เมืองแห่งความโศกเศร้าตรงหน้ายังคงมีสภาพเหมือนสัตว์ร้ายที่หมอบคลานอยู่ในความมืดดังเดิม ซึ่งมันทำให้รู้สึกหนักใจและเป็นทุกข์ทุกครั้งที่ได้มอง
“ในที่สุดพวกเราก็ออกมาจากที่นั่นได้แล้ว!”
ความพยายามของพวกเขาประสบผลสำเร็จ ซึ่งมันทำให้เซียวเฟิงเองก็โล่งใจด้วย การกระทำในครั้งนี้ยากระดับที่เขาต้องใช้ยาที่พกมาจนเกือบจะหมดเลย ดูเหมือนจะถึงเวลาที่ต้องเติมของในสต็อคบ้างแล้ว
“ท่านอาร์คบิชอป! ท่านทั้งสุดยอดแล้วก็ฉลาดสุด ๆ ไปเลยครับ!”
นำโดยกัปตันโบลตัน ผู้นำภาคีพาลาดินทั้งหมดรวมถึงผู้นำหน่วยต่างก็เข้ามาห้อมล้อมเซียวเฟิงและกล่าวสรรเสริญชายหนุ่มไปด้วยความตื่นเต้นควบคู่ไปกับความตื่นกลัวในเหตุการณ์ก่อนหน้า
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านเทพธิดาแห่งแสงถึงได้มอบสมญานาม อาร์คบิชอป ให้ท่าน! ท่านแข็งแกร่งจริงๆ !”
“ท่านอาร์คบิชอปช่างเปี่ยมล้นไปด้วยพลังแห่งพระเจ้าจริง ๆ! สิ่งนี้จะถือเป็นความหวังใหม่ของวิหารแห่งแสงของพวกเราเลย!”
บิชอปเรนัลด์และบิชอปคนอื่น ๆ อีก 4 คนเองก็รีบเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ
เห็นได้ชัดว่าหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเซียวเฟิงเมื่อครู่ พวกเขาก็คงจะโดนฆ่ากันไปหมดแล้ว การที่เซียวเฟิงสามารถยืนหยัดได้ถึงครึ่งค่อนชั่วโมงนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาแข็งแกร่งขนาดไหน
“หยุดพูดก่อน! เร็วเข้า รีบ ๆ เสร็จภารกิจนี้! ผมมีเรื่องต้องไปทำต่อ!”
เซียวเฟิงเมินเฉยต่อคำเยินยอเหล่านั้นไปทันที หลังตระหนักได้ว่าสงครามป้องกันแคมป์ของกิลด์มิดซัมเมอร์นั้นเริ่มมาได้ชั่วโมงหนึ่งแล้ว เพราะงั้นเขาต้องรีบจบภารกิจนี้แล้วไปดูการต่อสู้นั่นให้เร็วที่สุด
“ท่านอาร์คบิชอป ท่านยังมีสิ่งที่สำคัญต้องไปทำต่องั้นหรือ?”
บิชอปเรนัลด์เอ่ยถามขึ้น หลังจากที่คิดได้ว่าเซียวเฟิงดูจะเร่งรีบมาตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว
“ใช่ เพราะงั้นเราต้องรีบเสร็จภารกิจนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ดีกว่า”
“พวกเราจะเริ่มทำการตรวจสอบเมืองแห่งความโศกเศร้านี้ทันที! พาลาดินทุกนาย จัดทัพเพื่อเตรียมการจู่โจม! จากนั้นก็เตรียมตัวให้พร้อม!”
สิ้นเสียงสั่งการของกัปตันโบลตัน ภาคีพาลาดินที่ประกอบไปด้วยพาลาดินกว่า 1,000 นายก็เปลี่ยนรูปขบวนไป ทัพจู่โจมนั้นมีสภาพเหมือนลูกศรโดยที่ปลายศรนั้นคือกัปตันโบลตัน
“ระวังตัวด้วย ตรงหน้าทางเข้ามีผู้คุ้มกันระดับเทพเจ้ายืนอยู่”
เซียวเฟิงร่ายโฮลี่ไลท์เพิ่มพลังชีวิตให้เหล่าพาลาดินก่อนที่จะพูดออกไปเช่นนั้น
“ไม่ต้องกังวลไปครับ แล้วก็ต้องขอบคุณการรักษาของท่านด้วย เท่านี้พวกเราก็พร้อมที่จะสู้กับพวกเผ่าพันธุ์แห่งความมืดระดับสูงได้แล้ว”
สิ่งที่กัปตันโบลตันพูดนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เพราะเซียวเฟิงสามารถเพิ่มพลังชีวิตให้พวกเขาได้ 50% ต่อนาที ดังนั้นตราบใดก็ตามที่พวกเขาไม่โดนฆ่าในพริบตา ไม่มีทางที่พวกเขาจะพ่ายแพ้แน่ๆ
“แล้วก็ระวังอย่าเผลอฆ่าผู้คุ้มกันนั่นด้วย ผมจะฆ่ามันเองเพื่อที่มันจะได้ดร็อปของ”
คำพูดของเซียวเฟิง มันทำให้กัปตันโบลตันรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที คนคนนี้ตั้งใจจะปราบบอสระดับเทพเจ้าเลเวล 30 ตัวนี้จริง ๆ เพื่อที่จะได้มาซึ่งของดร็อปรวมไปถึงรางวัลที่ได้จากการสังหารด้วย
“งั้นก็มาเริ่มกันเลย!”
ขบวนศรพาลาดินสีเงินพุ่งตรงเข้าไปยังเมืองแห่งความโศกเศร้าอย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อเข้าใกล้ประตูเมือง พวกเขาทั้งหมดก็ต้องหยุดฝีเท้าลง เมื่อหอกสีดำค่อย ๆ ปรากฏขึ้นและก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างตรงหน้าเขาอีกครั้ง
“โฮกกกก!”
“ไอ้พวกแสงสกปรกน่าขยะแขยง! พวกเจ้ามันก็แค่ผู้เชื่อจอมปลอม! กล้าดีอย่างไรจึงได้บุกเข้ามายังเมืองแห่งความโศกเศร้าเช่นนี้! ข้าจะกำจัดพวกเจ้าทุกตนเอง!”
ร่างของนักรบโครงกระดูกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงคำรามที่ดังลั่น หมอกสีดำที่กระจัดกระจายไปทั่วนั้นเข้าไปหลอมรวมเข้ากับร่างของมันสร้างความกดดันให้แก่ทุกคนที่ได้พบเจอ
“ระวังตัวให้ดี! เจ้านี่ไม่ได้รับมือได้ง่าย ๆ แน่!”
พลังของมันทำให้กัปตันโบลตันยังรู้สึกตึงมือ ผู้คุ้มกันประจำเมืองแห่งความโศกเศร้านั้นมีสถานะใกล้เคียงกับเขา และนั่นหมายถึง มันแข็งแกร่งกว่าภาคีพาลาดินทุกคนในตอนนี้! ไม่คาดคิดเลยว่าที่เมืองแห่งนี้จะมียังมีผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งเทียบเท่าเขาอยู่ด้วย
-24,300!
“อั่ก!? ไอ้พวกผู้บุกรุก!”
ก่อนที่ผู้คุ้มกันตัวยักษ์จะได้พูดหรือทำอะไรต่อ ค่าแสดงความเสียหายสีแดงตัวใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนหัวของมัน พลังชีวิตของมันก็หายไปเป็นจำนวนมากจนมันต้องร้องออกมาด้วยความโกรธ
“เร็วเข้า! รีบ ๆ ทำอะไรเข้า! อย่ามัวแต่เสียเวลา!”
เซียวเฟิงรีบถอยออกมาหลังจากที่เขาเพิ่งจะโจมตีบอสไป เขาไม่อยากจะซ้ำรอยเดิมกับครั้งที่แล้วอีก เพราะงั้นเขาจึงเร่งให้กัปตันโบลตันรีบทำอะไรสักอย่าง
ในเวลานี้เขาทั้งรีบร้อนทั้งกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยสุด ๆ เลย
“อ๊ะ…ขะ…เข้าใจแล้วครับ! เริ่มโจมตีผู้คุ้มกันตนนั้นได้เลย!”
กัปตันโบลตันและเหล่า NPC ต่างก็กำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าเซียวเฟิงจะสามารถโจมตีใส่ผู้คุ้มกันได้รุนแรงขนาดนี้ ภาคีพาลาดินทั้งหมดรีบกลับไปวิ่งโถมเข้าใส่ผู้คุ้มกันเมืองตนนั้นอีกครั้งหลังได้สติกลับมาจากความตกตะลึง
ไม่แปลกใจเลย ผู้คุ้มกันเมืองตนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของภาคีพาลาดินจริง ๆ แล้วยิ่งภาคีพาลาดินที่มีเซียวเฟิงคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอีก
ตำแหน่งยืนของเซียวเฟิงนั้นอยู่ค่อนข้างไกล เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาถูกโจมตีจากสกิลของกลิ่นของอันเดด อีกทั้งเขาจะได้สามารถใช้โฮลี่ไลท์ให้กับทุกคนที่อยู่ในระยะสายตาได้ด้วย การต่อสู้นั้นดำเนินอยู่ไม่นาน ผู้คุ้มกันเมืองแห่งความโศกเศร้าก็เริ่มจะพ่ายแพ้แล้ว
“หยุดก่อน! ผมจะฆ่ามันเอง!”
เสียงตะโกนของเซียวเฟิงดังหยุดการโจมตีของภาคีพาลาดินไว้ก่อน และทันใดนั้นโฮลี่ไลท์ก็พุ่งลงมาจากฟากฟ้าเข้าใส่ผู้คุ้มกันเมืองจนพลังชีวิตหมดไปทันที
[ท่านได้ทำการสังหารผู้คุ้มกันเมืองแห่งความโศกเศร้า บอสระดับเทพเจ้าเลเวล 30 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว! ได้รับค่าชื่อเสียง 100 แต้มและค่าประสบการณ์ 5,450,000 หน่วย!]
[ยินดีด้วย! ท่านเลเวล 18 แล้ว! ได้รับค่าสถานะ 1 แต้ม!]
แสงสีขาวสว่างออกมาจากตัวเซียวเฟิงพร้อม ๆ กับที่เขาได้รับรางวัลจากการปราบบอสตนนี้ เพราะการต่อสู้ในครั้งนี้มีกัปตันโบลตันและ NPC ตนอื่น ๆ เข้าร่วมในการต่อสู้ด้วย ดังนั้นค่าประสบการณ์จึงได้น้อยกว่าตอนที่เขาปราบผู้คุ้มกันแห่งปราสาทใต้พิภพด้วยตนเอง
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เพียงพอที่จะทำให้เซียวเฟิงเลเวลอัพอยู่ดี ตอนนี้เขาเลเวลสูงกว่าซีเหมินชุยเสวียผู้ที่เป็นอันดับ 2 ในอันดับเลเวลถึง 2 เลเวลแล้ว
ครั้งนี้ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่ในดันเจี้ยน เพราะผู้คุ้มกันเมืองตนนี้มีของดร็อปเยอะกว่ามาก
“ของฉัน!”
ร่างของเซียวเฟิงพุ่งทะยานเข้าไปยังจุดที่ไอเทมดร็อปลงมาอย่างไม่รีรอเพราะกลัวว่ากัปตันโบลตันหรือ NPC คนอื่น ๆ จะเข้ามาแย่งของของเขาไป ซึ่งทำให้กัปตันโบลตันที่ไม่ได้คิดอะไรเช่นนั้นถึงกับผงะ
อย่างไรก็ตาม เซียวเฟิงก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อสิ่งที่รอเขาอยู่นั้นไม่มีอาร์ติแฟคท์ดังที่ต้องการ แม้ว่าไอเทมด้านหน้าจะมีมากมายก็จริง แต่ลึก ๆ แล้วเซียวเฟิงต้องการอาร์ติแฟคท์แม้จะเพียงชิ้นเดียวเสียมากกว่า
ไอเทมที่ดร็อปลงมามากมายเหล่านี้ แน่นอนว่าส่วนมากนั้นไร้ประโยชน์สำหรับเขา เนื่องจากของหลาย ๆ ชิ้นเป็นเลเวล 30 ทั้งหมด แม้ว่ามันจะเป็นระดับทองก็ตาม
นอกนั้นก็มีเหรียญทองกับวัตถุดิบระดับสูง โทเค่นกิลด์อันมีค่าในสายตาคนอื่นและอุปกรณ์ระดับเทพเจ้าอีก 1 ชิ้น
“เดี๋ยวก่อนสิ… นี่มันไม่ใช่อุปกรณ์นี่!”
แต่แล้วสิ่งที่ควรจะเป็นอุปกรณ์สวมใส่ระดับเทพเจ้านั้นก็ต้องทำให้เซียวเฟิงรู้สึกประหลาดใจ นั่นเพราะตัวมันไม่ใช่อุปกรณ์อย่างที่เขาประเมินไว้!
หน้ากากกระโหลก
ระดับ : เทพเจ้า
ประเภทไอเทม : ชุดแฟชั่น
ประเภทสวมใส่ : ใบหน้า
ข้อกำหนดของไอเทม : เพศชาย
ค่าสถานะ :
ค่าพรสวรรค์ +1
ความสามารถพิเศษ :
ป้องการการตรวจสอบ : ไอเทมชิ้นนี้สามารถปกปิดข้อมูลตัวตนของผู้เล่นได้ ใครก็ตามที่อยู่ต่ำกว่าระดับเทพเจ้าจะไม่สามารถใช้ทักษะตรวจสอบในการหาข้อมูลจากผู้สวมใส่ได้
มันเป็นชุดแฟชั่นจริง ๆ ด้วย! ชุดแฟชั่นที่ทำให้เหมือนกับหัวกระโหลกสีเงิน ภายในเบ้าตาของมันเปล่งแสงไปด้วยไฟสีเงินที่ลุกโชนอยู่ตลอดเวลา มอบความรู้สึกน่ายำเกรงให้แก่ทุกคนที่ได้จับจ้อง!
“ทำไมมันถึงเป็นแค่ชุดแฟชั่นนะ…”
เซียวเฟิงสวมหน้ากากกระโหลกนั้นเข้าไป และเมื่อมันรวมเข้ากับกระโหลกมังกรที่สวมใส่อยู่ก่อนหน้าแล้ว มันก็ทำให้เขาดูทรงพลังเอาเสียมาก ๆ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังไม่สามารถทำให้ชายหนุ่มพึงพอใจได้อยู่ดี…
อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีอยู่แล้วว่าชุดแฟชั่นระดับเทพเจ้าชิ้นนี้มีค่ามากกว่าไอเทมระดับเทพเจ้าชิ้นอื่น ๆ พอตัว
ชุดแฟชั่นส่วนใหญ่แล้วนั้นจะไม่มีความสามารถใด ๆ ผิดกับหน้ากากกระโหลกชิ้นนี้ที่เพิ่มค่าพรสวรรค์ให้แม้จะเพียงเล็กน้อย กับ สกิลปกปิดข้อมูลส่วนตัว ทำให้ผู้เล่นคนอื่นไม่สามารถตรวจสอบหาตัวตนของเขาได้ต่อให้ใช้ทักษะการตรวจสอบระดับสูงก็ตาม
นอกจากนี้แล้ว ชุดแฟชั่นชิ้นนี้ก็ถือว่าสร้างความได้เปรียบให้เขาได้ แม้จะนิดหน่อยก็ตาม นั่นเพราะช่วงนี้เหล่าผู้เล่นจะเริ่มมีไอเทมและเลเวลไล่ ๆ กันแล้ว ในขณะที่ชุดแฟชั่นนั้นไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ว่างสำหรับสวมใส่ และถ้าหากมันสามารถเพิ่มค่าสถานะให้ผู้สวมใส่ได้ นั่นหมายถึงมันจะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสชนะให้กับผู้เล่นคนนั้นได้อย่างแน่นอน
อัตราการดร็อปของชุดแฟชั่นชิ้นนี้ค่อนข้างต่ำมาก ๆ มันหายากกว่าไอเทมระดับเทพเจ้าเสียอีก และเซียวเฟิงน่าจะเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่ไม่พอใจหลังจากที่ได้มันมาครอบครองแล้ว สิ่งที่เขาต้องการมันคือความแข็งแกร่งของอาร์ติแฟคท์ต่างหาก!
“เฮ้อ ช่างมันก็ได้ ไว้ค่อยไปหาอาร์ติแฟคท์ต่อในสุสานใต้พิภพละกัน”
เขากระซิบกับตนเองก่อนจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ยามเมื่อเงยหน้าขึ้นมา เซียวเฟิงก็พบว่ากัปตันโบลตันได้เข้าไปในเมืองแห่งความโศกเศร้าเรียบร้อยแล้ว
“ท่านอาร์คบิชอปคะ พวกเราไม่เจออะไรน่าสงสัยภายในเมืองแห่งนี้เลยค่ะ!”
เพราะเซียวเฟิงมีตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาการภาคีพาลาดินในตอนนี้ ดังนั้นผู้นำหน่วยพาลาดินสาวผู้นี้จึงรีบเข้ามาหาเขาเพื่อรายงานผลสำรวจทันที
“หมายความว่ายังไง?”
เซียวเฟิงถามด้วยความสงสัยก่อนที่จะเข้าไปยังภายในเมืองแห่งความโศกเศร้าด้วยตนเอง หลังจากผู้คุ้มกันเมืองถูกกำจัดไป หมอกมืดที่ปกคลุมหน้าประตูทางเข้าเมืองก็พลันสลายไปด้วย เพราะแบบนี้เซียวเฟิงจึงสามารถเดินเข้าไปในเมืองได้พร้อมกับความประหลาดใจตลอดทาง
ไม่ใช่แค่ไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่ภายในเมืองนี้มันไม่มีอะไรเลยต่างหาก! ไม่ว่าจะเดินไปจุดไหนมันก็มีแต่พื้นที่ราบคอยต้อนรับอยู่ ณ จุดนั้น
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ทำไมภายในนี้ถึงไม่มีอะไรเลย?” เซียวเฟิงถามด้วยความสับสน
“น่าจะเป็นเพราะเมืองยังไม่ถูกสร้างนั่นแหละครับ มันถึงได้ถูกหมอกแห่งสงครามปกคลุมเอาไว้ เพราะงั้นแล้วพวกเราเองก็กลับไปรายงานภารกิจได้แล้วล่ะ” กัปตันโบลตันพูดก่อนจะกล่าวชมเซียวเฟิงไปอีกครั้ง
“ท่านอาร์คบิชอปนี่สุดยอดไปเลยนะครับ! ท่านจะต้องได้รับการชี้น้ำจากพระเจ้าแห่งแสงสว่างแน่ ๆ เพราะท่านสามารถยับยั้งแผนการของพวกเผ่าพันธุ์แห่งความมืดได้ถึงสองครั้งสองคราแล้ว ทั้งเมืองแห่งความโศกเศร้าแล้วก็ป่ามู่กวางด้วย ข้าเชื่อเลยว่าท่านต้องมีญาณทิพย์เป็นแน่!”
เซียวเฟิงมองไปยังความว่างเปล่าภายในเมืองแห่งความโศกเศร้า ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี บางทีเขาอาจจะทำภารกิจเนื้อเรื่องเสร็จเร็วเกินไปก็ได้ เพราะจากสภาพเมืองที่ใหญ่โต เขาเชื่อว่าพวกเผ่าพันธุ์แห่งความมืดต้องกำลังจะทำการใหญ่อะไรสักอย่างแน่นอน
“อืม…งั้นก็เปลี่ยนเส้นทางแล้วกลับกันเลยก็ได้…”
ท้ายสุดแล้วเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าและออกคำสั่ง ถ้าภารกิจมันจบแล้ว รีบ ๆ เอาไปส่งมันซะก็ดี ตอนนี้ชายหนุ่มอยากจะรีบไปยังแคมป์ของมิดซัมเมอร์กิลด์ใจจะขาดแล้ว หลังจากหันไปมองเมืองแห่งความโศกเศร้าที่เหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังหมอบคลานอยู่เป็นครั้งสุดท้าย เซียวเฟิงก็เดินจากไปพร้อมเหล่าภาคีพาลาดิน
พวกเขาใช้วิธีการเดิมในการออกจากที่นี่ เพราะงั้นกว่าเหล่าพาลาดินทั้งหมดจะออกจากดินแดนแห่งความมืดได้ มันก็ใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ครั้งนี้เซียวเฟิงไม่ได้เลือกที่จะย้อนกลับไปยังเมืองหลี่รั่ว เพราะสงครามป้องกันแคมป์ของมิดซัมเมอร์กำลังจะจบลงในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า ชายหนุ่มจึงรีบมุ่งหน้าไปยังพื้นที่โล่งอันเป็นจุดที่แคมป์ของมิดซัมเมอร์ตั้งอยู่ในทันที ยังไงเสียที่นี่ก็อยู่ระหว่างทางไปเมืองเทียนหลงด้วย ดังนั้นทัพของภาคีพาลาดินจึงสามารถหยุดรอเขาได้ก่อนจะกลับไปยังเมืองหลักพร้อม ๆ กันอยู่แล้ว
ภาคีพาลาดินทั้งหมดนำโดยกัปตันโบลตันเห็นด้วยกับเซียวเฟิงโดยไม่มีการลังเลใด ๆ ทั้งสิ้น ตอนนี้เซียวเฟิงได้ซื้อใจพวกเขาด้วยความแข็งแกร่งไปแล้ว จะมีก็แต่เหล่าบิชอปรวมไปถึงบิชอปเรนัลด์ที่จำเป็นต้องกลับไปยังภูเขาส่องแสงด้วยการเทเลพอร์ตก่อนเพราะพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนดั่งพาลาดินและนักเวท
พื้นที่ราบแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากเมืองเทียนหลงนัก ด้วยอานิสงส์ของการที่มันเป็นที่เปิดกว้างและสัญจรสะดวก มันจึงกลายเป็นที่สำหรับเก็บเลเวลชั้นยอดของผู้เล่น ในบางพื้นที่ของที่ราบกว้างยังแอบซ่อนวัตถุดิบลับสำหรับคลาสรองอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นใกล้ ๆ นี้เองก็ยังมีดันเจี้ยนเลเวล 15 ประจำเมืองเทียนหลงอยู่อีก ช่างโชคร้ายจริง ๆ ที่ถึงแม้พื้นที่ราบจุดนี้จะเป็นตำแหน่งที่ดีขนาดไหน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ศัตรูหรือมอนสเตอร์บุกเข้ามาได้ยากอะไรเลย
กระนั้นแล้วโรสก็ยังไม่ได้รู้สึกกังวลแต่อย่างใด เธอเชื่อว่ากิลด์มิดซัมเมอร์นั้นแข็งแกร่งพอที่จะเข้าปะทะกับผู้รุกรานอยู่แล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเธอถึงเลือกมาตั้งแคมป์ ณ ที่โล่งกว้างแห่งนี้ อันที่จริง นี่มันก็เป็นสงครามป้องกันแคมป์ครั้งแรกของเซิร์ฟเวอร์ด้วย ดังนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าต้องเตรียมตัวกันยังไงบ้าง เพราะแบบนี้ผู้เล่นส่วนใหญ่ที่เข้ามาชมต่างก็ต้องการรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดภายในสงครามก่อนที่พวกเขาจะไปรับมือด้วยตนเองกันถ้วนหน้า และโรสเองก็กล้าและหยิ่งผยองพอที่จะเป็นฝ่ายเปิดฉากสงครามป้องกันแคมป์นี้เป็นคนแรกและปล่อยให้คนอื่นเข้ามาชมเป็นวิทยาทานได้ตามสะดวก!