“ข้าก็เชื่อเจ้าเช่นกัน”

สิ่งที่ทำให้เยี่ยเฟิงรู้สึกประหลาดใจมากกว่านั้นคือ เซี่ยวอวี่เซวียนที่ก่อนหน้านี้มักกลั่นแกล้งเขากลับยืนขึ้น เขามีบาดแผลเต็มตัวและรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรง มือข้างหนึ่งพันด้วยผ้าพันแผลและแขวนไว้ที่คอของเขา แต่กลับส่งยิ้มให้กับเขา ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความเชื่อใจ

“เพราะอะไร…”

“เพราะว่าเราเป็นเพื่อนกันยังไงล่ะ”

เมื่อได้ยินคำว่าเพื่อน เยี่ยเฟิงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และในใจก็รู้สึกแยกสลาย

เขาไม่มีเพื่อน

ไม่มีเพื่อนเลยตั้งแต่เล็กจนโต

เขา…ก็ไม่มีเพื่อนคนไหนเล่นด้วยกันกับเขา…

ในตอนนี้ทุกคนต่างพากันชี้หอกแหลมมาที่เขา ทำให้พวกเขาไม่ต้องพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วยในครั้งนี้

ดวงตาที่อบอุ่นและเย็นชาของกู้ชูหน่วนเหลือบไปมองทุกคนที่อยู่ตรงนั้นและค่อยๆ อ้าปากพูดขึ้นช้าๆ “พวกเจ้าบอกว่าเยี่ยเฟิงฆ่าคน? หากเขาฆ่าคนจริง เช่นนั้นแล้วทำไมเขาต้องกลับมาด้วย?”

ทุกคนต่างพากันสำลัก

ไม่นานก็มีคนตอบขึ้นมา “เขามาที่สำนักศึกษาต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่ๆ อาจจะเป็นเพราะตอนนี้เขายังทำไม่สำเร็จ ฉะนั้นเขาก็เลยกลับมา”

“โอ๊ะ เช่นนั้นแล้วเขามีจุดประสงค์อะไรหรือ?” กู้ชูหน่วนยิ้มและดวงตาที่หรี่ลงก็เต็มไปด้วยสัญญาณการตักเตือน

คนคนนั้นพูดไม่ออกเป็นเวลานาน

แต่อาจารย์หรงกลับแย่งพูด “ใครจะไปรู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไร?”

“ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีหลักฐาน เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าพูดได้อย่างไรว่าเขามีจุดประสงค์อื่น? ในการชุมนุมแข่งขันทางวิชาการ เขาก็คว้าอันดับสองมาได้ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แล้วกับทุกคน การที่เขาได้เข้ามาเรียนในสำนักศึกษา ก็เป็นราชโองการของฝ่าบาท หากจะพูดว่าเยี่ยเฟิงมาเรียนที่สำนักศึกษาเพื่อจุดประสงค์อื่นนั้น เช่นนั้นแล้วข้าก็สามารถคิดได้ว่า คนที่อยู่เบื้องหลังของเขาก็คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบันใช่หรือไม่?”

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป

“กู้ชูหน่วน เจ้าพูดแก้ตัวได้อย่างไร้เหตุผล เห็นได้ชัดว่าพวกข้ากำลังพูดถึงเยี่ยเฟิง เกี่ยวข้องอะไรกับฝ่าบาท?”

“ใช่ พวกเจ้ากำลังพูดถึงเยี่ยเฟิงไม่ผิด แต่เพราะอะไรทำไมเยี่ยเฟิงถึงมาที่สำนักศึกษา? นั่นไม่ใช่เป็นเพราะฝ่าบาทให้เขามาหรอกหรือ การจะสงสัยเยี่ยเฟิงก็เท่ากับสงสัยในตัวของฝ่าบาทไม่ใช่หรือ?”

เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่นางพูดมานั้นไร้เหตุผล แต่กลับทำให้คนอื่นหนีไม่พ้นจากความผิดเลยแม้แต่น้อย

ผู้อาวุโสของสำนักกฎหมายเจิ้งลี่ว์ค่อยๆ พูดขึ้นช้าๆ “เจ้าบอกว่าเจ้าออกจากหอเก็บสะสมตำราตอนยามไฮ่เหลี่ยงเคอ เช่นนั้นแล้วทำไมคนที่เฝ้าเวรยามตอนกลางคืนกลับไม่เห็นเจ้า? และเจ้าออกไปทางไหนหรือ?”

“ข้าออกไปทางหน้าต่าง อาจเป็นเพราะพวกเขาเห็นไม่ชัด” เยี่ยเฟิงพูดอย่างไตร่ตรอง

คนใช้ที่เฝ้าเวรยามตอนกลางคืนพูดแก้ต่าง “เหลวไหล เจ้าไม่ได้ออกไปจากทางหน้าต่างตอนยามไฮ่เหลี่ยงเคอ เห็นได้ชัดว่าเจ้าออกไปตอนยามไฮ่ซานเคอ?”

กู้ชูหน่วนเลิกคิ้วและหัวเราะเยาะ “เมื่อสักครู่เจ้าบอกว่าหัวหน้าสำนักศึกษามาที่หอเก็บสะสมตำราตอนยามไฮ่เหลี่ยงเคอ เช่นนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าเยี่ยเฟิงจะออกไปก่อน จากนั้นหัวหน้าสำนักศึกษาก็เข้ามา ตอนนั้นพวกเจ้ากำลังพูดคุยกับหัวหน้าสำนักศึกษา ฉะนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าพวกเจ้าไม่ได้สังเกตว่าเยี่ยเฟิงได้ออกไปแล้ว”

ผู้อาวุโสแห่งสำนักกฎหมายเจิ้งลี่ว์ได้พูดขึ้นอีกครั้ง “หากเป็นเช่นนั้น ทำไมเยี่ยเฟิงถึงไม่เดินออกทางประตูใหญ่ แต่กลับออกทางหน้าต่างล่ะ?”

กู้ชูหน่วนพูดไม่ออก

ตาเฒ่าคนนี้ ไม่แปลกที่เป็นคนของสำนักกฎหมายเจิ้งลี่ว์ แต่ละคำที่พูดออกมาล้วนทิ่มแทงจนกระอักเลือด

กู้ชูหน่วนหันไปมองและส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นให้กับเยี่ยเฟิง จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว เจ้าบอกพวกเขาไปเลยว่าทำไมต้องออกไปทางหน้าต่าง มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างนั้นหรือไม่?”

ดวงตาที่เย็นชาของเยี่ยเฟิงค่อยๆ หรี่ลงและเขาก้มศีรษะโดยไม่พูดอะไร

ทำให้ทั้งสำนักกฎหมายเจิ้งลี่ว์ต่างพากันหัวเราะเยาะเขา

เซี่ยวอวี่เซวียนพูดด้วยความโกรธ “เยี่ยเฟิงไม่ได้เป็นคนร้าย หากเขาเป็นคนร้ายจริง ทำไมเขาถึงไม่คิดหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นความผิด เขาจะต้องมีบางอย่างที่ไม่สามารถพูดออกมาได้แน่ๆ”

“เช่นนั้นแล้วเจ้าบอกพวกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าออกไปแล้วเจ้าไปที่ไหน ไปพบใครและระหว่างนั้นทำไมถึงกลับเข้าไปยังสำนักศึกษาหลวงอีก? ตามที่ข้ารู้มา เจ้าจะกลับไปนอนทุกคืนและไม่เคยนอนที่สำนักศึกษาเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

ทุกคนต่างมองไปที่เยี่ยเฟิงและรอให้เยี่ยเฟิงตอบคำถาม รวมไปถึงกู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี่เซวียน