักษาของเขา ในขณะที่บิชอปอีก 4 คนที่เหลือก็จัดกลุ่มใหม่เป็นกลุ่มละ 2 แล้วรีบปัดเป่าหมอกแห่งสงครามอย่างต่อเนื่องขณะนำทัพไปเช่นนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพาลาดินเพียง 6% ต่อนาทีนั้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขาแล้ว
ในท้ายที่สุด ทัพของภาคีพาลาดินก็สามารถฝ่าหมอกแห่งสงครามออกมาได้ หลังจากที่เพิ่มพลังชีวิตจนกลับมาเต็มเปี่ยมกันหมดแล้ว พวกเขาก็เห็นเมืองแห่งความโศกเศร้าตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า