บทที่ 94 อุปสรรค
แรงกดดันเขย่าขวัญเริ่มแผ่ออกจากหมอก เช่นเดียวกับเสียงกรีดร้องคร่ำครวญน่าขนลุกที่ดังขึ้นอยู่ภายใน จนราวกับมีภูตผีปีศาจนับไม่ถ้วนสิงสู่
“มีบางอย่างในหมอก !” ข้ารับใช้เงาห้าจินร้องขึ้น
เขาเป็นคนแรกที่ได้ประสบเรื่องแปลกท่ามกลางม่านหมอกนี้
มันเป็นตัวตนไม่ที่อาจอธิบายได้ ไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัสได้ แต่ทำอันตรายเขาได้ เขารู้สึกราวกับมีบางอย่างกำลังกลืนกินเขาทั้งเป็น แต่กลับไม่อาจโจมตีใส่มันได้ ทำได้เป็นตวัดดาบไปรอบกายอย่างบ้าคลั่ง แขนข้างหนึ่งของเขาเริ่มเปื่อยเน่าอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“ถอยเร็ว !” กุยต้าซานร้องเสียงตระหนก
“ยังคิดว่าจะหนีรอดอีกหรือ ?” อวี๋เวยเอ่ยเสียงขรึมดังขึ้นจากในหมอก “เมื่อหมอกขังปีศาจแผ่ออกมาแล้ว เจ้าก็นั่งรอเป็นอาหารให้พวกมันแต่โดยดีเถอะ”
ว่าแล้วกลิ่นอายเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาก็หนาแน่นจนแทบจะจับต้องได้
คนทั้งสี่พลันรู้ว่าพวกตนไร้ทางนี้ หมอกดำนี้ราวกับค่ายกลที่ขังพวกเขาไว้ ไม่อาจหนีออกไปได้
การโจมตีที่มองไม่เห็นยิ่งรุนแรงหนักขึ้นเรื่อย ๆ ข้ารับใช้เงาห้าจินร้องครวญด้วยความเจ็บปวด ได้แต่ตวัดดาบและใช้สว่านทะลวงเกราะรวมถึงหมัดโลกันตร์คลั่งไปอย่างไร้ผล แต่กลับไม่อาจทำอะไรพวกมันได้เลย แต่สัญชาตญาณทำให้เขาใช้ทุกวิชาที่มี กระทั่งวิชาซ่อนเงา
พริบตาที่ใช้วิชาซ่อนเงา รอบกายก็พลันเงียบสงบลงทันที
ข้ารับใช้เงาห้าจินชะงักไปเล็กน้อย พบว่าความมืดมิดที่หมายจะกลืนร่างตนพลันหยุดชะงักลงเช่นกัน รอบกายเหลือเพียงความเงียบสงัด
“นี่มัน……” ข้ารับใช้เงาห้าจินชะงักไป แต่กลับไม่รู้สึกถึงการโจมตีอีก
วิชาซ่อนเงาใช้ได้ผลหรือ ?
ข้ารับใช้เงาห้าจินตะโกนเสียงดัง “เร้นกายเสีย ! เร้นกายเลย ! มันใช้ได้ผลกับเจ้าพวกนี้ !”
คนอื่น ๆ ได้ยินแล้วก็เริ่มใช้วิชาซ่อนเงา พบว่าตัวตนแปลกประหลาดในหมอกดูราวกับจะหยุดมือลงแม้พวกเขาจะยังตะโกนเสียงดังอยู่ก็ตาม
“โอ๋ ?” อวี๋เวยไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ได้ “ไม่คิดเลยว่าวิชาเร้นกายของพวกเจ้าจะสามารถหลบพ้นสายตาปีศาจพวกนี้ได้ ก็มีฝีมืออยู่บ้างสินะ เช่นนั้นข้าก็หมดหนทางสังหารพวกเจ้าแล้ว น่ารำคาญใจจริง ๆ”
อวี๋เวยเริ่มใจร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
เขารู้ว่ายิ่งรั้งรอเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หากซูเฉินมาถึงทัน เขานี่ล่ะจะตกอยู่ในอันตราย
คิดได้ดังนี้ อวี๋เวยจึงหาทางหนีทันที
ไม่คิดสังหารคนพวกนี้อีก
และนั่นคืออีกข้อผิดพลาด หากเขาคิดหนีตอนที่ยังได้เปรียบอยู่ กุยต้าซานและคนอื่น ๆ ก็อาจไม่ตามตอแยเขาได้
แต่ตอนนี้เมื่อความได้เปรียบนั้นหายไป ใครจะกล้าปล่อยเขาไปเล่า ?
นี่คือธรรมชาติมนุษย์ ตอนยังได้เปรียบมักไม่รู้จักพอ อวี๋เวยก็เป็นเช่นนี้ กุยต้าซานเองก็เช่นกัน
เมื่อเห็นอวี๋เวยพยายามหนี กุยต้าซานก็เอ่ยเสียงกระชาก “ทำร้ายพี่น้องข้าแล้วคิดจะไปทั้งอย่างนี้หรือ ? คิดว่าจะรอดตัวไปง่าย ๆ ได้ ? อย่าคิดหนีดีกว่า !”
ค้อนแปดมุมในมือเขาตวัดซัดไปทางอวี๋เวย
กริชของอีกฝ่ยเรืองแสงสีดำออกมา ปะทะเข้ากับค้อน เกิดประกายไฟกรพจายไปทั่ว อวี๋เวยถูกบีบให้ถอยไปครึ่งก้าวพร้อมกับเสียงฮึ่ม
สุดท้ายเขาก็อยู่เพียงด่านก่อเกิดลมปราณ หากนับกันเรื่องพลังล้วน ๆ อวี๋เวยก็เสียเปรียบ
“รนหาที่ตาย !” ไอสังหารร้อนแรงในนัยน์ตาอวี๋เวยยิ่งแรงขึ้น เขาจ้องกุยต้าซานที่ร่างพลันชะงักไป พร้อมกันนั้นกริชในมือก็จ้วงไปทางร่างกุยต้าซาน และเพราะถูกหมอกแยกไว้อยู่ คนอื่น ๆ จึงเข้ามาช่วยไม่ทัน ทำเพียงมองภาพอวี๋เวยปักกริชลงบนร่างกุยต้าซานเท่านั้น
“หัวหน้า !” คนทั้งสามร้องขึ้นพลางรุดเข้ามา
อวี๋เวยกระชากกริชออกแล้วถอยออกมา ส่งลูกเตะใส่กุยต้าซานจนร่างอีกฝ่ายกระเด็นไป
คนทั้งสามรับร่างกุยต้าซานไว้แล้วล่าถอยไป
“คิดจะหนีหรือ ?” อวี๋เวยหัวเราะเสียงเย็นแล้วพุ่งเข้าใส่
ก่อนหน้านี้เขายังคิดจะหนี แต่ตอนนี้พอได้เปรียบขึ้นมากลับคิดสังหารศัตรูก่อนจาก
ภายใต้อำนาจของหมอกขังปีศาจ ข้ารับใช้เงาทั้งสี่หลบหนีได้ยากลำบากมาก อวี๋เวยเองก็ซัดกริชมาอีกครั้งเช่นกัน
มันคือวิชาสะท้านวิญญาณที่เขาใช้ก่อนหน้า ครั้งนี้เป็นข้ารับใช้เงาสี่หลี่ที่ถูกโจมตี กริชกรีดทะลุอกเขาไป
อวี๋เวยหัวเราะยินดีปรีดา หมายจะกระชากกริชออกแต่กลับพบว่าทำไม่ได้
เขาตกตะลึง พบว่าข้ารับใช้เงาสี่หลี่รั้งกริชไว้แล้วจ้องทางเขาเขม็ง
ในเวลาเดียวกันนั้น ข้ารับใช้เงาสองเฟิงและข้ารับใช้เงาห้าจินก็พุ่งเข้ามาจากด้านข้าง
เลือดสองสายสาดกระเซ็น ณ ตรงนั้น
“อ๊ากกก !” อวี๋เวยที่สุดก็เปล่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมาเป็นครั้งแรกในการต่อสู้
แม้จะมีทักษะต้นกำเนิดที่ให้ผลเฉพาะอยู่ สุดท้ายก็ยังเป็นเพียงคนด่านก่อเกิดลมปราณ พลังชีวิตอ่อนแอกว่าคนด่านกลั่นโลหิตอย่างเห็นได้ชัด ถูกโจมตีครั้งนี้ทำให้บาดเจ็บลึกถึงภายใน
อวี๋เวยทั้งตะลึงทั้งโกรธ ไม่กลัวตายอีกต่อไป ในฐานะหุ่นเชิดเผ่าวิญญาณ เขาไม่คิดกลัวความตาย แต่เขาได้รับคำสั่งจากนายท่านมาว่าต้องนำของไปมอบให้ถึงมือ หากเขาตายเสียตรงนี้ก็จะทำภารกิจล้มเหลว
ดังนั้นจึงทิ้งกริชแล้วถอยไป
ครั้งนี้เขาคิดหนีจริง ๆ สาบานกับตนเองในใจว่าไม่ว่าศัตรูจะทำอะไร เขาก็จะรีบหนีให้เร็วที่สุด
แต่ศัตรูของเขาก็สู้เอาชีวิตเข้าแลก บาดแผลหนักของข้ารับใช้เงาสี่หลี่ทำให้ความฮึกเหิมเมื่อครั้งยังเป็นโจรป่ากลับมา ต่างไม่สนใจบาดแผลบนร่าง กระโจนเข้ามาพัวพัน กระทั่งกุยต้าซานยังกดบาดแผลไว้แล้วลุกขึ้นพุ่งเข้าใส่เขาอีกคน
“บัดซบ !” อวี๋เวยสบถเสียงเกรี้ยวกราด
คนทั้งสามเบื้องหน้าสู้เต็มกำลังจนเขาไม่อาจหนีได้
เมื่อเห็นว่าเหลือเวลาไม่มากแล้ว อวี๋เวยจึงทำใจแข็งแล้วเอ่ยเสียงเหี้ยม “หากอยากตาย งั้นก็ตายไปด้วยกันทั้งหมดนี่ล่ะ !”
พูดจบก็สำลักเอาเลือดอึกใหญ่ออกมา
เลือดอึกนี้กระเด็นเข้าไปยังหมอกดำจนมันกลายเป็นหมอกเลือด และภายในหมอกเลือดนี้ ตัวตนประหลาดก็เริ่มมีร่างเนื้อขึ้นมา
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ซับซ้อนนัก ไม่อาจอธิบายด้วยคำใดได้ เหมือนกับมีคนเอาดินเหนียวมาก้อนหนึ่ง ปัสสาวะใส่มัน จากนั้นก็บีบ ๆ มันสักสองสามครา แต่ละตัวหน้าตาไม่เหมือนกัน ทั้งบิดเบี้ยวไม่เป็นรูป ดูพิกลพิการ ทั้งยังเปล่งเสียงร้องน่าขนลุก
ภูตผีที่ลอบโจมตีในหมอกก่อนหน้านี้คือเจ้าพวกนี้นั่นเอง
แต่ครั้งนี้พวกมันกลับเผยความสามารถที่แท้จริง แผ่กลิ่นอายดุดันออกจากร่างจนคลุ้งทั่วสมรภูมิ วิชาซ่อนเงาเองก็ดูจะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป พวกมันเริ่มกู่ร้องแล้วพุ่งเข้าใส่จากทุกทิศทาง
สถานการณ์ผันเปลี่ยนอีกครั้ง กุยต้าซาน และคนอื่น ๆ ถูกพวกมันล้อมเอาไว้
ครั้งนี้อวี๋เวยไม่เปลี่ยนใจอีก เหลือบมองกุยต้าซาน และคนอื่น ๆ จากนั้นก็หนีไปทันใด
แต่ตอนกำลังจะจากไป เงาร่างสองเงาก็พลันปรากฏขึ้น ณ ที่ไกล
อวี๋เวยเห็นว่าท่าไม่ดีจึงรีบหนีเต็มกำลัง
“นายท่าน เป็นมัน !” กุยต้าซานยังทนไหว กระทั่งตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นยังมีแก่ใจชี้ตัวการอย่างอวี๋เวยแล้วร้องลั่น “มันเอาของบางอย่างไปด้วย !”
เงาร่างทั้งสองพุ่งเข้ามาราวกับบิน
“เจ้าไล่ตามมันไป ข้าช่วยเหลือเจ้าพวกนี้เอง !” ซูเฉินว่า
“รับทราบ !” จีหานเยี่ยนรับคำ รีบรุดหน้าพุ่งตามอวี๋เวยไป
ว่าแล้วชายหนุ่มก็พลันทำท่ามือ ส่งเพลิงกลุ่มใหญ่พุ่งออกไป ปะทะเข้ากับร่างสิ่งมีชีวิตประหลาดจนมันร้องลั่นเสียงแสบแก้วหู
เมื่อพวกมันมีร่างเนื้อ มันก็โจมตีตรงไปตรงมามากขึ้น ตอนนี้สามารถมองเห็นวิชาเร้นกายได้อีก แต่กลับเสียโอกาสป้องกันตนเองไปจนหมด
เปลวเพลิงจากซูเฉินจึงเปลี่ยนทุกอย่างเป็นเถ้าถ่านได้ในพลัน