ภาคที่ 3 บทที่ 95 การขู่ขวัญและกลโกง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 95 การขู่ขวัญและกลโกง

แล้วลมหอบหนึ่งก็พัดผ่าน พาเอาผงเถ้าลอยไป เหลือเพียงกุยต้าซานและคนอีกสองคนเท่านั้น

ข้ารับใช้เงาสี่หลี่ตายแล้ว

เขาไม่ได้ตายเพราะกริชของอวี๋เวย แต่เป็นเพราะปีศาจที่ปรากฏตัวหลังจากนั้นต่างหาก และเพราะบาดแผลสาหัสจึงไม่อาจสลัดมันหลุด จนถูกพวกมันรุมกลืนกลินร่าง

ตอนที่ซูเฉินทำลายมันจนเหลือแต่ผุยผง ข้ารับใช้เงาสี่หลี่ก็เหลือเพียงครึ่งร่างแล้ว

ซูเฉินเห็นดังนั้นก็รู้สึกราวกับใจร่วงหล่น

หากข้ารับใช้เงาสี่หลี่มีพื้นฐานการบ่มเพาะพลังสูงกว่านี้อีกหน่อยก็คงไม่ต้องตาย เขาช่วยอีกฝ่ายเพิ่มมันได้แท้ ๆ แต่เขากลับไม่ใส่ใจจะทำ

“เรื่องข้ารับใช้เงาสี่หลี่ปล่อยให้พวกเจ้าจัดการ ทำเหมือนเมื่อครั้งก่อน แล้วไปเอาของข้างในนั้นมาเสริมพื้นฐานการบ่มเพาะพลัง ทำให้ตนแกร่งขึ้นเสีย” ซูเฉินกล่าวพร้อมโยนยาฟื้นพลังให้คนละขวด

ของในโถงเก็บของเป็นของพวกเขางั้นหรือ ?

กุยต้าซานและคนอื่น ๆ ได้ยินแล้วก็ตะลึงไป “นายท่าน”

“รีบทะลวงผ่านด่านเสีย จะได้ทำประโยชน์ให้ข้าได้มากขึ้น” ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบก่อนจากไป

กุยต้าซานและคนอื่น ๆ ในใจยินดีนัก

ซูเฉินเดินออกจากโถงเก็บของ พบกับจีหานเยี่ยนกำลังลากอวี๋เวยกลับมาพร้อมกัน

อวี๋เวยไม่กลัวแม้แต่นิด เงยหน้าจ้องซูเฉินเขม็ง “ซูเฉิน เจ้าสอดมือยุ่งมากเรื่องเกินไปแล้ว”

“เจ้าเองก็มือยาวเกินไปเช่นกัน” ซูเฉินล่วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมอวี๋เวยแล้วดึงผลึกสีดำออกมา

เมื่อจีหานเยี่ยนเห็นมันก็ขมวดคิ้ว “พลังมืดในนั้นรุนแรงนัก”

“ข้าเชื่อว่ามันเป็นตัวกลางประเภทความมืดที่มีพลังอยู่เข้มข้นมาก”

จีหานเยี่ยนได้ยินแล้วก็มึนงง เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจ

แต่นางไม่ได้ใส่ใจมันนัก นางกระชากศีรษะอวี๋เวยให้เงยหน้าขึ้นก่อนถาม “นายท่านของเจ้าเล่า ?”

อวี๋เวยหัวเราะเสียงทะมึน “หากเจ้ารู้ว่านายท่านของข้าเป็นเผ่าวิญญาณ คิดหรือว่าขู่ข้าไปจะได้ผล ?”

“ถูกต้อง หุ่นเชิดไม่เกรงกลัวความตาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าง้างปากเอาคำตอบไม่ได้” ซูเฉินว่าพลางวางฝ่ามือลงบนหน้าผากอีกฝ่าย “ข้ามีวิชาล้วงความทรงจำ หากไม่อยากบอก ข้าหาเองก็ได้”

“ไม่ !” อวี๋เวยเปลี่ยนสีหน้าทันที

ชายหนุ่มวางมือลงบนหน้าผากอีกฝ่ายแล้ว และตอนกำลังจะใช้วิชานั่นเอง เสียงกรีดบาดหูก็ดังลั่นขึ้น กลุ่มหมอกดำแผ่ออกมาปกคลุมพื้นที่โดยรอบเสียมืดสนิท ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกัดเสียงเคี้ยวดังขึ้นมาจากภายใน

“ใครกัน ?” ซูเฉินเอ่ยเสียงดัง

“ฮี่ ๆ ๆ!” เสียงหัวเราะประหลาดดังก้องมาจากทุกทิศ ไม่รู้ว่าต้นเสียงมาจากทางไหนกันแน่

จีหานเยี่ยนซัดพลังออกไปอย่างแรง ลมหนาวและเกล็ดหิมะกระจายไปทั่ว ปะทะเข้ากับหมอกดำ เกิดเป็นหมอกดำเคล้าหิมะไป เสียงกรีดร้องครวญครางประหลาดยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ

หากแต่เสียงหัวเราะยังคงดำเนินต่อไป จนมันดังก้องไปทั่ว ทำให้ซูเฉินต้องวาดแขน ส่งเพลิงสายหนึ่งพุ่งออกไป

ทั้งเพลิงและน้ำแข็งผสมผสานกัน เกิดเป็นแสงจ้าจากเปลวเพลิง เกิดเป็นเกล็ดน้ำแข็งกระจายออกไป ส่งผลให้หมอกดำเริ่มสลายและจางลง

ราวกับต้องเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญฝีมือฉกาจ ซูเฉินและจีหานเยี่ยนเหินขึ้นไปด้านบน ใช้วิชาที่แกร่งที่สุดของตนพร้อม ๆ กัน ไม่ใส่ใจว่ากำลังอยู่ในอาณาเขตของอีกฝ่าย และไม่ใส่ใจอวี๋เวย

เป็นตอนนั้นเองที่มีน้ำเสียงหนึ่งดังเข้าหู “ไม่คิดจะเอาของมาคืนให้ข้าหรือ ?”

ของสิ่งหนึ่งปลิวเข้าไปอยู่ในมืออวี๋เวย มันคือผลึกแห่งความมืด

อวี๋เวยตะลึงไปก่อนร้องขึ้น “นายท่าน !”

เขารีบหันไปแล้ววิ่งไปทางนั้นทันที

เขาพุ่งตัวไปสุดกำลัง เหลือบมองด้านหลังก็พบว่ามีลูกไฟเพลิงที่ทำให้ท้องฟ้าสว่างจ้ากำลังไล่ตามมา

อวี๋เวยรู้เว่าภารกิจครั้งนี้คือการนำผลึกแห่งความมืดไปให้เจ้านายตน ดังนั้นจึงรีบวิ่งต่อ

อาจเพราะความตื่นเต้นในกายและความสำคัญของภารกิจ อวี๋เวยรู้สึกว่าตนเองวิ่งเร็วกว่าปกติ เขาพุ่งออกจากเมืองธารน้ำใสแล้ววิ่งมาจนถึงภูเขาที่อยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะพุ่งเข้าป่าไปทันที

แต่วิ่ง ๆ ไปก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ

เขากับศัตรูสร้างเรื่องขนาดนี้ แล้วทำไมกลุ่มพยัคฆ์ร้ายถึงไม่ตอบสนองเลยสักนิด ?

แล้วทำไมนายท่านถึงเข้ามาช่วยเหลือเขาด้วยท่าทางสงบเย็นชาเช่นนั้นได้ ?

อีกทั้ง…… พื้นที่โดยรอบนี่ก็ดูแปลก ๆ ไปหน่อย ไม่เหมือนกับที่เขาคุ้นตาเลย

เขาเหลือบมองรอบกาย ยิ่งมองก็ยิ่งรู้ว่าผิดปกติ

ดังนั้นจึงหยุดฝีเท้าในพลัน “ไม่ ! มีบางอย่างไม่ถูกต้อง !”

เขาร้องตะโกนจบแล้ว ภาพทิวทัศน์โดยรอบก็พลันละลายหายไป ทั้งภูเขา แม่น้ำ และกำแพงเมืองที่อยู่ไกล ๆ พากันหายไปหมด ตัวเขากำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น และที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือซูเฉิน คำพูด “……แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าง้างปากเอาคำตอบไม่ได้” ค่อย ๆ ดังขึ้นมาให้ได้ยิน

“สุดท้ายก็ยังถูกจับได้หรือนี่ น่าเสียดาย” ซูเฉินดึงมือกลับมา แต่สีหน้ากลับไม่ได้เสียดายอย่างที่พูด เขาหันไปเอ่ยกับจีหานเยี่ยน “เผ่าวิญญาณคนนั้นน่าจะอยู่ในเขาลูกเล็กทางใต้ เสียดายที่ข้าไม่คุ้นกับพื้นที่โดยรอบ ภาพมายาบนนั้นเลยไม่สมจริงนัก สุดท้ายเลยถูกจับได้”

“เท่านี้ก็พอแล้ว” จีหานเยี่ยนตอบ

“ไม่ !” อวี๋เวยร้องลนลาน รีบผุดลุกขึ้นยืนแล้วพุ่งใส่ซูเฉินด้วยนัยน์ตาเบิกโพลงทันที

ชายหนุ่มประทับฝ่ามือลงบนหน้าปากอวี๋เวย ร่างอีกฝ่ายสะท้านไป ก่อนจะเซล้มลงกับพื้น

คนผู้นี้กลายเป็นทาสเผ่าวิญญาณไปแล้วช่วยเหลือไม่ได้อีก ได้แต่รอความตายเท่านั้น

ห้องโถงใหญ่ของกลุ่มพยัคฆ์ร้ายนั้นมีคนอยู่มาก เห็นได้ชัดว่าตอนนี้คนทั้งหลายรับรู้ถึงเหตุการณ์ด้านนอกแล้วและกำลังพากันมาดู

“รีบออกไปเถอะ ปัญหาจะได้น้อยลงหน่อย”

ว่าแล้วพวกเขาทั้งสองสามคนก็จึงจากไปอย่างเงียบเชียบ ทว่าก่อนจากไป กุยต้าซานก็ได้จุดคบเพลิงและเผาโถงเก็บของทิ้งเสีย

ข่าวผู้นำกลุ่มพยัคฆ์ร้ายถูกสังหารและโถงเก็บของถูกปล้นกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นข่าวน่าตกใจอีกเรื่องหนึ่งก็เกิดขึ้น หวังเหวินซิ่นแห่งกลุ่มอันธพาลฉางชิงบุกฐานทัพใหญ่กลุ่มพยัคฆ์ร้าย ในตอนนั้นเหล่ารองหัวหน้ากลุ่มทั้งหลายยังคงต่อสู้ชิงตำแหน่งหัวหน้ากันอยู่ หวังเหวินซิ่นมาถึงก็กำราบพวกเขาทุกคน กวาดเอาคนในกลุ่มพยัคฆ์ร้ายรวมเข้ากลุ่มตน สุดท้ายก็กลืนกลุ่มพยัคฆ์ร้ายจนหายไป ทำให้พื้นที่ที่เป็นของกลุ่มจึงกลายเป็นของกลุ่มอันธพาลฉางชิงไป

กลุ่มอันธพาลอื่น ๆ ไม่รับรู้เรื่องราวจนกระทั่งสายเกินแก้ พอรู้เรื่องเข้า กลุ่มพยัคฆ์ร้ายก็ชูธงของกลุ่มอันธพาลฉางชิง นับว่าล่มสลายโดยสมบูรณ์แล้ว ทำให้หัวหน้ากลุ่มอันธพาลอื่น ๆ กระทืบเท้าโกรธแค้นนัก

คนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องเช่นนี้ได้นัดหมายจะมาพูดคุยกับหวังเหวินซิ่น ส่วนพวกที่หัวรุนแรงหน่อยก็วางแผนจะลอบโจมตี หวังเหวินซิ่นเองก็ไม่เผยจุดอ่อน จนทำให้เมืองธารน้ำใสตกอยู่ในความวุ่นวายระยะหนึ่ง

กลายเป็นว่าการที่กลุ่มพยัคฆ์ร้ายหายไปกลุ่มหนึ่ง สร้างความไม่สงบไม่น้อยเลยทีเดียว

กลุ่มอันธพาลเหล่านั้นมีสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงหนุนหลัง เมื่อมีเรื่องเบาะแว้งกันย่อมทำให้สิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงอ่อนแอลงเช่นกัน จนกลายเป็นการบีบให้พวกเขาต้องส่งคนมาแก้ไขปัญหา สุดท้ายก็เสียทั้งเวลาและพลังไปมากมายเพื่อทำไม่ให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โต

ในขณะที่เมืองธารน้ำใสกำลังตกอยู่ในความไม่สงบ ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าซูเฉินและจีหานเยี่ยนได้พาเอากำลังคงส่วนหนึ่งออกจากเมืองธารน้ำใสไปอย่างเงียบเชียบแล้ว