บทที่ 197 ฮั่นจุย

“ฮื้ม พี่ใหญ่เฉินเฉียง ทำไมพี่ไม่ศึกษามันดูล่ะ”

ในขณะที่เฉินเฉียงกำลังมองค่าสถานะของตนอย่างสุขใจนั้น เว่ยฉิงเชินได้มองไปยังมือที่ว่างเปล่าของเขาด้วยความประหลาดใจ เธอนึกไปเพียงว่าเฉินเฉียงเก็บแก่นวิญญาณไว้ในแหวนเก็บของเพียงเท่านั้น

“อ๊า โอ้…” เฉินเฉียงได้ยิ้มแหยๆออกและตอบออกไป “เอ่อ พอดีข้าเห็นว่าเรือมังกรบินค่อนข้างที่จะเร็วมาก อีกไม่นานก็หน้าจะถึงทางเข้าเขตแดนจักรพรรดิแล้ว ข้าเลยคิดว่าเมื่อไปถึงที่นั่นค่อยศึกษามันน่ะ เหะเหะเหะ”

เฉินเฉียงตอบและหัวเราะแห้งๆออกมา เขาเลือกที่จะปิดบังความจริงจากเว่ยฉิงเชินไว้ก่อน แต่กระนั้น คนในกองกำลังของเขาก็มาทำเสียแผนจนได้

“กัปตัน หากท่านยังไม่คิดดูก็ให้พวกเราศึกษาดูก่อนก็ได้นะ” หลางซานเอ๋อกัดฟันแล้วพูดออกมา ก่อนจะสะกิดกัวเหลียงให้ร่วมด้วย

“ฮี่ฮี่ฮี่ ศิษย์น้อง ข้ารู้ว่ามันนั้นมีค่ามาก แต่เจ้าก็คงจะไม่เก็บมันไว้ศึกษาคนเดียวหรอกนะ”

เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้มองกัวเหลียงและหลางซานเอ๋ออย่างตาเขียวปั๊ด

ในเหล่าคนของกองกำลังเทียนเว่ยทั้งสิบสามคนนี้ หลางซานเอ๋อและกัวเหลียงเป็นคนประเภทเดียวกัน ทั้งสองเป็นคนที่ขวานผ่าซาก ทำอะไรตามใจไม่อ่านสถานการณ์

แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาคุยเรื่องนี้นี่หว่า

จะให้เขาบอกออกไปว่าเผลอดูดซับออกไปเลยจะได้ยังไงกัน

หากว่าต้องถึงขั้นนั้นจริงๆล่ะก็ เขาก็ไม่แคล้วต้องโดนจับแก้ผ้าแก้ผ่อนเพื่อหาแก่นวิญญาณนี่เป็นแน่แท้

หลังจากเขามองตาเขียวไปยังทั้งสองคนนี้แล้วก็ได้พูดออกมาอย่างไม่พอใจ “พวกท่านไม่ได้ยินที่ข้าบอกรึไงว่าจะถึงแล้ว หลังจากเข้าไปแล้วข้าจะนำออกมาให้พวกท่านพิจารณาอย่างดีแน่นอน”

“ฮ่าฮ่าฮ่า หลานชายเฉินเฉียงพูดถูกต้องแล้ว อีกไม่กี่นาทีเราก็ถึงแล้ว ถึงนั่นค่อยคุยกันก็ได้”

และเพียงสิ้นคำพูดนี้ไม่กี่นาที เรือมังกรบินก็ได้ชะลอความเร็วลงและหยุดนิ่ง และลงจอดลง

“เย็นจังแฮะ ที่นี่ที่ไหนเนี่ย”

ทุกคนที่พึ่งจะเดินออกจากเรือมังกรบินไปนั้นต่างก็หนาวสั่นกันในทันทีที่ออกมานอกเรือบิน

นี่ขนาดว่าคนที่เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิได้นั้นเกณฑ์ขั้นต่ำคือระดับนายพลวิญญาณยังสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นขนาดนี้

นี่ทำให้พวกเขานึกไม่ออกเลยว่าข้างในจะหนาวมากมายขนาดไหน

เฉินเฉียงได้ทำการเปิดกำไลสื่อสารออกดูก็พบจุดสีแดงบนแผนที่ และนี่ทำให้เขาอดที่จะตกตะลึงไม่ได้

นั่นก็เพราะตอนนี้เขาอยู่ในจุดที่สูงถึงสุดของเขตภาคกลาง ตีนเขาเอเวอเรสต์

และที่ข้างๆพวกเขานี้เองก็มีนักรบที่ดูทรงพลังอย่างที่สุดนั่งอยู่ที่พื้น

หากมองจากภายนอกแล้วจะเห็นเป็นเพียงชายชราสองคนและเด็กหนุ่มหนึ่งคนเพียงเท่านั้น แต่ในเรื่องระดับการบ่มเพาะแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งกว่าเว่ยหยวนตี้และจ้าวลี่ด้วยซ้ำ

นั่นก็เพราะท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นสุดขั้วแบบนี้ พวกเขายังนุ่งผ้าน้อยชิ้นเพียงเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นคือร่างกายของเขานั้นมีหมอกไอคลุมร่างกายตลอดเวลา

และที่ทำให้เฉินเฉียงสับสนยิ่งกว่าก็คือชายหนุ่มตรงกลางที่ดูอายุสักประมาณสามสิบคนนี้ พลังการบ่มเพาะของเขานั้นดูสูงล้ำกว่าชายชราสองคนที่อยู่ข้างๆ

เมื่อนักรบทุกคนเข้าไปใกล้ นักรบทั้งสามก็ได้เปิดตาขึ้นมา

จ้าวลี่ เว่ยหยวนตี้ และหลิวตันรีบเดินตรงไปยังที่ทั้งสามคนนั่งอยู่และก้มหัวคำนับชนิดตั้งฉากกับพื้น

“เรียนท่านผู้อาวุโสทั้งสาม พวกเราได้นำนักรบผู้ซึ่งจะเข้าไปยังเขตแดนจักรพรรดิแล้ว โปรดแนะนำพวกเราด้วย ท่านผู้อาวุโส”

ผู้อาวุโสทั้งสามได้มองหน้ากัน คนที่ดูหนุ่มที่สุดที่อยู่ตรงกลางจึงได้พูดออกมา “อื้มมมม ไม่เลว”

“ภายใต้พื้นที่ภาคกลางนี้มีกองกำลังที่อยู่ภายใต้ตึกจอมพลสูงทั้งสามยี่สิบสี่ตึก และกองกำลังภายใต้การดูแลของพวกเรานั้นมีอยู่เกือบหนึ่งพัน โดยนักรบที่จะเข้าไปในครั้งนี้มีทั้งหมดเกือบหมื่นนาย”

“ข้าหวังว่าสามปีนับจากนี้ พวกเจ้าทุกคนจะสู้รบอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิด้วยใจที่ห้าวหาญ และสังหารมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดให้หมดสิ้น”

เฉินเฉียงในตอนนี้ได้มองไปยังชายหนุ่มที่ดูจะทรงพลังสุดกู่ผู้นี้และเอ่ยถามออกมาเบาๆ “ฉิงเชิน เจ้ารู้รึเปล่าว่าทำสามคนนี้เป็นใคร”

“แล้วทำไมลุงเว่ยถึงได้แสดงออกมาอย่างเคารพถึงขนาดนี้”

“พี่ใหญ่เฉินเฉียง ทั้งสามคนนี้คือผู้อาวุโสของตึกจอมพลในภูมิภาคกลางของเรา

ข้าได้ยินมาจากท่านพ่อว่าทุกท่านนั้นแล้วแต่เป็นนักรบในระดับราชานักรบ”

คนที่อยู่ตรงกลางนั้นแม้จะดูหนุ่มแน่น แต่ความจริงแล้วอายุของเขาก็เกือบจะห้าสิบปีแล้ว ชื่อของเขาคือฮั่นจุย และท่านเองมีระดับการบ่มเพาะที่สูงที่สุดในผู้อาวุโสทั้งสามท่าน ตอนนี้เขานั้นอยู่ในระดับราชาระดับกลาง

“หมายถึงระดับราชานายพลน่ะเหรอ”

เฉินเฉียงเมื่อได้ยินจึงได้ลอบมองไปที่ฮั่วจุยเพราะอยากจะรู้ว่าราชานักรบนั้นจะแตกต่างจากระดับนายพลวิญญาณแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม เป็นตอนนี้ที่ฮั่นจุยได้มองตรงมายังเฉินเฉียงและเว่ยฉิงเชิน

“เว่ยหยวนตี้ ข้าได้ยินมาว่ามีเรื่องเกิดขึ้นตอนประลองสี่สำนักครั้งนี้ใช่รึเปล่า ไหนล่ะศิษย์สำนักสิบอันดับแรก ลองให้พวกเขาออกมาให้ข้า ผู้อาวุโสถงและผู้อาวุโสเทียได้ยลโฉมหน่อยสิ”

“ได้ครับ ข้าจะทำตามที่ท่านผู้อาวุโสฮั่นสั่ง”

เว่ยหยวนตี้ได้หันหลังกลับและพูดออกมาด้วยเสียงที่ดังลั่น “เหล่าผู้ที่ได้สิบอันดับแรกในการประลองสี่สำนัก จงก้าวออกมา”

เฉินเฉียงและคนอื่นๆเมื่อได้ยินก็รีบก้าวออกไปในทันที

ผู้อาวุโสทั้งสามได้มองคนอื่นๆอย่างพึงพอใจจนกระทั่งสายตามาตกอยู่ที่เฉินเฉียง

“หื้ม ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางเหรอ”

ฮั่นจุยขมวดคิ้วในทันทีที่เห็นเฉินเฉียงจึงได้ถามออกมาอย่างสงสัย “เว่ยหยวนตี้ เด็กนี่มีระดับการบ่มเพาะเพียงนายพลวิญญาณขั้นกลางเท่านั้น นี่เขาได้ที่สองจริงๆอย่างนั้นเหรอ”

เว่ยหยวนตี้เมื่อได้ยินจึงรีบอธิบายออกมาด้วยความเคารพ “ใช่แล้วครับ ผู้อาวุโสฮั่น ท่านอย่าได้มองเพียงระดับการบ่มเพาะของเฉินเฉียงเพียงเท่านั้น ต่อความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นทรงพลังอย่างมาก”

ความจริงแล้ว ในตอนที่การประลองเสร็จสิ้น ระดับบ่มเพาะของเขานั้นยังอยู่เพียงแค่ระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นช่วงปลายเพียงเท่านั้น

“โอ้” นี่ทำให้ฮั่นจุยพยักหน้าขึ้นลงด้วยรอยยิ้มในทันที “อื้ม ชายหนุ่มที่ดี เจ้าต้องทำงานหนักหน่อยนะจะได้สร้างประโยชน์ให้กับมนุษยชาติของพวกเรา”

“ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อนำเกียรติยศมาให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ครับ” เฉินเฉียงได้ป้องมือและตอบออกมาด้วยความห้าวหาญ

หลังจากนั้น ฮั่นจุยก็ได้หันไปมองเว่ยฉิงเชินต่อ

“สาวน้อย เจ้าชื่อว่าอะไร”

“เรียนผู้อาวุโสฮั่น ข้ามีนามว่าเว่ยฉิงเชินค่ะ”

“เว่ยฉิงเชินรึ”

เมื่อผู้อาวุโสฮั่นได้ยิน เขาที่มีท่าทีสุขุมมาตลอดนั้นได้ยืนขึ้นมาก่อนที่จะชี้ไปที่เธอและถามออกมา “เว่ยหยวนตี้ รึว่าสาวน้อยนางนี้คือลูกสาวเจ้าที่ว่ามีร่างกระจ่างจิตเช่นนั้นรึ”

เว่ยหยวนตี้รีบตอบออกมา “ถูกต้องแล้วครับ ข้าไม่คิดว่าผู้อาวุโสฮั่นเองจะเคยได้ยินเรื่องราวกับเกี่ยวลูกสาวข้ามา ข้านี่มันแย่จริงๆ”

ฮั่นจุยที่มองนิ่งอยู่นั้นก็ได้หัวเราะออกมาในทันทีและพูดต่อ “เว่ยหยวนตี้ เจ้านั้นแย่จริงๆ

“เธอคือสมบัติของมนุษยชาติเลยนะ”

“คนที่มีร่างกระจ่างจิตนั้นคือคนที่จะไม่มีคอขวดในการบ่มเพาะ ฮืมมมม หากว่าข้าไม่ได้กะเกณฑ์ผิดไป อีกไม่ถึงสิบปี ลูกสาวของเจ้าก็จะอยู่ในช่วงชั้นราชา เธอน่าจะไปได้ไกลกว่าระดับราชานักรบขั้นสองที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์เลยก็เป็นได้”

เว่ยหยวนตี้มีความสุขขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยิน “ข้าขอน้อมรับคำของท่านเอาไว้อย่างยินดี และหวังว่าลูกสาวของข้านั้นจะได้รับโชคชะตาดีๆเช่นนั้น”

“แน่นอน เว่ยหยวนตี้ เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป นางย่อมมีโชคชะตาที่ดี” หลังจากพูดจบ ฮั่นจุยได้เดินรอบเว่ยฉิงเชินสองรอบก่อนที่จะพยักหน้าอย่างพอใจ

“เว่ยหยวนตี้ นางแต่งงานรึยัง”

“ห้ะ” เว่ยหยวนตี้อุทานขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยิน เขานั้นเดาไม่ถูกเลยจริงๆว่าผู้อาวุโสฮั่นนั้นจะถามเขาแบบนี้ทำไม อย่างไรก็ตาม เขานั้นก็ยังตอบแบบตรงไปตรงมา “ผู้อาวุโสฮั่น ลูกข้านั้นยังเยาว์และยังไม่ได้แต่งงานแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม นายพลแห่งตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทราเองก็มีความสนใจในตัวลูกสาวข้าอยู่ แต่เรื่องการหมั้นหมายนั้นยังไม่มีการตกลงแต่อย่างใด”

เว่ยฉิงเชินเมื่อได้ยินก็ได้หน้าเปลี่ยนสีและตวาดพ่อของเธอในทันที “ท่านพ่อ ท่านหมายถึงลุงหลินเฟิงอ่ะนะ ท่านบ้าไปแล้วกระมัง ข้านับถือเขาเป็นผู้อาวุโสมาตลอดเลยนะ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า” เมื่อฮั่นจุยได้ยินก็ได้หัวเราะลั่นในทันที