ภาคที่ 3 บทที่ 97 ล่า (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 97 ล่า (2)

ห้องนั้นมีพื้นที่กว้างขวางมาก

ตรงกลางห้องคือเตาเผาที่มีเพลิงลุกโชน ทำให้ห้องทั้งห้องสว่างไสวด้วยแสงกะพริบจากไฟในเตาเผา

ด้านหน้าห้องมีโต๊ะทดลองขนาดใหญ่ ยกสูงขึ้นราวกับเป็นแท่นบูชา บนนั้นมีของหน้าตาประหลาดอยู่มากมาย

เผ่าวิญญาณคนหนึ่งยืนอยู่หลังโต๊ะนั้น ร่างเขาลอยเหนือพื้นราวกับภูตผี

เผ่าวิญญาณนั้นสร้างขึ้นจากจิต คล้ายกับผ้าเท่อลั่วเค่อที่ไม่มีร่างกายจริง หรือก็คือเป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างขึ้นจากพลังงาน

และเพราะสร้างขึ้นจากจิตและพลังงานนี่เอง พวกเขาจึงเลือกรูปร่างหน้าตาตนเองก่อนจะถูกกลายวิญญาณ สูงชะลูด แขนขายาว ทั่วร่างมีอักขระประหลาด เห็นกระทั่งผิวสีคล้ำเข้ม

เขาลอยสงบนิ่งอยู่เช่นนั้น ลอยสูงเหนือพื้นราวครึ่งฉื่อ มีผ้าคลุมพาดอยู่เหนือไหล่

ซูเฉินคิดในหัว “ผีไม่ต้องสวมชุดก็ได้ แสดงว่าพวกเขายังติดนิสัยเดิมก่อนถูกกลายวิญญาณ หรือไม่ก็คงคิดว่าถึงเป็นผีก็คงไม่ดีหากต้องแก้ผ้า”

เผ่าวิญญาณผู้นั้นดูจะไม่แปลกใจกับการมาถึงของกลุ่มคนเลย

แท้จริงแล้วเผ่าวิญญาณนั้นมักสงบนิ่งเยือกเย็นอยู่ตลอด พวกเขาชินชากับการอยู่คนเดียวละชอบเช่นนั้นมาก เมื่อร่างหายไปอารมณ์ก็หายไปด้วย ทำให้คล้ายกับบ่อน้ำเก่าแก่ที่เกิดแรงกระเพื่อมไม่บ่อยครั้ง

แม้ฟ้าจะถล่มอยู่ตรงหน้า เขาก็อาจทำตัวเช่นเดิม

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายว่ามาเช่นนั้น จีหานเยี่ยนคำรามเสียงเย็น “ในที่สุดก็เจอตัวเจ้าจนได้ไอ้หนูถ้ำบัดซบ”

ด้วยความรักสันโดษ เผ่าวิญญาณจึงชอบซ่อนตัวห่างจากสายตาผู้คน อีกทั้งเผ่าพันธุ์พวกเขายังชินกับการอาศัยใต้ดิน ทำให้ใต้ดินกลายเป็นบ้านไปโดยปริยาย ดังนั้นเผ่าวิญญาณจึงถูกเรียกว่าหนูที่ชอบอาศัยอยู่ในถ้ำ

จีหานเยี่ยนเอ่ยคำไม่ใช่เพื่อเอาใจ แต่เจอหน้ากันก็สาดคำพูดไม่น่าฟังใส่อีกฝ่ายแล้ว ทว่าม่อก็ไม่โกรธ เอ่ยคำเพียง “คำพูดว่าร้ายไม่ช่วยอะไร ยังผลแต่ความสูญเสียท่าทีเท่านั้น”

“แต่มันกลับทำให้ข้ารู้สึกดีมาก” จีหานเยี่ยนตอบ

ม่อส่ายหน้าเบา ๆ “มีแต่ต้องยกระดับจิตใจจึงจะสัมผัสความสุขที่แท้จริงได้ เจ้าแกะน้อยหลงทางฝีปากมากเช่นเจ้ารีบเดินหาหนทางที่ถูกต้องเสียตอนนี้เถอะ”

จีหานเยี่ยนพลันเผยไอสังหารจากนัยน์ตา “ข้าไม่ใช่แกะน้อย !”

ว่าแล้วก็ส่งหมัดหิมะขาวสกุณาเหมันต์ออกไป

คลื่นพลังในหมัดอาจไม่น่าประทับใจนัก เป็นแค่หมัดธรรมดาเท่านั้น แต่พลังทั้งหมดนั่นถูกบีบอัดจนแน่น วิถีหมัดทิ้งเกล็ดน้ำแข็งไว้เป็นทาง ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ม่อ

หมัดนี้เพียงหมัดเดียวก็แสดงให้เห็นแล้วว่านางแข็งแกร่งขึ้นมาก

แต่หมัดทรงพลังคล้ายกับปะทะเข้ากับเกราะป้องกันไร้รูปร่าง มันหยุดลงก่อนจะถูกตัวม่อพอดิบพอดี จากนั้นเบื้องหน้าเขาก็เกิดรอยแตกกระจายไปคล้ายใยแมงมุม

เกราะไร้ร่างดูดซับพลังหมัดของจีหานเยี่ยนไปโดยสมบูรณ์

ซูเฉินเห็นแล้วก็รู้สึกว่ามันคล้ายกับวิชาโบราณอาร์คาน่าที่มีชื่อว่าเกราะผลึกแก้ว

ม่อส่ายหน้า ท่าทางเสียใจอยู่เล็กน้อย “เจ้าประมาทเดินไปแล้วมนุษย์น้อย เดิมทีข้าคิดจะพูดคุยกันสักหน่อย”

“ก็ดี ข้าก็อยากพูดคุยเช่นกัน แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องถูกจองจำเสียก่อน !” จีหานเยี่ยนปล่อยอีกหมัดออกมา

เกราะผลึกแก้วเบื้องหน้าม่อดูไม่แกร่งมากนัก หากหนึ่งหมัดทำมันแตกเสียขั้นนี้ อีกหมัดก็คงทำลายมันลงได้

ตู้ม !

คลื่นพลังจากหมัดทำลายเกราะผลึกแก้วได้จริง ๆ ผลึกนับไม่ถ้วนกระเด็นลอยไปทั่วทิศ ส่องล้อแสงเป็นประกายระยับ

หากแต่หมัดครั้งนี้ของจีหานเยี่ยนก็ยังไม่อาจทำอันตรายคนได้ หมัดเยือกแข็งทะลุผ่านอกของม่อไปแต่ไม่ทำร้ายเขา ราวกับว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น

“เหมือนร่างไร้สรรพสิ่ง” ซูเฉินคิด

ม่อยังคงสงบนิ่ง “อาจจะยากหน่อย พวกเจ้าล้วนอ่อนแอกันทั้งหมด”

“อ่อนแอ ?” อันซื่อหยวนได้ยินแล้วก็สงบท่าทีไม่อยู่อีก

อย่างไรเขาก็เป็นเจ้าเมืองธารน้ำใสและยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร อีกฝ่ายเป็นเพียงเผ่าวิญญาณระดับต่ำเท่านั้น กล้าดีอย่างไรมาดูถูกเยาะเย้ยกันเช่นนี้ ?

การแยกฐานะทางสังคมของเผ่าวิญญาณนั้นดูออกง่ายมาก ด้วยเพราะถูกกลายวิญญาณ ละทิ้งสถานภาพเดิมไปแล้ว พวกเขาจึงได้บิดามารดา ไม่มีแซ่อีกต่อไป ดังนั้นเผ่าวิญญาณส่วนมากจึงใช้ชื่อที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ ในชื่อมีอักษรเพียงหนึ่งตัว มีเพียงเผ่าวิญญาณระดับสูงเท่านั้นที่จะมีชื่อซับซ้อน ทำให้การดูชื่อกลายเป็นการแยกชนชั้นของเผ่าวิญญาณนั่นเอง

รู้เพียงชื่อก็รู้ถึงระดับฐานะได้

เผ่าวิญญาณระดับต่ำมีชื่อเพียงหนึ่งตัวอักษร ระดับกลางและระดับสูงจะมีชื่อสองและสามตัวอักษรตามลำดับ ผู้นำเผ่าอาจมีได้มากถึงสี่ตัวอักษร และมีสัญลักษณ์อื่นอยู่ในชื่อ เช่น ผู้นำเผ่าวิญญาณในปัจจุบันมีชื่อว่า “มั่วเนี่ยลาซือผู้มองไกล”

ม่อไม่มีอักษรตัวอื่นอยู่ในชื่ออีก จึงหมายความว่าเขาเป็นเพียงเผ่าวิญญาณระดับต่ำ

แม้เผ่าวิญญาณแต่ละคนจะแกร่งมาก แต่เผ่าวิญญาณระดับต่ำก็ไม่ได้แกร่งขนาดโค่นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารได้ ไม่เช่นนั้นเผ่าวิญญาณคงไร้ผู้ใดต่อกรมานานแล้ว

การที่ถูกเผ่าวิญญาณระดับต่ำมองเมินกันเช่นนี้ เขาจะไม่โกรธได้อย่างไร ?

“ถูกต้อง อ่อนแอ !” ม่อตอบตามตรง

จากนั้นหันมองอันซื่อหยวน “ข้าสัมผัสพลังที่กำลังพลุ่งพล่านในร่างเจ้าได้ เป็นพลังที่พลิกน้ำพลิกมหาสมุทรได้เลย หากเจ้าปล่อยออกมาเต็มกำลังก็สามารถทำภูเขาลูกนี้ให้ราบเป็นหน้ากลองได้”

“เจ้าก็รู้ดีนี่”

“แต่แล้วอย่างไร ?” ม่อยิ้มบาง “สุดท้ายพลังเช่นนั้นก็ไร้ผล มีแต่พลังจิตที่ยั่งยืน พวกเจ้าเผ่ามนุษย์ติดหล่ม ใฝ่หาแต่พละกำลังเช่นนั้น เคยเข้าใจความสำคัญของการมีพลังจิตที่กล้าแข็ง พวกเจ้ามัวแต่หลงระเริงอยู่กับสิ่งจับต้องได้ ก้าวเดินผิดทางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าร่างกายเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงไหน สุดท้ายก็เป็นเพียงภาพลวง”

“ไร้สาระ !” หลู่ชิงกวงโพล่งเสียงดัง

สิ้นเสียงตะโกน คลื่นพลังสีดำม่วงก็พุ่งออกตากร่าง มุ่งเข้าใส่ศัตรูอย่างไร้เสียง

ซูเฉินรู้ว่านี่คือวิชาระลอกคลื่นอันเลื่องชื่อของหลู่ชิงกวง

วิชาระลอกคลื่นมีพลังการสะเทือนที่รุนแรงมาก เมื่อใช้สามารถใช้แรงกระแทกโจมตีศัตรูได้ ดังนั้นพลังที่ถูกส่งออกไปคราแรกจะไม่ได้มากมาย แต่เมื่อซ้อนทับกันหลายชั้นก็จะให้ผลแรงขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อทวีคูณไปเรื่อย ๆ หากมีเวลามากพอก็จะสามารถทบเป็นความแรงระดับสูง อีกทั้งยังสามารถใช้วิชานี้ได้กับทุกคน กระทั่งกายวิญญาณก็ยังไม่อาจหลบเลี่ยงได้

ม่อเป็นเผ่าวิญญาณ วิชาโบราณอาร์คาน่ามีร่างไร้สรรพสิ่ง วิชาอื่นอาจไร้ผล แต่วิชาระลอกคลื่นต้องใช้ได้ผลแน่

แต่ถึงกระนั้น วิชาที่ควรใช้ได้ผลกลับเหมือนโยนหินลงน้ำ มันผ่านร่างม่อไป เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นเล็กน้อย แต่กลับไร้ผลใดอีก