บทที่ 198 เฉินเฉียงยืนขึ้น

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 198 เฉินเฉียงยืนขึ้น

“หลินเฟิงเหรอ ข้ารู้จักหมอนั่น เขาพึ่งจะก้าวสู่ระดับราชานักรบเมื่อสองปีที่แล้วใช่ไหมล่ะ”

ฮั่นจุยส่ายหัวไปมาก่อนที่จะพูดต่อ “คนอย่างหลินเฟิงเนี่ยนะจะไปคู่ควรกับลูกสาวเจ้า”

“หมอนั่นก็เป็นเพียงราชานักรบเพียงเท่านั้น แถมอายุอานามยังปาเข้าไปสี่สิบกว่าปีเข้าไปแล้ว ระดับการบ่มเพาะของหมอนั่นไม่ควรจะเพิ่มสูงไปกว่านี้สักเท่าไหร่นัก”

“แล้วจะคู่ควรกับลูกสาวเจ้าได้เช่นไร”

“เว่ยหยวนตี้ เจ้าอย่าได้พึ่งเร่งรีบในการแต่งงานของลูกสาวเจ้าจะดีกว่า”

“เจ้าควรจะรู้ดีนี่นาว่าเผ่าพันธุ์ของเรานั้นวิกฤตเพียงใด แล้วลูกสาวของเจ้าที่มีร่างกายที่สุดแสนจะหายากอย่างร่างกระจ่างจิตนี้ หากได้สามีไม่ดีจะไม่เป็นผลดีต่อเผ่าพันธุ์นา”

“เจ้าคิดว่ายังไง”

เว่ยหยวนตี้ที่ควบคุมลูกสาวมาโดยตลอดนั้นต้องพ่ายแพ้ในทันที แม้แต่ความรู้สึกในใจก็ยังคิดจะยอมรับในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

ตั้งแต่เฉินเฉียงนั้นได้ปรากฏตัว เขาเองก็พอจะบอกได้ว่าลูกสาวของตนนั้นชอบเฉินเฉียงอยู่ไม่น้อย แล้วยิ่งได้ผู้อาวุโสสูงแห่งภาคกลางผู้มีระดับการบ่มเพาะในระดับราชานายพลมาพูดกันถึงขนาดนี้แล้ว แถมเขายังยกเรื่องของเผ่าพันธุ์มาอ้างอย่างหน้าตาเฉยแบบนี้ มีหรือที่เขาจะมีเลือกอื่นย่อมต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน

“ผู้อาวุโสฮั่น ข้าเองก็ยังไม่เคยคุยกับลูกสาวข้าจริงจัง ยังไงซะเรื่องนี้ข้านั้นได้ตัดสินใจมาสักพักแล้วว่าจะปล่อยให้นางเป็นคนตัดสินใจ”

เฉินเฉียงที่ยืนอยู่ข้างเว่ยฉิงเชินเองก็ได้นึกว่าผู้อาวุโสฮั่นคิดจะหาโอกาสแต่งงานกับนาง นี่ทำให้นึกหึงหวงขึ้นมาบาง

ถึงแม้เขานั้นจะไม่เคยคิดในเรื่องนี้ แต่นับตั้งแต่เรื่องราวในเขตแดนหมอกโลหิตแล้ว เขานั้นยังไม่เคยต้องตาหญิงอื่นเลยเหมือนกัน

และเขาก็พอจะรับรู้ว่าเว่ยฉิงเชินเองก็พอจะชอบเขาอยู่บ้าง

ใครจะนึกว่านอกจากหลินฟางที่เป็นนายพลสูงของเขาแล้วนั้นยังมีผู้อาวุโสสูงอย่างฮั่นจุยหมายตาเธอด้วยเหมือนกัน

หรือว่าเขานั้นคิดจะสื่อถึงเรื่องอื่นกันนะ

อาจจะเป็นเรื่องการสู่ขอเว่ยฉิงเชินให้รุ่นเยาว์ของตน

เฉินเฉียงได้เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองฮั่นจุย เขาเองก็ไม่คิดว่าระดับราชานายพลนั้นจะมีพลังจิตที่ทรงพลังขนาดนี้

และความหึงหวงของเฉิงเฉียงนี้ก็ได้ถูกตรวจพบโดยฮั่นจุย

เป็นตอนนี้ที่เขานั้นรู้สึกหนาวเหน็บที่ไม่ใช่เพราะอากาศภายนอก แต่มันเป็นความหนาวเหน็บที่ราวเกิดจากเข็มน้ำแข็งทิ่มแทงไปทั่วทั้งร่าง

เขานั้นสมแล้วที่เป็นถึงราชาระดับนายพล

เฉินเฉียงได้รีบสงบจิตใจลง ไม่ว่าเขานั้นจะหึงหวงขนาดไหนก็ตาม ด้วยระดับการบ่มเพาะของเขาในตอนนี้นั้นก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

“เรียนท่านผู้อาวุโส ฉิงเชินผู้นี้ไม่คิดจะแต่งงานในตอนนี้ ข้าต้องการฝึกอย่างหนักเพื่อไปให้อยู่ในระดับที่ท่านได้กล่าวเอาไว้ ดังนั้นท่านไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด”

เว่ยฉิงเชินก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างเหมือนกัน นี่ทำให้ท่าทางของเธอเปลี่ยนไป ในขณะเดียวกัน คำพูดของเธอเองก็ทำให้เหล่าผู้คนที่ได้ยินต่างก็สะดุ้งเล็กน้อยและรู้สึกไม่สบายใจในทันที

“ฉิงเชิน อย่าได้เสียมารยาท” เว่ยหยวนตี้เองกลัวว่าลูกสาวของตนนั้นจะไปสร้างความขุ่นข้องหมองใจกับผู้อาวุโสสูงจึงรีบดุออกมา

“ไม่เป็นไร” ฮั่นจุยไม่ได้มีท่าทีจะนึกโกรธแต่อย่างใด “เว่ยหยวนตี้ ลูกของเจ้านั้นคือยอดอัจฉริยะแห่งมนุษยชาติ เจ้านั้นควรจะปกป้องเธอไว้ให้ดี แล้วนี่เจ้ายังคิดจะส่งนางเข้าไปเสียงภัยอันตรายอีกเนี่ยนะ”

“ข้าคิดว่าเว่ยฉิงเชินนั้นไม่สมควรที่จะเข้าไป ยิ่งไปกว่านั้นนางควรจะกลับไปยังตึกจอมพลภาคกลางของพวกเราและเข้าร่วมกับสภาสูงของพวกเราด้วยซ้ำไป หากว่าเจ้าได้ไปอยู่ที่นั่น เจ้าจะได้รับการชุบเลี้ยงโดยสภาสูงอย่างดี และด้วยวิธีนี้ เผ่าพันธุ์ของพวกเรานั้นก็จะมีราชานายพลเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนอย่างแน่นอน”

เว่ยหยวนตี้นั้นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินคำพูดของฮั่นจุย

เขาได้ยินมาว่าลูกชายของฮั่นจุยเองนั้นอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีดีแต่ก็ไปถึงระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงเรียบร้อยแล้ว

หรือนี่จะกลายเป็นว่าผู้อาวุโสฮั่นนั้นต้องการจับคู่ลูกชายของเขากับลูกสาวของตนกันแน่นะ

แต่ยังไงซะ เมื่อลูกสาวของเขานั้นได้เข้าร่วมกับสภาสูงจริงล่ะก็ เธอย่อมมีโอกาสก้าวเข้าไปสู่ระดับราชานักรบและควรจะไปถึงระดับราชานายพลไม่ช้าก็เร็ว”

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะได้ฟังถึงขนาดนี้แล้ว เว่ยชิงเฉินก็ยังตอบปฏิเสธออกมา

“ไม่ค่ะ” เว่ยฉิงเชินที่พอจะรับรู้ถึงภยันตรายได้ก็รีบก้าวถอยหลังในทันทีและพูดออกมา “ข้า ในฐานะที่ติดหนึ่งในสิบอันดับในการประลองสี่สำนัก ข้าขอเลือกทำตามกฎและจะเข้าไปยังเขตแดนจักรพรรดิ”

“การได้เข้าไปในนั้นและประลองกับศัตรูนี่คือสิ่งที่ข้าต้องการ”

“ยังไงซะ ค่าในชีวิตของทุกคนก็เท่ากันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”

“แล้วข้าจะถอนตัวไปทำไม”

เว่ยฉิงเชินในตอนนี้เกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว แต่เมื่อเธอถูกกดดันด้วยผู้มีพลังมหาศาลเหนือกว่าที่เธอจะจินตนาการได้ แล้วเธอจะปฏิเสธไปได้ถึงเมื่อไหร่กัน

ฉิงเชินในตอนนี้ได้รู้สึกถึงการคงอยู่ของเฉินเฉียงก็รีบพูดออกมาเบาๆ “พี่ใหญ่เฉินเฉียง….”

หลังจากพูดจบ เธอแม้จะก้มหน้าก้มตาแต่ก็ยังรีบเข้าไปหลบหลังเฉินเฉียงและดึงชายเสื้อของเขาไว้นั่น ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ไม่ยอมเข้าร่วมกับสภาสูง

เฉินเฉียงในตอนนี้รับรู้ได้แล้วว่าฉิงเชินนั้นหมดหนทางแล้วจริงๆ เขาจึงได้มองไปที่ฮั่นจุยด้วยสายตาเย็นชา

แน่นอนว่าฮั่นจุยนั้นพอจะรับรู้เรื่องนี้ได้บ้างตั้งแต่เห็นท่าทางหึงหวงของเฉินเฉียง

แต่เขานึกไม่ถึงว่าเว่ยฉิงเชินนั้นถึงกับดึงเอาเฉินเฉียงมารับหน้าเขาไว้

ดูเหมือนว่าสายสัมพันธ์ของสองคนนี้จะไม่ธรรมดาจริง

แล้วมาตอนนี้ เด็กนี้ยังกล้ามองเขาด้วยสายตาเย็นชาเสียอีก แล้วนี่จะไม่ทำให้เขา ฮั่นจุยผู้นี้โกรธขึ้นมาบ้างได้อย่างไร

“ว่าไง เจ้าไม่พอใจข้างั้นรึ”

เฉินเฉียงได้ยืดอกและมองตรงไปอย่างมาดมั่น “ถูกต้อง”

คำพูดนี้ได้สร้างเสียงอื้ออึงในทันที

เฉียวกังที่อยู่ไม่ไกลนั้น เขานั้นอยากจะเฉินเฉียงพูดอะไรบางอย่างออกมาเพื่อที่จะกระตุ้นให้ผู้อาวุโสฮั่นจุยฆ่าเขาเสียตรงนี้ซะ

ถึงเขานั้นจะไม่รู้ว่าผู้อาวุโสฮั่นจุยคนนี้คือใครก็ตาม

แต่เมื่อดูจากท่าทางของจ้าวลี่ เว่ยหยวนตี้และคนอื่นๆที่เคารพเขามากขนาดนี้ เขาบอกได้เลยว่าคนคนนี้ย่อมไม่ธรรมดา

แต่เฉินเฉียงนั้นก็ยังทำตัวแข็งเป็นท่อนเหล็กแบบนี้โดยไม่สนใจว่าจะแพ้อีกเนี่ยนะ

ฮั่นจุยนั้นไม่คิดว่าเฉินเฉียงจะกล้ายอมรับออกมาตรงๆต่อหน้าเขา นี่ทำให้เขาบังเกิดรอยยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม

“เจ้าชอบเว่ยฉิงเชินรึ”

คำพูดของฮั่นจุยนั้นสั้นจนแทบจะไม่มีใครสนใจด้วยซ้ำ มีเพียงผู้อาวุโสถงและผู้อาวุโสเทียเท่านั้นที่ส่ายหัวไปมาพลางถอดถอนลมหายใจ

และเป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้รู้สึกราวกับได้ก้าวเข้าไปยังขุมนรก

ทุกๆคำพูดของฮั่นจุยนั้นราวกับค้อนเหล็กทุบเข้าไปยังจิตใจเขา

ทุกๆครั้งที่เขาถูกทุบ เลือดในกายเขาราวกับจะร้อนระอุ ประหนึ่งดังตอบสนองแต่คำพูดของฮั่นจุยไปทุกขณะที่ได้ยิน

หลังจากคำพูดนี้ก็ได้บังเกิดเลือดไหลที่มุมปากของเฉินเฉียง

ถึงกระนั้น เฉินเฉียงก็ยังคิดจะก้าวเดินลงไปยังนรกหลุมนี้โดยตอบกลับไปอย่างเต็มปากเต็มคำ “ถูกต้อง”

เป็นตอนนี้ที่เว่ยหยวนตี้และคนอื่นๆรับรู้แล้วว่าเฉินเฉียงนั้นบาดเจ็บสาหัส

“กัปตัน”

อย่างไรก็ตาม ฮั่นจุยไม่คิดจะปล่อยเฉินเฉียงไปง่ายๆอยู่แล้ว นั่นก็เพราะการที่เฉินเฉียงตอบออกมาแบบนี้ได้นั้นมันทำให้เขานั้นรู้สึกโดนคุกคามอย่างบอกไม่ถูก

นั่นก็เพราะในทันทีที่เว่ยฉิงเชินได้ยินคำพูดนี้ เขาเห็นว่าเธอนั้นเปลี่ยนจากท่าทีที่อยู่ในสภาพอดสูกลับกลายเป็นเอียงอายเสียอย่างนั้น

ฮั่นจุยได้เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะออกมาดังลั่น ก่อนที่จะชี้ไปที่เฉินเฉียงแล้วพูดออกไปด้วยเสียงอันดังลั่น “ทำไมเจ้าถึงชอบนาง”

แน่นอนว่าฮั่นจุยนั้นยังคงใช้เคลื่อนเสียงของเขาโจมตีอีกครั้ง

เพียงแค่คำแรกเฉินเฉียงก็พ่นเลือดออกมา

“กัปตัน”

เมื่อเห็นฉากนี้ เจิ้งยี่รีบยืนขึ้นมาที่หน้าเฉินเฉียง

แต่เพียงเขารับคำที่สองไป เขาก็พ่นเลือดออกมาอย่างหนักและทรุดลงไปเสียตรงนั้นพร้อมกับหมดสติไป

เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงและเจิ้งยี่เจ็บหนัก เหล่าคนในกองกำลังเทียนเว่ยต่างก็มายืนขวางหน้าเฉินเฉียงเอาไว้

หลังจากสิ้นคำที่สอง ทุกคนในกองกำลังต่างก็ล้มพับลงไปกันหมด

“พี่ใหญ่เฉินเฉียง”

ฉิงเชินในตอนนี้เมื่อเธอได้เห็นเหตุการณ์นี้แล้ว เธอรีบเข้าไปพยุงเฉินเฉียงและมองไปที่ฮั่นจุยอย่างดุดันและพูดออกมา

“ผู้อาวุโสฮั่น ท่านฆ่าพวกเราเสียดีกว่า”