บทที่ 198 ผู้ช่วยชีวิต

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 198

ผู้ช่วยชีวิต

เหลิงเฟิงนั้นยืนอยู่กับที่อย่างระแวดระวัง ราวกับเสือดาวที่กำลังอยู่นิ่งๆ ที่พร้อมจะเผยกรงเล็บและคมเขี้ยวของมันหากไม่ระวังตัว

แต่ตราบเท่าที่อธิบายเรื่องนี้แล้ว ทุกอย่างก็จะต้องเรียบร้อยดีอย่างแน่นอน

“เจ้ายังจำวันที่เจ้าบาดเจ็บสาหัสในวันก่อนได้ไหม? ข้าก็คือคนที่ช่วยเจ้าในวันนั้นยังไงล่ะ ข้ารู้ตัวตนของพวกเจ้าในเวลานั้น”

คนที่ช่วยชีวิตเขาในตอนนั้นเขาจำได้ว่าเป็นคุณชายหน้าต่อหล่อเหล่า แล้วก็มีแววตาที่ยุ่งยากใจปรากฏในดวงตาของเหลิงเฟิง “เจ้าคิดว่าจะหลอกข้าได้ง่ายๆงั้นเหรอ?”

มองไปที่ใบหน้าไม่เชื่อของเหลิงเฟิงแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ถอนหายใจออกมาแล้วจากนั้นดวงตาของนางก็ได้มองไปที่โต๊ะเครื่องแป้งที่ตั้งอยู่ในห้อง เพราะว่านางนั้นอยู่ในหอคณิกา จึงมีขวดและกระปุกแต่งหน้ามากมายวางอยู่บนโต๊ะ แม่ว่าคุณภาพของเครื่องแต่งหน้าเหล่านี้จะไม่ดีมากนัก แต่ก็เรียกได้ว่ามีครบ

หลินซีเหยียนจึงได้เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าย่อมไม่เชื่อ ในตอนนี้ก็ถ่างตาของเจ้าเอาไว้ให้ดี ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นซึ่งๆหน้าเอง”

หยิบเอาเครื่องแต่งหน้าบนโต๊ะขึ้นมาแล้วหลินซีเหยียนก็ได้เริ่มแต่งหน้า หลังจากนั้นสักพักท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของเหลิงเฟิงและเจียงหวายเย่ หลินซีเหยียนได้กลายเป็นคุณชายไปจริงๆแล้ว

ริมฝีปากแดงและฟันขาว ท่าทางที่สง่างามที่ทั้งเป็นธรรมชาติและหล่อเหลามาก

ใบหน้าที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ได้เกิดขึ้นตรงหน้าเขา และนางคนนั้นเองก็ได้ไม่ได้สวมหน้ากากหนังอยู่ด้วย ยิ่งคิดมากเท่าไรก็ยิ่งตกใจมากเท่านั้น แต่ในเวลานี้มีสิ่งอื่นที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นก็คือผู้มีพระคุณของเขาเอง!

เหลิงเฟิงจึงได้รีบคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วกล่าวด้วยเสียงดัง “ถ้าเป็นแม่นางที่สามารถถอนพิษให้ข้าได้ ย่อมจะต้องรักษานายท่านเอาไว้ได้อย่างแน่นอน เหลิงเฟิงคนนี้รู้ดีว่าได้ล่วงเกินท่านไปแล้ว หลังจากที่นายท่านปลอดภัยดีแล้ว ข้าจะขอตายเพื่อชดใช้ความผิดนี้”

หลินซีเหยียนนั้นไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เขาทำร้ายนาง จึงไม่ได้ต้องการชีวิตของเขาเพื่อช่วยเหลือชีวิตเด็กคนหนึ่งด้วย

ยื่นมือออกมาแล้วหลินซีเหยียนก็ได้ประคองเหลิงเฟิงให้ลุกขึ้นมา “ข้าจะช่วยเหลือนายท่านของเจ้าแน่ และข้าก็ไม่ต้องการชีวิตของเจ้าด้วย”

หลินซีเหยียนก็ได้หยิบกระดาษที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาเพราะการโจมตีของเหลิงเฟิง แล้วจากนั้นก็ได้มอบให้เหลิงเฟิงด้วยสายตาที่จริงใจ “เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้องค์ชายสิบหกนั้นล้มป่วยหนักเช่นนี้ก็เพราะเขาพักผ่อนไม่เพียงพอ เจ้าจะต้องหาที่ที่ปลอดภัยเพื่อให้เขาได้พักผ่อนให้เต็มที่

เมื่อได้ยินเช่นนี้เหลิงเฟิงก็มองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์ชายสิบหกที่อยู่ตรงหน้าเขา แววตาของเขาก็ได้ดำมืดขึ้นมา เป็นเพราะความไร้พลังของเขาที่ทำให้องค์ชายสิบหกนั้นต้องร่อนเร่ไปกับเขา และเขาก็ไม่ได้รู้ถึงความกังวลขององค์ชายเลย

เพียงแค่มองดูหลินซีเหยียนก็รู้ว่าชายคนที่อยู่ตรงหน้านางนั้น กำลังโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปที่ตัวเขาเองอีกครั้ง

เจียงหวายเย่ที่ยืนดูอยู่นั้นก็ได้มีสีหน้าซีดเผือดมาก เขามองไปที่หลินซีเหยียนที่กำลังมองไปที่เหลิงเฟิงอย่างรู้สึกสงสารแล้ว ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็ได้มืดดำอย่างช่วยไม่ได้

ทำไมเสี่ยวเหยียนเอ๋อถึงไม่มองมาที่เขาเช่นนี้บ้างนะ? หรือเป็นเพราะว่าใบหน้าของเขานั้นยังหล่อเหลาไม่พอ?

เป็นเพราะหัวใจในเวลานี้ของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา ความเจ็บปวดในร่างกายของเขาก็ดูเหมือนจะเจ็บปวดน้อยลงเรื่อยๆ แล้วเขาก็ได้มองไปที่เหลิงเฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย

“ถ้าพวกเจ้าไม่รังเกียจ เจ้าจะตามข้าไปที่จวนมหาเสนาบดีแล้วซ่อนตัวที่นั่นชั่วคราวก็ได้นะ” หลินซีเหยียนก็ได้ใจกว้างและยื่นมือช่วยเหลือทั้งคู่

อย่างที่มีคนพูดเอาไว้ ที่ที่อันตรายที่สุดก็ย่อมปลอดภัยที่สุด หากคิดถึงสภาพร่างกายขององค์ชายสิบหกด้วยแล้ว เหลิงเฟิงก็ได้รู้สึกดีใจขึ้นมา

ก่อนที่เขาจะเปิดปากเพื่อตกลงเห็นด้วยนั้น ก็ได้ถูกขัดโดยเจียงหวายเย่เสียก่อน

“จะให้พวกเขาไปอาศัยอยู่ที่จวนมหาเสนาบดีได้อย่างไร? หรือว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อจะลืมเรื่องสถานการณ์ในจวนมหาเสนาบดีไปแล้วเหรอ?” ยิ่งไปกว่านั้น มีห้องรับแขกเพียงแค่สองห้องในเรือนเชียนเหยียน ถ้าหากพวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นจริงๆ ก็จะไม่มีที่ให้เขาได้อาศัยอยู่น่ะสิ

เจียงหวายเย่คิดในใจ ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นคงไม่หลงรักเหลิงเฟิง แต่เขาก็ไม่อาจที่จะยอมให้เหลิงเฟิงกับเสี่ยวเหยียนเอ๋ออยู่ร่วมกันได้

หลินซีเหยียนนั้นไม่รู้ว่าเจียงหวายเย่ที่กำลังเดินไปเดินมานั้นกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว นางจึงได้พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “พวกเขาเป็นเพื่อนของเทียนเอ๋อ จึงเป็นเรื่องปกติที่ข้าอยากจะช่วยเหลือพวกเขา”

จากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลงแล้วกล่าว “หรือว่าท่านจะคิดว่าข้าจะไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้

เสี่ยวเหยียนเอ๋อที่จู่ๆก็โมโหขึ้นมาเช่นนี้ทำให้ดวงใจของเจียงหวายเย่สั่นขึ้นมา เขารู้สึกได้ว่าคำพูดของเขานั้นอาจจะไปทำร้ายความมั่นใจของหลินซีเหยียนเข้า จึงได้รีบกล่าว “ความสามารถของเสี่ยวเหยียนเราเองก็รู้ดีอยู่แล้ว แต่เราหมายความว่าเรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องลำบากเจ้าหรอก เราจะหาที่ที่เหมาะสมให้พวกเขาอาศัยอยู่เอง”

“จริงเหรอ?” หลินซีเหยียนรู้สึกสงสัยที่เจียงหวายเย่จู่ๆก็กระตือรือร้นขึ้นมา

ในขณะที่เหลิงเฟิงได้ยินการสนทนาของทั้งสองคนนั้น คิ้วของเขานั้นก็ได้ขมวดเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นทั้งเสื้อผ้าและใบหน้าของนั้นล้วนดูธรรมดามาก แต่ก็รับรู้ได้ถึงพลังที่แผ่ออกมาจากรอบตัวของชายคนนั้นซึ่งทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ถ้าอีกฝ่ายนั้นยอมที่จะช่วยเขาแล้วล่ะก็จะต้องเป็นเรื่องดีแน่นอน แต่ถ้าหากเขาประสงค์ร้ายแล้วล่ะก็ พวกเขาก็คงไม่แคล้วตกลงไปในปากเสือเป็นแน่

อย่างไรก็ดีในช่วงเวลาเช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ เหลิงเฟิงนั้นจะมีความคิดที่ไม่ดีกับคนที่อุตส่าห์หวังดี

ในเวลานี้หลินซีเหยียนเองก็เชื่อแล้วว่าเจียงหวายเย่นั้นตั้งใจที่จะช่วยองค์ชายสิบหกจริงๆ นางจึงได้กล่าวขึ้นมาอย่างยินดี “ถ้าเช่นนั้นทั้งสองคนนี้ก็ต้องฝากรบกวนท่านแล้ว”

ใบหน้าของเจียงหวายเย่นั้นก็ได้ซีดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่รอยยิ้มที่มุมปากของเขานั้นก็ได้เด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

ยาที่เขาเพิ่งทานไปนั้นทำขึ้นมาโดยเฉิงรุ่ยเหยียนอย่างครึ่งๆกลางๆ มันสามารถช่วยควบคุมพิษในร่างกายของเขาได้และใช้รักษาชีวิตของเขาในช่วงเวลาวิกฤติได้

ยานี้ให้ผลดีมากแต่ก็มีผลข้างเคียงที่รุนแรงมากเช่นกัน มันไม่เพียงแต่จะทำให้เขาเวียนหัวหน้ามืด แต่ยังทำให้ทั้งตัวของเขานั้นร้อนเหมือนถูกเผา

แต่ทว่าเจียงหวายเย่นั้นได้ใช้กำลังภายในคอยกดอาการเอาไว้ในชั่วขณะนี้

ในขณะที่เจียงหวายเย่นั้นกำลังนิ่งอยู่นั้น เหลิงเฟิงก็ได้หันหน้ามาหาเจียงหวายเย่แล้วกล่าวอย่างหนักแน่น “ขอได้โปรดช่วยเหลือข้าน้อยด้วย”

เจียงหวายเย่ได้พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ให้ตัวเขานั้นสั่น เขาลืมตาขึ้นมาแล้วจ้องไปที่เหลิงเฟิง แล้วก็เผยรอยยิ้มที่ประชดประชันที่มุมปากของเขา

“เจ้าไม่ต้องกังวล เพราะเสี่ยวเหยียนเอ๋อเป็นคนขอ เราจะไม่ทำอะไรพวกเจ้าแน่นอน”

เสียงที่เย็นยะเยือกพร้อมด้วยความเชื่อใจอันน้อยนิดก็ได้เสียดแทงเข้าหูของเหลิงเฟิง ซึ่งทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เหมือนชายคนนั้นจะสามารถเดาความคิดของเขาได้

ไม่อยากที่จะพูดอะไรไร้สาระกับเขา เจียงหวายเย่ก็ได้สะบัดแขนเสื้อแล้วก็มาชายคนหนึ่งเข้ามาจากนอกหน้าต่าง

เหลิงเฟิงก็ได้แอบระวังตัวขึ้นมาแต่เขาเองก็ยังตกใจ เขานั้นไม่อาจเดาได้เลยว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเขานี้คือใครกันแน่ เขานั้นมีแม้กระทั่งผู้เยี่ยมยุทธ์เป็นลูกน้องของเขาด้วย

มองดูสายตาของเหลิงเฟิงที่สอดส่องอย่างระแวดระวังแล้ว ดวงตาของเจียงหวายเย่ก็ได้หนาวเย็นขึ้นมา เขาได้จ้องมาราวกับจะฆ่าเหลิงเฟิง แล้วริมฝีปากซีดๆของเขาก็ได้เปิดขึ้นมา “ถ้าเจ้าอยากที่จะมีชีวิตอยู่ เจ้าควรจะรู้ว่าสิ่งไหนควรจะดูและสิ่งไหนไม่ควรดู”

เหลิงเฟิงจึงรีบก้มหน้าและไม่กล้าที่จะทำอะไรผิดพลาด แต่ก็มีความโล่งอกปรากฏในใจของเขา หากได้คนที่ทรงพลังเช่นนี้มาคอยปกป้องแล้วล่ะก็ ตัวเขากับเจ้านายก็จะปลอดภัยแน่นอน

เชียนอู่ก็ได้ลงมาคุกเข่ากับพื้นโดยที่ไม่ต้องให้ เจียงหวายเย่สั่งอะไร แล้วเขาก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาจนกว่าคำสั่งของเจียงหวายเย่มาถึงหูของเขา

“ไปหาสถานที่ที่คนของพระราชสำนักจะหาไม่พบให้ที แล้วพาสองคนนี้ไปอยู่ แล้วจากนั้นก็ส่งคนไปคอยดูแลและปกป้องพวกเขาให้ด้วย”

หลังจากที่ออกคำสั่งไป เชียนอู่ก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วจากนั้นก็ได้ไปที่เตียงหมายจะอุ้มพาองค์ชายสิบหกไป แต่เหลิงเฟิงก็ได้ลงมือก่อน