บทที่ 96 ล่า (1)
เขาเล็กทางใต้
ซูเฉินชี้ไปยังทางขึ้นเขาขรุขระ “ในโลกมายา อวี๋เวยใช้ทางนี้ขึ้นเขาไป แต่ไม่ได้ไปจนสุด ข้าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเขาเล็กทางใต้ ดังนั้นจึงไม่อาจสร้างภาพมายาที่ละเอียดลออมากได้”
“รู้ทางก็ทำงานได้ง่ายมากขึ้นแล้ว ที่เหลือให้คนของข้าจัดการ” จีหานเยี่ยนหันไปพยักหน้าให้กลุ่มคนด้านหลัง ก่อนเป็นกลุ่มคนที่สวมชุดกรมวินิจฉัยคดีมุ่งหน้าขึ้นเขาไป
เดินทางครั้งนี้จีหานเยี่ยนนำคนติดตัวมาด้วย 12 คน แม้จะไม่มากแต่ก็เป็นพวกฝีมือดี คนที่อ่อนแอที่สุดยังอยู่ด่านก่อเกิดลมปราณ
ที่หายากที่สุดคือคนเหล่านี้เชี่ยวชาญวิชาการสืบสวนสอบสวน อีกทั้งยังเก่งกาจด้านการติดตามหาตัวคนมาก
กองลาดตระเวน 12 คนแยกย้ายกันไปทั่วทุกทิศของเขาเล็กทางใต้ เหลือเพียงต้องรอข่าวเท่านั้น
การรอครั้งนี้กินเวลายาว 3 วัน
3 วันถัดมา กองลาดตระเวนก็กลับมาเมื่อพบจุดผิดสังเกต
ถ้ำด้านข้างเขาแห่งหนึ่ง ปากถ้ำปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์รกขึ้นปิดจนแทบมิด
“เถาวัลย์แถบถ้ำไม่ได้ขึ้นตามธรรมชาติ แต่ถูกย้ายมาและมีการตัดแต่ง มีอุจจาระมนุษย์อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก อีกทั้งพื้นหญ้าแถบหน้าถ้ำมีร่องรอยการถูกเหยียบ ดูแล้วที่นี่น่าสงสัยนัก” กองลาดตระเวนหนุ่มคนหนึ่งเอ่ย เขานั่งอยู่บนยอดไม้ที่อยู่ไม่ไกลนักแล้วชี้ไปยังถ้ำที่ว่า
จีหานเยี่ยนเผยใบหน้าพึงพอใจ “ดีมากเสี่ยวหลาน พาพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ไปตรวจสอบพื้นที่โดยรอบอีกสักหน่อย มีทางเข้าหรือออกอีกหรือไม่ แต่อย่าเข้าใกล้มัน เราไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น”
“ขอรับ !”
จากนั้นจีหานเยี่ยนก็เริ่มร้องขอกำลังเสริม
เผ่าวิญญาณเป็นตัวตนที่รับมือยาก ทำให้ซูเฉินและจีหานเยี่ยนไม่กล้าถือดีว่าพวกตนจะสามารถรับมือเองไหว
เมื่อได้ยินว่ามีร่องรอยของเผ่าวิญญาณอยู่ใกล้เขาเล็กทางใต้ อันซื่อหยวนก็กระจายกำลังเข้าล้อมภูเขาทันที ด้วยเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหลายเผ่า นับเป็นเรื่องใหญ่ หากสะเพร่าแม้เล็กน้อยก็อาจถูกลงโทษสถานหนักได้
ภายในป่าบนเขาเล็กทางใต้ อันซื่อหยวนและหลู่ชิงกวงเดินทางมาพบซูเฉินและจีหานเยี่ยน เช่นเดียวกับอวิ๋นเป้าเองก็มาด้วยในฐานะกองกำลังปฏิบัติการลับที่มีหน้าที่ดูแลความสงบของแคว้น มีอำนาจดูแลเรื่องเผ่าวิญญาณได้พอดี
มีการส่งตัวผู้เชี่ยวชาญเข้ามามากมาย ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าคนน้อยจะไม่อาจรับมือเผ่าวิญญาณคนหนึ่งแล้ว แต่สำคัญที่ความรู้สึกนึกคิดเสียมากกว่า
หากทางการต้องการจับตัวพวกอาชญากรจริง ๆ คงไม่ส่งคนมาเพียง 2 คน แม้ศัตรูจะมีเพียงหนึ่งคนและถือดาบเพียงหนึ่งเล่ม แต่จะส่งคนเกือบสิบมาจับกุมตัว เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้
ตั้งแต่ก่อนจนถึงปัจจุบัน การใช้กำลังคนที่มากกว่าเพื่อเอาชนะศัตรูนับเป็นหนทางที่ดี
“เช่นนั้นก็ยังไม่เห็นตัวคนเผ่าวิญญาณหรือ ? แล้วยังไม่แน่ใจด้วยว่าในนั้นจะมีเผ่าวิญญาณอยู่หรือไม่ ?” อันซื่อหยวนเอ่ยเสียงต่ำ
“ถูกต้อง ยังไม่เห็นตัว” ซูเฉินตอบ “หากพวกเราเข้าไปแล้ว ศัตรูคงจะรู้ตัวทันที”
หลู่ชิงกวงเอ่ย “แต่ก็อาจหมายความว่าแม้จะส่งคนไปมากแต่ก็อาจไร้ผล สุดท้ายอาจกลับมามือเปล่า ถูกต้องหรือไม่ ?”
ซูเฉินมองอีกฝ่าย แววตาแฝงความประหลาดใจอยู่บ้าง “เผ่าวิญญาณนั้นประหลาดพิลึก รับมือได้ยาก เผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนี้ระวังให้มากไม่ใช่เรื่องเสียหาย หากกลับมามือเปล่าก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เหตุใดท่านหลู่จึงต้องให้พวกข้ามั่นใจเต็มที่ก่อนจึงจะลงมือเล่า ?”
หลู่ชิงกวงชะงักไป ส่งเสียงฮึ่มฮั่มเล็กน้อยก่อนหันไปอีกด้านไม่ใส่ใจคำ
เห็นเช่นนั้นซูเฉินก็ขมวดคิ้ว
ประมาณครึ่งปีที่ผ่านมา เขาได้ยินข่าวลือสองสามเรื่องแพร่สะพัดในเมือง แม้ตัวเขาจะไม่ค่อยได้ออกจากคฤหาสน์มากนักก็ตาม
ทว่าเมื่อเขาได้ยินก็ทำเพียงหัวเราะ คิดว่าคนฉลาดคงจะไม่หลงกลคำลวงเหล่านี้ แต่ดูท่าตอนนี้เรื่องคงไม่เรียบง่ายเช่นนั้น
เขามองเมินได้ แต่คนอื่นอาจจะไม่ แม้จะไม่เกิดเรื่องบาดหมางระหว่างกัน แต่ในใจก็อาจเริ่มมีปม
หากเป็นเช่นนั้นก็นับว่าแผนข่าวลือไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว
อันซื่อหยวนเองก็เหมือนจะรับรู้ได้ เหลือบมองหลู่ชิงกวง จากนั้นเอ่ยมีความนัย “ซูเฉินพูดถูก เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเผ่าวิญญาณ สำคัญเป็นยิ่งนัก ระวังมากหน่อยไม่เสียหาย ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้วก็เตรียมเดินทางเลยเถอะ”
“ท่านเจ้าเมืองโปรดรอก่อน” ซูเฉินตอบ
“อะไรหรือ ?” อันซื่อหยวนเอ่ยถาม
“กำลังมีคนอีกกลุ่มเดินทางมา”
“คนอีกกลุ่มหนึ่ง ?” อันซื่อหยวนชะงักไป “ใครกัน ?”
“ย่อมต้องเป็นคนจากกรมวินิจฉัยคดี” ซูเฉินตอบ
“กรมวินิจฉัยคดี ?” อันซื่อหยวนชะงักไป “พวกเขามาทำไมกัน ?”
เฉินเหวินฮุยแห่งกรมวินิจฉัยคดีมาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง เป็นหลานตระกูลหวัง ไม่เคยให้ความเคารพหรือฟังคำสั่งจากอันซื่อหยวนมาก่อน
ดังนั้นการที่ชายหนุ่มเรียกกำลังเสริมจากกรมวินิจฉัยคดีมาเช่นนี้จึงนับว่าแปลก
ซูเฉินตอบ “พวกเขาย่อมต้องมา อย่าลืมว่ารองเจ้ากรมจีเป็นรองเจ้ากรมกรมวินิจฉัยคดีแห่งปาโจว นางมาเมืองธารน้ำใสเพื่อจัดการคดีครั้งนี้ ดังนั้นย่อมต้องได้รับความร่วมมือจากกรมวินิจฉัยคดีในท้องที่ ตอนนี้รองเจ้ากรมจีพบเบาะแสของเผ่าวิญญาณ นางย่อมต้องแจ้งกรมวินิจฉัยคดี พวกเขามีหน้าที่ต้องส่งคนมาช่วยเหลือ”
ซูเฉินเอ่ยมีเหตุผลนัก ทว่าอันซื่อหยวนนั้นเข้าใจถึงความคิดอีกฝ่าย “เจ้าหมายความว่า……”
ซูเฉินเอ่ยเสียงสงบ “เผ่าวิญญาณแข็งแกร่งมาก ไม่อาจดูถูกได้ ไม่รู้ว่าหากเราคิดต่อกรกับพวกเขาต้องจ่ายไปมากเพียงไหน หากต้องปะทะกันจริง อาจมีคนอีกมากต้องตาย”
ยามได้ยินเช่นนี้ อันซื่อหยวนก็เข้าใจเจตนาซูเฉิน เขาหัวเราะเสียงทะมึน “ใช่แล้ว ยากนักที่จะไม่มีคนตายจากการต่อสู้ กรมวินิจฉัยคดีรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยภายใน ช่วยเหลือปาโจวจับตัวคนเผ่าวิญญาณคือหน้าที่พวกเขา ไม่สูญเสียเลยก็คงยาก”
ไม่นานคนจากกรมวินิจฉัยคดีก็มาถึง
เฉินเหวินฮุยนำคนกรมวินิจฉัยคดีมาราว 70 คน เมื่อเห็นอันซื่อหยวน ใบหน้าก็บิดเบี้ยวในพลัน
อันซื่อหยวนผายมือ “ไม่ได้พบกันนานเจ้ากรมเฉิน”
เฉินเหวินฮุยส่งเสียงไม่พอใจแล้วหันหน้าไปทางอื่น
จีหานเยี่ยนอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ “ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านมีเรื่องบาดหมางอันใดต่อกันมาก่อน แต่ภารกิจตรงหน้าเราคือรับมือกับเผ่าวิญญาณ หากพวกท่านคนใดทำเสียเรื่อง ข้าจะรายงานให้เบื้องบนรับรู้”
เฉินเหวินฮุยเอ่ยเสียงเย็น “ข้ารู้หน้าที่ตนเองดี”
“เช่นนั้นก็ลงมือทำหน้าที่เสีย”
จีหานเยี่ยนเดินนำหน้าเข้าถ้ำไป
สตรีผู้นี้บ้าบิ่นมาก นางเดินนำหน้ากลุ่มคนไปตลอดทาง ซูเฉินที่เป็นห่วงนางได้แต่เดินตามไปติด ๆ อวิ๋นเป้าเองก็ตามมาอยู่ไม่ไกล
แผนเดิมที่คิดใช้คนจากกรมวินิจฉัยคดีเป็นตัวตายจึงถูกปัดทิ้งไป
แต่นั่นก็ทำให้เฉินเหวินฮุยสงบใจลงได้บ้าง ลดความระแวงกับเรื่องราวลงได้มากเช่นกัน
ในถ้ำทั้งมืดทั้งชื้น กลิ่นราฉุนจมูก
อุโมงค์ในนั้นคดเคี้ยวและยาวนัก ท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้ ไม่รู้ได้แน่ชัดว่ามันยาวไปถึงไหน
กองลาดตระเวนคนหนึ่งจุดตะเกียงผลึกแก้วขึ้น ส่งผลให้มองเห็นทางด้านหน้าเป็นแสงสลัว ก่อนที่ทุกคนจะค่อย ๆ คลำทางเข้าไป
หลังจากเดินมานานเท่าไรไม่มีใครรู้ก็พลันได้ยินเสียงกระพือปีกด้วยมีฝูงค้างคาวกลุ่มหนึ่งบินเข้ามา ทำคนตกใจไม่น้อย บางคนสูญเสียการควบคุม โจมตีออกไป คลื่นเพลิงซัดออกไปเผาพวกค้างคาวกลายเป็นผง แต่ก็ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น คลื่นพลังขนาดใหญ่พลันถูกซัดเข้าใส่พร้อมกับเสียงร้องแหลมและเสียงกระพือปีก
“บัดซบ เบาเสียงลงหน่อยได้หรือไม่ ?” เฉินเหวินฮุยหน้าแดง หันไปด่าลูกน้องในพลัน
เป็นลูกน้องของเขาเองที่เสียความเยือกเย็นและทำเสียงดัง
“ช่างเถอะ เผ่าวิญญาณมีกลยุทธ์ลวงมากมาย ถึงเราเข้ามาเงียบ ๆ ก็ไม่แน่ว่าจะตบตามันได้” อันซื่อหยวนยังคงเป็นคนที่สุขุมที่สุด
ในเมื่อทำเสียงดังไปแล้ว พวกเขาจึงไม่คิดซ่อนตนอีก ดังนั้นจึงรีบรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดก็มาถึงยังห้องศิลาแห่งหนึ่งเข้า
ภายในห้องศิลามีคนสวมชุดคลุมดำยืนหันหลังอยู่
น้ำเสียงประหลาดฟังดูลึกลับดังก้องไปทั่วห้อง “ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ห้องทดลองของม่อ (ม่อ = ไร้เสียง)”