บทที่ 172 ขอบคุณ

คู่ชะตาบันดาลรัก

หยางชูมองนางอยู่นานแล้วพูดออกไปว่า “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าท่านไม่ได้อยากช่วยข้า”

หมิงเวยชะงักแล้วหัวเราะออกมา “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ นั่นเป็นภาพลวงตาของท่าน ข้าแค่คิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรรีบร้อนท่านคิดว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บ้าง ผู้เป็นใหญ่ในใต้หล้า ผู้เป็นใหญ่ในวังหลัง องค์หญิงผู้ก่อตั้งอาณาจักร แล้วยังมีผู้เชี่ยวชาญในเสวียนตูกวันอีก แค่พวกเราเพียงสองคนจะเปิดเผยความลับเช่นนี้ได้หรือ”

“…..”

เห็นเขาเป็นเช่นนั้นหมิงเวยก็ทนไม่ไหว “ท่านอยากสืบหาความจริงจะต้องมีการเตรียมพร้อมมากมาย ถึงแม้ท่านจะอยู่ในหวงเฉิงซือ แต่เบื้องบนก็ยังมีผู้บัญชาการหวงเฉิงซืออยู่ไม่ใช่หรือ หากท่านให้คนของหวงเฉิงซือสืบหาความจริงของเรื่องนี้ ท่านสามารถรับประกันได้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นจะไม่รู้เรื่อง หวงเฉิงซือเป็นหูตาของฮ่องเต้ หากมีผู้บัญชาการหวงเฉิงซือรู้อย่างไรเสียฝ่าบาทก็ต้องรู้ ท่านคงไม่อยากจะเคลื่อนทัพออกศึกไม่ทันคว้าชัย แต่ตัวมาตายเสียก่อนหรอกนะ”

“…..”

“อีกอย่างข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ!” นางถอนหายใจ “พลังของข้าในตอนนี้อ่อนแอเกินไป แค่เรื่องกลุ่มดาวพวกนั้นข้ายังกังวลอยู่เลยว่าพวกเขาจะมาสังหารข้าเมื่อไรกัน! ข้าไม่มีความสามารถในการปกป้องตัวเองแล้วข้าจะมีกะจิตกะใจทำเรื่องอื่นได้อย่างไรเล่า”

นางมองหยางชูแล้วพูดต่อว่า “มันไม่ง่ายเลยที่จะเพิ่มพลัง! ข้าไม่ได้มีโชคชะตาเช่นตัวฝู ทำได้เพียงรวบรวมสมุนไพรอันมีค่าจำนวนหนึ่งหากข้าพบสมบัติล้ำค่าของเสวียนเหมินได้คงจะดี”

หยางชูมองนางอยู่สักพักแล้วยิ้มออกมา “ต้องการเจรจาเงื่อนไขอะไรก็พูดออกมาเถอะ จะมาทำท่าทำทางทำไมกัน” เขาก้มหน้าลงจัดเครื่องประดับตรงเอวให้เข้าที่ “พูดมา ท่านต้องการสิ่งใด”

เห็นเขาอารมณ์ไม่ค่อยดีหมิงเวยจึงยิ้มอย่างสดใส “ทำไมพูดเช่นนั้นเล่า ตอนนี้ข้าแค่มีปัญหาเล็กน้อยเท่านั้นเอง…”

หยางชูมองนางอย่างเย็นชา “ตกลงท่านจะพูดหรือไม่พูด”

หมิงเวยรีบตอบ “ในเมื่อท่านพูดมาเช่นนี้งั้นข้าไม่เกรงใจล่ะ ตอนนี้ความสามารถของข้าค่อนข้างต่ำพลังน้อยเกินไป หากท่านสามารถหาสมบัติล้ำค่าของเสวียนเหมินมาได้จะช่วยเพิ่มพลังให้ข้าได้ในช่วงเวลาสั้นๆ หากท่านต้องการสืบหาความจริงเรื่องนี้ความเป็นไปได้ก็จะเพิ่มขึ้น”

“ของแบบไหนถึงเรียกว่าสมบัติล้ำค่าของเสวียนเหมิน”

หมิงเวยครุ่นคิด “อาจเป็นยาวิเศษหรือเป็นสิ่งของที่มีพลังมหาศาล ของพวกนี้จะถูกพบโดยคนในเสวียนเหมิน และจะถูกยกย่องให้เป็นสุดยอดสมบัติแน่นอน ข้าไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับโลกของเสวียนเหมินเท่าไรนัก หากท่านช่วยไปสอบถามหน่อยล่ะก็…”

“ได้” หยางชูตอบรับทันที “ข้าจะไปสอบถามให้ท่าน”

หมิงเวยยิ้มกว้าง “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ!”

หยางชูมองอีกฝ่ายที่เผยรอยยิ้มสดใสก็เบนหน้าไปทางอื่นและพูดเสียงแผ่วเบา “ท่านนี่ช่าง…”

หมิงเวยไม่ได้ยินประโยคหลัง แม้ว่านางจะได้ยินมันชัดเจนแต่ก็ต้องทำเป็นไม่ได้ยิน หากต้องการใช้ประโยชน์จำเป็นต้องใช้ไม้อ่อนเรื่องนี้หมิงเวยเข้าใจดี

“จริงสิ ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับใต้เท้าเจี่ยงเป็นอย่างไรบ้าง” หยางชูมองนางอย่างระวังตัว

หมิงเวยรีบพูดออกไป “ข้าไม่ได้หมายความถึงเรื่องอื่น หากต้องการสืบเรื่องนี้เราไม่ควรใช้สายลับของหวงเฉิงซือ แต่ต้องใช้ช่องทางอื่น ใต้เท้าเจี่ยงเชี่ยวชาญเรื่องการสืบคดีมากที่สุดไม่ใช่หรือ”

ไม่ใช่แน่นอน! หยางชูสังหรณ์ใจว่านางไม่ได้พูดความจริง แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาโจมตีได้ เขารู้สึกรำคาญใจตนเองอย่างมาก

เขารู้สึกว่าในสายตาของนางเจี่ยงเหวินเฟิงสำคัญกว่าตน ให้ตายเถอะ เจี่ยงเหวินเฟิงแข็งแกร่งกว่าเขาตรงไหนกัน

“ความสัมพันธ์ของข้ากับเขาก็ไม่เลว แต่ก็ไม่ได้เป็นการส่วนตัวอะไร” หยางชูตอบอย่างเบื่อหน่าย “คนผู้นี้แท้จริงแล้วไม่ค่อยสนิทสนมกับผู้ใด ทุกคนในหน่วยต่างพูดกันว่าเขาเป็นขุนนางผู้โดดเดี่ยว แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น หากเขาเป็นขุนนางผู้โดดเดี่ยว เขาควรจะจริงจังกับทุกเรื่องมากกว่านี้ แต่บางเรื่องเขาก็จัดการได้…อย่างไรก็ตามข้าไม่เชื่อใจว่าเขาจะช่วยข้าได้”

“เอาล่ะ” หมิงเวยผิดหวังเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นเราต้องรอโอกาสเจ้าค่ะ ท่านอยู่ในหวงเฉิงซือได้ไม่นาน รากฐานยังห่างไกลนัก หากดำเนินการเรื่องนี้ในตอนนี้จะเป็นการรีบร้อนจนเกินไป” หยางชูพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็ฟังคำพูดของนาง

“ตอนนี้ยังไม่เช้า ท่านรีบกลับไปเถอะเจ้าค่ะ” นางพูดเสียงเบา “ไม่เช่นนั้นอาหว่านคงเป็นห่วงได้”

ในที่สุดหยางชูก็ยอมที่จะกลับไป หลังจากยืนได้สักพักเขาก็หันกลับมาพูดว่า “คดีของตระกูลหมิงได้ข้อสรุปแล้วความพยายามของท่านไม่สูญเปล่าเขารับปากว่าจะไว้ชีวิตสตรีและเด็ก”

หมิงเวยพยักหน้า “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ” แล้วนางก็พูดอีกว่า “คุณชายตระกูลหลีมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยใช่หรือไม่ ข้าขอรบกวนท่านอีกสักเล็กน้อยได้หรือไม่เจ้าคะ”

“อะไรหรือ”

หมิงเวยพูดเสียงเบา “เขาทำร้ายพี่สาวคนโตของข้า หากเขาต้องตายอย่าปล่อยให้เขาตายง่ายๆ หากเขาไม่ถูกตัดสินให้ตายก็อย่าให้เขาเป็นบุรุษไปตลอดชีวิต!”

หยางชูพยักหน้า “เรื่องเล็กน้อย”

“ส่วนฉีตงจวิ้นอ๋อง อย่าปล่อยให้เขาตายง่ายเพียงนั้น เขามีส่วนที่ทำให้ท่านแม่ต้องตายด้วย!”

“เรื่องนี้ยังต้องให้ท่านพูดอีกหรือ” หยางชูพูด “ข้าส่งคนไปทักทายเขานานแล้ว”

หมิงเวยคารวะเขาอีกครั้ง “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”

เห็นนางเป็นเช่นนี้หยางชูก็ทำตัวไม่ถูก “ปกติข้าไม่เห็นท่านสุภาพขนาดนี้…”

“ปกติก็คือปกติ ความเมตตาของท่านข้าจะจดจำไว้ในใจ”

หยางชูหันหน้าไปทางอื่น “พูดมากมายขนาดนั้นไปเพื่ออะไร ข้าไปล่ะ” เขาลังเลอยู่ชั่วครู่จากนั้นก็ยื่นนกหวีดให้นาง “เรื่องความปลอดภัยท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าส่งองครักษ์เงามาคุ้มครองท่าน มีปัญหาอะไรมาหาข้าได้ หากท่านเป่าสิ่งนี้คนของข้าจะรีบมาหา”

“ได้เจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นว่าคนตระกูลจี้ที่อยู่จวนข้างเคียงกำลังตามหาพวกเขา หยางชูจึงกระโดดหายเข้าไปในความมืด จี้เสียวอู่ที่ถูกสกัดจุดเป็นเวลาครึ่งชั่วยามเห็นเขาจากไป เขาก็กลอกตาไปมาอย่างหมดหวัง ถ้าจะจากไปแล้วช่วยมาปลดจุดเลือดลมบนร่างกายให้เขาก่อนไม่ได้หรือ!

ไม่รู้ว่าหยางชูได้ยินเสียงในใจของเขาหรือเปล่า เพราะมีใบไม้ปลิวไปมาในเวลากลางคืนและกระทบบนร่างกายเขา

จี้เสียวอู่รู้สึกเจ็บที่ไหล่ของเขาแล้วเขาก็พ้นจากสถานการณ์ที่ไม่สามารถขยับร่างกายหรือพูดคุยได้

เขาดึงผ้าที่อุดหูออกแล้วถามหมิงเวยว่า “เจ้ากับเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน”

หมิงเวยตอบอย่างไม่ยี่หระ “ความสัมพันธ์อะไรหรือ”

จี้เสียวอู่ไม่เชื่อนางแม้แต่น้อย “เจ้าคิดว่าข้าไม่มีตาหรือไง พวกเจ้านั่งใกล้กันขนาดนั้น ตอนหลังเขาดูเหมือนเขินอายด้วย บอกมาเขามาสารภาพรักกับเจ้าใช่หรือไม่”

“….” เด็กน้อย เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว!

หมิงเวยเตรียมจะกลับไปแต่ถูกจี้เสียวอู่รั้งตัวไว้ “ถึงข้าจะไม่ต้องการเจ้า แต่ข้าก็ไม่ยอมให้ตนเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย! ข้าจะบอกเจ้าให้เขามีดวงกินภรรยาแค่หมั้นหมายก็ทำให้ฝ่ายหญิงถึงแก่ชีวิตได้ …”

จู่ๆ หมิงเวยก็พูดขึ้นมา “พี่ห้า”

จี้เสียวอู่สับสนในน้ำเสียงของนาง “อะ อะไร”

“ขอบคุณที่ท่านเป็นห่วงข้าขนาดนี้ถึงแม้ท่านไม่ต้องการข้า รังเกียจข้า คิดจะทอดทิ้งข้า แต่ก็เป็นห่วงข้าขนาดนี้”

“….” จี้เสียวอู่รู้สึกสับสนเล็กน้อยประเด็นของคำพูดนี้คืออะไร นางขอบคุณเขาที่เป็นห่วงนางหรือ เหตุใดฟังดูเหมือนกล่าวหาว่าเขาไร้น้ำใจไร้คุณธรรม

“เสียวอู่ เจ้าทำอะไรน่ะ” ในที่สุดคนที่จวนข้างเคียงก็พบพวกเขา จี้หลิงยืนอยู่ข้างกำแพงมองพวกเขาที่อยู่บนหลังคา

“เจ้าจะขึ้นไปข้างบนก็ขึ้นไป แต่พาน้องหญิงขึ้นไปทำอะไรบนนั้นด้วย ต้องการทำให้คนตกใจใช่หรือไม่”

จี้เสียวอู่ตะลึงไปชั่วขณะจากนั้นก็โต้กลับไปว่า “น้องหญิงปีนขึ้นมาก่อน!”

จี้ฮูหยินได้ยินการเคลื่อนไหวฝั่งนี้จึงดุว่ากลับไป “เสียวอู่เจ้าปัดความรับผิดชอบอีกแล้ว! รังแกน้องสาวเช่นนี้ละอายใจบ้างหรือไม่ รีบลงมาเร็วเข้า! ไม่เช่นนั้นเย็นนี้กินหมูผัดหน่อไม้นะ!”

จี้เสียวอู่รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างอธิบายไม่ได้ เขาทำผิดอะไร ถูกคนกดจุดเลือดลมปราณแล้วยืนโง่ทั้งคืนเพื่อเฝ้าดูคู่หมั้นของตนกับใครบางคนซ้ำยังถูกขู่ว่าจะเตะก้นอีก

…………………