บทที่ 197 เสี่ยวเหยียนเอ๋อตกหน้าต่าง

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 197

เสี่ยวเหยียนเอ๋อตกหน้าต่าง

ดวงตาของเจียงหวายเย่ก็ได้จริงจังขึ้นมา เอาต้องการที่จะจัดการกับอีกฝ่าย แต่เนื่องจากเขามีเสี่ยวเหยียนเอ๋อเป็นตัวประกัน เขาจึงทำได้แค่รอดูโอกาสเท่านั้น

“ข้าแนะนำให้เจ้าปล่อยเสี่ยวเหยียนเอ๋อจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าจะรับประกันว่าเจ้าและคนที่นอนอยู่บนเตียงจะไม่ได้ออกไปจากห้องนี้แน่นอน

คำขู่นั้นทำให้ตัวของเหลิงเฟิงแข็งทื่อ เขามองไปที่ เจียงหวายเย่แล้วกล่าว “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงได้รู้ตัวตนของพวกเราได้”

เมื่อได้ยินที่ถาม หลินซีเหยียนจึงได้รู้ว่าเขานั้นกำลังเข้าใจผิดและคิดที่จะเปิดปากอธิบาย แต่ว่ามือที่จับคอของนางอยู่นั้นทำให้นางไม่สามารถพูดออกมาได้ ซึ่งทำให้นางนั้นรู้สึกแย่ขึ้นมา

เจียงหวายเย่ก็ได้มองดู และพบว่ามีรอยแดงที่คอของหลินซีเหยียน แล้วจิตมุ่งร้ายในดวงตาของเขาก็ได้รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ “ข้าไม่คิดจะทำอะไรกับพวกเจ้าทั้งนั้น เจ้าจงปล่อย เสี่ยวเหยียนเอ๋อเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเจ้านายของเจ้า”

หลังจากนั้นเจียงหวายเย่ก็ได้พุ่งตัวไปหาองค์ชายสิบหก เหลิงเฝิงนั้นไม่อาจที่จะทำอะไรสองอย่างพร้อมกันได้ เขาจึงได้ผลักหลินซีเหยียนออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อถ่วงเวลาเจียงหวายเย่เพื่อให้เขาได้มีโอกาสหนีไปพร้อมกับเจ้านายของเขา

เทียนเอ๋อที่ถูกปกป้องโดยเจียงหวายเย่อยู่นั้นก็ทั้งตกใจและโมโห “ท่านอาเหลิงเฟิง ท่านทำร้ายท่านแม่ของข้า”

ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังจะหล่นนั้น เจียงหวายเย่ก็มาคว้ามือของนางเอาไว้ได้ทันพอดี

ตัวของหลินซีเหยียนในเวลานี้ลอยค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ และที่ถนนด้านล่างก็ได้มีผู้คนที่เริ่มมองเห็นเหตุการณ์และพากันตะโกนและกรีดร้อง จากนั้นก็มีคนจำนวนมากแห่มาดู

ด้วยความที่ไม่อยากให้เห็นราวกับลิงเช่นนี้ หลินซีเหยียนก็ได้หน้าแดงขึ้นมา จากนั้นก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ “รีบดึงข้าขึ้นไปเร็วเข้า”

เมื่อเห็นท่าทีที่เขินอายของหลินซีเหยียนแล้ว ปากของเจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มอย่างชั่วร้ายขึ้นมา “ถ้าเราดึงเสี่ยวเหยียนเอ๋อขึ้นมาแล้วเราจะได้อะไร?”

“ได้อะไร? นี่เจ้าจะมาพูดเรื่องแบบนั้นเอาอะไรเวลาแบบนี้” หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่เขาอย่างเงียบๆ ถ้าเกิดทำได้นางก็อยากที่จะตีหัวของเจียงหวายเย่ให้แตกและดูว่ามีอะไรอยู่ข้างในนั้น!

เจียงหวายเย่ที่เหมือนจะไม่พอใจกับคำตอบของ หลินซีเหยียน ก็ได้แกล้งทำเป็นว่าเขากำลังจะดึงเอาไว้ไม่ไหว แล้วตัวของเขาก็ได้ค่อยๆขยับออกมานอกหน้าต่างครึ่งตัว แล้วดวงตาของหลินซีเหยียนก็ได้เบิกกว้างขึ้นมา

“เสี่ยวเหยียนเอ๋อดูเหมือนว่าเจ้ากับข้าคงได้เป็นคู่เป็ดแมนดารินที่จำต้องแยกจากกันแล้วล่ะ”

“องค์ชายท่านเป็นถึงเยี่ยมยุทธ์ แต่ท่านกลับดึงผู้หญิงบอบบางอย่างข้าไม่ได้อย่างไรกัน” หลินซีเหยียนได้เปิดโปงเรื่องโกหกของเจียงหวายเย่โดยไม่ลังเล

แต่ใครจะรู้เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเจียงหวายเย่นั้นเริ่มไม่ดีขึ้นมา เขาจับมือของหลินซีเหยียนอย่างสั่นๆ “เจ้าลืมไปแล้วเหรอไงว่าเราถูกพิษอยู่น่ะ”

ในตอนนั้นเองที่หลินซีเหยียนเริ่มรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา ในเวลานี้ตัวนางอยู่ข้างนอกหน้าต่างชั้นสาม เมื่อนางมองไปข้างล่างก็พบว่าตัวเองนั้นอยู่สูงไม่น้อยกว่า 5 เมตร ด้วยความสูงเท่านี้ทำให้นางนั้นเริ่มรู้สึกวิงเวียนขึ้นมา

ถ้าเกิดว่าตกลงไปจริงๆ ก็เกรงว่านางนั้นก็คงตายไม่ก็พิการเป็นแน่แท้! นางที่ยังอยู่ในวัยกำลังเบ่งบานนั้น จะต้องให้ไปใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นก่อนวัยอันควรได้อย่างไร

ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังคิดถึงอนาคตอยู่นั้น เสียงที่อ่อนแรงของเจียงหวายเย่ก็ได้ดังเข้ามาในหูของนาง “แต่ถ้าเกิดเสี่ยวเหยียนเอ๋อพูดดีๆกับเรา บางทีเราอาจจะมีแรงฮึดสู้ก็ได้นะ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงได้ตกลงไปพร้อมกันแน่”

ในชั่วขณะนั้นเองที่หลินซีเหยียนเริ่มคิดว่าเจียงหวายเย่นั้นกำลังหลอกนางอีกหน แต่เมื่อมองดูซ้ายแลขวาแล้วก็ไม่พบพิรุธอะไร นางจึงได้สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆเพื่อปลอบตัวนางเอง ก็แค่พูดประโยคเดียวเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ?

นางจึงได้พูดออกไปด้วยเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคน “องค์ชายเย่นั้นหล่อที่สุดหาผู้เทียมทานไม่ได้”

“อะไรนะ? เสียงเบาเกินไปข้าไม่ได้ยินเลย”

ในเวลานี้เองที่ดวงตาของเจียงหวายเย่นั้นเผยรอยยิ้มออกมา ถ้าหลินซีเหยียนไม่อาจเดาได้ว่านางนั้นถูกหลอกนางก็คงเป็นคนโง่จริงๆแล้ว นางจึงได้ชี้ไปที่เจียงหวายเย่ด้วยความโกรธและแกว่งแขนพร้อมกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เจียงหวายเย่ที่ยิ้มอยู่นั้นร่างกายของเขาก็เกิดสั่นไหวอย่างรุนแรง จากนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มที่แข็งทื่อบนใบหน้าของเขา สีหน้าของเขานั้นซีดลงอย่างรวดเร็ว แล้วจากนั้นก็มีอาการเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องลึกไปถึงไขกระดูก

“อย่าขยับตัว” เจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวด้วยเสียงที่แหบแห้ง และรู้สึกได้ถึงมือของเขาที่คลายลง

เมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเจียงหวายเย่แล้ว หลินซีเหยียนก็ได้มองดูสีหน้าที่กำลังอดกลั้นของเจียงหวายเย่แล้ว ก็ได้ปรากฏความเย็นชาขึ้นมาบนใบหน้าของนาง “เจ้าหลอกข้าได้หนนึง จะมาหลอกข้าซ้ำสองไม่ได้หรอกนะ

หลังจากที่พูดจบหลินซีเหยียนก็ได้ดิ้นมากกว่าเดิม

เจียงหวายเย่ก็รู้สึกเหมือนเขากำลังแบกหินก้อนใหญ่ทุบเท้าตัวเองยังไงอย่างนั้น แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ในเวลานี้ตัวของเขาครึ่งหนึ่งได้ออกมานอกหน้าต่างแล้ว

ในเวลานี้หากว่าเขาไม่ระวังแล้ว ทั้งสองคนคงได้ร่วงลงไปจริงๆแน่

“รีบดึงข้าขึ้นไปเร็วเข้าสิ!”

ในเวลานี้มีคนบนถนนต่างก็พากันชี้ไม้ชี้มือมาทางนางมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลานี้นางอยากที่จะขึ้นไปมากๆแล้ว นางจึงได้เงยหน้าแล้วกล่าว “เจียงหวายเย่รีบดึงข้าขึ้นไปเร็วเข้า!”

เมื่อได้ยินที่พูด เจียงหวายเย่ก็รู้สึกตกตะลึง ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายนั้นไม่เคยเรียกชื่อเขาตรงๆเลยตั้งแต่ที่เขาได้พบ เสี่ยวเหยียนเอ๋อ ซึ่งทำให้เขารู้สึกแย่ขึ้นมานิดหน่อย

หลังจากที่ตั้งสติได้ เขาก็นึกอะไรบางอย่างออกแล้วยิ้มขึ้นมาอย่างฝืนๆที่มุมปากของเขา เขามองไปที่หลินซีเหยียนและผู้คนตามท้องถนนแล้ว แววตาของเขาก็ได้มืดดำขึ้นมา แล้วมือข้างที่ว่างของเขาก็ได้ล้วงลงไปหยิบขวดหยกออกมาจากในเสื้อของเขา ซึ่งมีเม็ดยาอยู่ในขวดหยกใบนั้น

แต่ก่อนที่หลินซีเหยียนจะได้เห็นเม็ดยานั้นชัดๆ เจียงหวายเย่ก็ได้กลืนยาเม็ดนั้นลงไปแล้ว

ส่วนเทียนเอ๋อที่อยู่ในห้องนั้นก็เชื่อมั่นในวรยุทธ์ของอาจารย์ของเขา จึงได้อุทิศตัวเองในการขัดขวางเหลิงเฟิงไม่ให้หนีเอาไว้

“ท่านอาเหลิงเฟิง ท่านแม่ของข้าเป็นคนดี ท่านทำกับท่านแม่ของข้าแบบนี้ได้อย่างไร?”

เทียบกับเหลิงเฟิงแล้ว ร่างกายที่เล็กของเทียนเอ๋อนั้นไม่ต่างอะไรไปจากถั่วงอก เหลิงเฟิงจึงไม่กล้าเอาจริงกับเขาอีกทั้งเทียนเอ๋อยังฉลาดมาก ทำให้เขาไม่สามารถหลบหนีไปได้

หลังจากที่ทานยาเม็ดนั้นลงไป ใบหน้าของเจียงหวายเย่ก็ได้มีเลือดกลับคืนมา และทันทีที่เขาคิดว่าได้ผล เขาก็ยก หลินซีเหยียนขึ้นมาอย่างง่ายดาย

หลังจากที่สองเท้าของนางได้กลับมายืนพื้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่หลินซีเหยียนต้องการจะทำคือเอื้อมมือออกไปจับที่เอวของเจียงหวายเย่ แต่เจียงหวายเย่นั้นระวังตัวเอาไว้อยู่แล้ว เขาจึงได้หลบแล้วยื่นมือออกมาแล้วคว้าหลินซีเหยียนเอาไว้ในอ้อมแขนของเขา

เจียงหวายเย่ก็ได้เผยรอยยิ้มในดวงตาและกล่าวหยอกหญิงสาวในอ้อมแขนของเขา “หรือว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อคิดที่จะโผเข้ามาในอ้อมแขนของเรางั้นเหรอ?”

หลินซีเหยียนก็ได้ยืดแขนของเขาแล้วบิดหักด้วยเอวของนาง หลังจากที่เห็นเจียงหวายเย่คิ้วขมวดนางก็ได้กล่าวอย่างภูมิใจ “ดูเหมือนว่าองค์ชายเย่จะชอบให้คนโผเข้ามาให้อ้อมแขนสินะ! งั้นก็ดีไปเลยในเวลานี้พวกเราก็อยู่ที่หอคณิกาพอดี ทำไมท่านไม่เรียกสักคนสองคนให้มาดูแลท่านล่ะ?”

หรือว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อจะหึงเรากันนะ?

หลินซีเหยียนที่ถูกหยอกล้อโดยเจียงหวายเย่นั้นก็ได้ลืมในสิ่งที่คิดจะทำเมื่อสักครู่ไป นางจึงได้ผละตัวเองออกจาก เจียงหวายเย่แล้วเดินไปหาเหลิงเฟิง

เหลิงเฟิงก็ได้คิ้วขมวดแล้วมองหาทางหนี แล้วเขาก็ได้หรี่สายตาลงแล้วเตรียมพร้อมยอมรับชะตากรรมของเขา “องค์ชายสิบหกไม่เคยดูแคลนผู้น้อยคนนี้มาก่อนเลย ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะไม่ยอมมอบเขาให้องค์ชายเจียงเด็ดขาด”

หลินซีเหยียนก็ได้หยิบเอาเข็มเงินออกมาและมองหาช่องว่างของเหลิงเฟิงแล้วฝังเข็มลงไปที่เขาอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้เองที่เหลิงเฟิงนั้นเคลื่อนไหวไม่ได้ แล้วก็เผยความสิ้นหวังออกมาในดวงตาของเขา

“ทำไมเจ้าถึงได้ชอบด่วนสรุปนัก? ฟังข้าก่อนได้ไหม?”