บทที่ 173 ออกจากคุก

คู่ชะตาบันดาลรัก

ด้วยหลักฐานการก่ออาชญากรรมในคดีของฉีตงจวิ้นอ๋อง ในที่สุดก็ได้ผลสรุปจากการพิจารณาคดีโดยสามศาลสูงได้แก่ศาลต้าหลี่ กรมอาญาและสำนักตรวจการ

หลังจากนั้นไม่นานก็มีสาส์นที่กราบทูลหลังผ่านสำนักงานเสนาบดีต่อหน้าพระพักตร์เพื่อตัดสินโทษประหารชีวิต

ฉีตงจวิ้นอ๋องเป็นหัวหน้าผู้กระทำความผิดถูกตัดสินด้วยการประทานสุราพิษ ส่วนผู้สมรู้ร่วมคิดให้ประหารด้วยการตัดหัว แขวนคอและเนรเทศ ทรัพย์สินของครอบครัวถูกยึด ส่วนสมาชิกในครอบครัวที่เป็นหญิงจะถูกปล่อยตัว

ในเรือนจำ ฉีตงจวิ้นอ๋องยังไม่ทันฟังคำสั่งของฮ่องเต้จบ ในหัวมีเสียงหึ่งๆ จนเขาสับสนมึนงง ฉีตงจวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้นแล้วเขาก็เห็นสุราพิษที่คนนำเข้ามา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัว

“ไม่ๆ!” เขารีบวิ่งไปที่ประตูห้องขัง แต่ถูกเจ้าหน้าที่ด้านหน้าขวางเอาไว้

“เจี่ยงเหวินเฟิง!” ผมเผ้าของเขากระเซอะกระเซิงดูราวกับคนบ้า “ท่านบอกว่าหากสารภาพแล้วฝ่าบาทจะให้ความเมตตาไม่ใช่หรือ!”

เจี่ยงเหวินเฟิงยืนอยู่นอกห้องขังมองเขาด้วยสีหน้าเฉยเมย “ท่านอ๋อง ข้าน้อยบอกแล้วว่าฝ่าบาททรงมีพระเมตตา แต่สิ่งที่ท่านก่อนั้นเป็นความผิดฐานทรยศ ฝ่าบาทจึงปล่อยสมาชิกในครอบครัวที่เป็นหญิงซึ่งถือว่าเป็นพระเมตตาอันสูงส่งแล้ว”

“ไม่นะ!” ใบหน้าของฉีตงจวิ้นอ๋องที่ถูกจับนั้นบิดเบี้ยว ลูกตาแทบปูดออกมา เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะหลุดออกไปให้ได้ “เปิ่นหวางไม่อยากตาย เปิ่นหวางไม่อยากตาย! ทั้งหมดนี่เป็นเพราะนายท่านสามตระกูลหมิงยุยง เปิ่นหวางแค่ฟังคำหลอกลวงของเขา…”

ขันทีที่ประกาศราชโองการถอนหายใจ “นักโทษเจียงคุนคัดค้านราชโองการ ประทานสุราพิษ!”

“ขอรับ” ผู้คุมทั้งสองจับตัวฉีตงจวิ้นอ๋องให้อยู่นิ่งๆ บีบคางของเขาแล้วป้อนสุราพิษเข้าทางปาก แม้ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง แต่สุราพิษแก้วนั้นก็ไหลผ่านลำคอลงไป ผู้คุมทั้งสองปล่อยมือและมองเขาล้มลงกับพื้น

หลายวันมานี้ฉีตงจวิ้นอ๋องได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก ตอนนี้สุราพิษได้ไหลลงท้องไป เขากลิ้งไปมาบนพื้นรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดแทง

ตอนแรกเขาร้องไห้และขอความเมตตา แต่ต่อมารู้ว่าเมื่อเขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้จึงสาปแช่งออกมาดังๆ

“เจียงช่าว เจ้าแสร้งทำเป็นฮ่องเต้ผู้มีเมตตา แต่กลับสังหารคนในครอบครัว!ทายาททั้งสี่ของฮ่องเต้องค์ก่อน สามคนไร้ทายาท เจ้ายังมีหน้าไปพบฮ่องเต้องค์ก่อนที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วอีกหรือ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมานั่งบนบัลลังก์ เหตุใดท่านลุงถึงไร้ทายาทสืบสกุลงั้นหรือก็เพราะว่าเจ้าฉวยโอกาสที่วุ่นวาย…”

ขันทีผู้ประกาศราชโองการได้ยินเช่นนั้นเห็นท่าไม่ดีจึงตะโกนสั่งไปว่า “ปิดปากเขาซะ! นักโทษเจียงคุนพูดจาสะเปะสะปะ กล้าใส่ร้ายฝ่าบาท! ”

ปากของฉีตงจวิ้นอ๋องถูกปิดอย่างรวดเร็วจากนั้นพิษสุราก็เริ่มออกฤทธิ์ เลือดออกเจ็ดทวาร เขาส่งเสียงอู้อี้จากนั้นก็ค่อยๆ แน่นิ่งไป ยามเสียชีวิตดวงตาของเขานั้นเบิกกว้าง เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและความสิ้นหวัง

เจี่ยงเหวินเฟิงถอนหายใจอย่างเงียบๆ และกล่าวว่า “นักโทษเจียงคุนถูกประหารชีวิต เชิญกงกงรายงานต่อฝ่าบาท”

ขันทีผู้ประกาศราชโองการตอบกลับอย่างสุภาพ “ข้าน้อยจะกลับวังไปทูลต่อฝ่าบาท ใต้เท้าเจี่ยงที่นี่รบกวนท่านจัดการด้วย”

เมื่อคนเหล่านี้ถอยห่างออกไปก็มีเสียงเบาถามขึ้นจากความมืด “หายแค้นหรือยัง”

แต่เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงของสตรี “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”

“ไปกันเถอะ!” พวกเขาเดินออกไปทางประตูลับ แสงจากดวงอาทิตย์ข้างนอกกำลังส่องลงมาราวกับอยู่คนละโลกกับด้านในประตู เด็กสาวถอดผ้าคลุมศีรษะออกเผยให้เห็นใบหน้าของหมิงเวย

หยางชูถามนาง “ต้องการไปหานายท่านสามหรือไม่”

หมิงเวยส่ายหน้า “ตอนนี้เขากลายเป็นบ้าไปแล้วมีอะไรให้น่าชมกัน”

ตอนอยู่ที่ตงหนิง นางใช้วิชากับนายท่านสาม และเขาก็ถูกทรมานอย่างบ้าคลั่งตลอดการเดินทาง ฮูหยินสามและบุตรสาวได้ละทิ้งทุกอย่างแล้วไปเกิดใหม่แล้ว นางจึงไม่ต้องการเสียเวลากับนายท่านสามอีก

เมื่อคิดดูอีกทีนางก็ถามออกไป “พวกท่านได้ถามอะไรจากเขาบ้างหรือไม่เจ้าคะ”

หยางชูตอบ “องค์กรนี้ค่อนข้างมีเส้นสาย พวกเราใช้ยาคายความลับกับนายท่านสาม แต่ก็ได้ข้อมูลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

“อย่างเช่นอะไรหรือเจ้าคะ”

“จากที่นายท่านสามกล่าวมาเขาได้ติดต่อกับองค์กรนี้หลังจากการสอบประเมิน จากการตรวจสอบเขาควรอยู่สามอันดับแรก แต่เมื่อประกาศรายชื่อเขาถูกจัดให้อยู่ลำดับที่สิบ นายท่านสามผิดหวังมาก และในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้พบกับคนเหล่านี้”

“แล้วสถานการณ์ขององค์กรและที่ตั้งของพวกเขา…”

หยางชูส่ายหน้า “ข่าวที่เขารู้มาใช้ไม่ได้อีกต่อไป ตั้งแต่เขาแกล้งตายแล้วกลับมาที่ตงหนิง เขาใช้ชีวิตราวกับคนที่ตายไปแล้วจึงมีการติดต่อกับองค์กรน้อยมาก ในระยะเวลาสิบปีทั้งที่ตั้งและวิธีการติดต่อในเมืองหลวงได้เปลี่ยนไปนานแล้ว”

“ช่างน่าเสียดายจริง…”

“แต่อย่างไรก็ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อยู่อย่างหนึ่ง” หยางชูมองนาง “สิ่งของยืนยันตัวตนของพวกเขาดูเหมือนจะมีวิธีการติดต่ออยู่”

หมิงเวยพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

หยางชูเลิกคิ้ว “ท่านจะไม่นำสิ่งนั้นออกมาหรือ ในเมื่อมีวิธีการติดต่อพวกเขาจะต้องหาวิธีมาชิงมันกลับไปแน่ หากท่านพกติดกายไว้จะเป็นอันตรายได้”

หมิงเวยเหลือบมองเขา “ท่านคิดว่าข้าโง่งั้นหรือ ถึงไม่มีของสิ่งนั้น หากพวกเขาต้องการตรวจสอบมีหรือจะตรวจสอบไม่พบ”

“….” หยางชูตัดสินใจไม่พูดปัญหานี้กับนางต่อ คนผู้นี้มีเป้าหมายให้ผู้อื่นสำลักตายเสมอ

“ส่วนทางฝั่งตระกูลหมิง นายท่านสองกับนายท่านสามถูกตัดสินให้ประหารซึ่งหน้า ส่วนนายท่านใหญ่และนายท่านห้าที่อยู่เมืองหลวงถึงไม่ได้เข้าร่วมโดยตรง แต่พวกเขามีการรายงานข้อมูล และติดต่อกับผู้กระทำผิดจึงถูกตัดสินโทษประหารเช่นกัน ส่วนนายท่านสี่ที่รู้เห็นทุกอย่างแต่ไม่รายงาน แต่เพราะเขาสำนึกผิดจึงอนุญาตให้ไถ่ถอนตนเองได้ ส่วนคนที่เหลือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ตามกฎหมายจะไม่ถูกตัดสินโทษ และทรัพย์สินส่วนหนึ่งของครอบครัวจะถูกส่งคืน”

หมิงเวยถามเขา “นายท่านสี่ไถ่ถอนตัวเองเสร็จพวกเขาก็ไม่มีทรัพย์สินอะไรแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ”

หยางชูพยักหน้า “ทรัพย์สินที่พวกเขาได้คืนมีไม่มากนัก”

หมิงเวยถอนหายใจ “ข้าขอยืมคนของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ”

…………

ยามออกจากคุกหมิงเฉิงรู้สึกเหมือนหลุดมาอีกโลกหนึ่ง เขาได้รับการดูแลที่ไม่ได้เลวร้ายนัก ห้องคุมขังที่อยู่สะอาดดี อาหารที่นำมาให้ในทุกๆ วันก็สดใหม่ แต่สถานที่อย่างคุกหลวงทั้งมืดมิดและมีกลิ่นอับ สิบวันที่ถูกขังอยู่ที่นั่น คนที่ร่างกายอ่อนแอเกรงว่าจะป่วยหนักเอาได้

“พี่สี่ พวกเราจะไปที่ใดกันหรือ” เสียงของน้องเก้าดังกระทบหูของเขา

เขายิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วก้มลงพูดปลอบใจไปว่า “พวกเรารอท่านแม่กับอาเซียงก่อน…”

“เฉิงเอ๋อร์!” เขาได้ยินเสียงเรียกเมื่อหันกลับไปก็เห็นมารดาของตน ตั้งแต่ถูกพาออกเดินทาง เขาก็ไม่เห็นมารดากับน้องสาวเลย ยังไม่ถึงสองเดือนเขาก็แทบจำพวกนางไม่ได้

เสื้อผ้าที่พวกนางสวมใส่นั้นเก่า ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าแห้งเหี่ยว โชคดีที่พวกนางยังดูมีชีวิตชีวา ดูเหมือนพวกนางจะไม่ได้รับความทุกข์ทรมานทางร่างกายแต่อย่างใด

“ท่านแม่!” หมิงคุนตะโกนเรียกแล้ววิ่งไปหามารดาและพี่สาว ฮูหยินสี่กอดบุตรชายคนเล็กแล้วร้องไห้ออกมา หมิงเฉิงเดินเข้าไปหาทั้งสี่คนกอดกันและร้องไห้ หลังจากร้องไห้ไปสักพักหมิงเฉิงก็ถามมารดา “ท่านพ่อล่ะขอรับ”

ฮูหยินสี่เช็ดน้ำตาและตอบไปว่า “ท่านพ่อของลูกถูกตัดสินเนรเทศและอนุญาตให้ไถ่ถอนตนเอง แม่เพิ่งไปพบเจ้าหน้าที่มาแล้วนำทรัพย์สินที่ได้คืนไปไถ่ถอนพ่อของเจ้า เจ้าหน้าที่บอกว่าวันรุ่งขึ้นค่อยมารับเขา”

หมิงเฉิงพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปหาที่พักกันก่อนเถอะขอรับ ลูกมีเพื่อนร่วมชั้นที่สนิทอยู่สองสามคน ลูกจะไปขอยืมเงินพวกเขาสักก้อน เมื่อหาที่ปักหลักได้แล้วลูกจะไปหางานทำขอรับ”

หลังออกจากคุกแล้วจะทำอะไรต่อไป หมิงเฉิงคิดมาหลายรอบแล้วเขารู้หนังสือ มีมือมีเท้า ถึงไม่สามารถเข้าสอบคัดเลือกได้แล้ว แต่ก็ยังสามารถหางานเลี้ยงมารดาและน้องๆ ได้

ในตอนนั้นเองก็มีรถม้ามาจอดอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มีคนกระโดดลงจากรถม้าและเข้ามาหาพวกเขา “ไม่ทราบว่าท่านคือคุณชายหมิงเฉิงหรือไม่ขอรับ”

หมิงเฉิงชะงัก “ข้าคือหมิงเฉิง ท่านคือ…”

คนผู้นี้อายุประมาณสามสิบต้นๆ รอยยิ้มประดับบนใบหน้าของเขาและท่าทางที่ดูนอบน้อมก่อนกล่าว “เป็นคำสั่งจากนายของข้าน้อยให้มารับคุณชายและครอบครัวขอรับ”

……………….