บทที่ 174 ปักหลัก

คู่ชะตาบันดาลรัก

หมิงเฉิงสงสัยถึงแม้เขาจะมีสหายคนสนิทในเมืองหลวง แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าตนออกจากคุกเมื่อไร…

“นายของท่านคือผู้ใดงั้นหรือ”

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายไร้ความยินดี คนผู้นั้นจึงหยุดชะงักแล้วตอบไปว่า “นายของข้าน้อยแซ่จี้ขอรับ”

หมิงเฉิงงงวยคนของตระกูลจี้งั้นหรือ เขาไม่เห็นจำได้เลย!

ทันใดนั้นฮูหยินสี่ก็นึกขึ้นมาได้ นางดึงหมิงเฉิงเข้ามาแล้วกระซิบบอก “ตระกูลของท่านป้าสาม”

ครอบครัวของท่านป้าสามงั้นหรือ หมายความว่า…แววตาของหมิงเฉิงมีความสับสน

หมิงคุนถามตรงๆ ไปว่า “พี่เจ็ดให้คนมารับพวกเราหรือ”

หมิงเฉิงเห็นอีกฝ่ายไม่กล่าวปฏิเสธอะไร ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ตงหนิง เขาก็ก้าวขาไม่ออก

เมื่อคิดจะเอ่ยคำปฏิเสธออกไปอีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาว่า “คุณชายสี่ไม่ต้องละอายใจขอรับ นายของข้าน้อยบอกว่ากรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา พี่น้องควรยื่นมือช่วยเหลือ นี่เป็นความปรารถนาดีที่ต้องตอบแทน เมื่อจบเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรต้องข้องเกี่ยวกันแล้ว”

หมิงเฉิงก้มหน้ามองน้องชายและน้องสาวที่ร่างกายอ่อนแอแล้วกัดฟันพูดไปว่า “ขอบพระคุณมากขอรับ”

แล้วทั้งสี่คนก็ขึ้นรถม้าเดินทางไปได้ครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุดลง “เชิญคุณชายขอรับ” หมิงเฉิงพาครอบครัวของตนลงจากรถม้า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นเรือนหลังเล็กหลังหนึ่ง

คนผู้นั้นเปิดประตูและพาพวกเขาเข้าไปด้านในพร้อมกับยื่นโฉนดแผ่นหนึ่งให้พวกเขา “เรือนหลังนี้นายของข้าน้อยได้จ่ายค่าเช่าให้เป็นเวลาสามเดือน นอกจากนี้ในครัวยังมีข้าวสารอาหารแห้งให้ซึ่งพอทานได้สองเดือนแล้วเงินก้อนนี้ พวกท่านเพิ่งออกมาจากที่นั่นควรไปร้านยาเพื่อดูอาการจะดีกว่า ออกจากซอยนี้ไปจะเป็นถนนสายหลักผิงอันคงทำมาหากินได้ไม่ยาก” หมิงเฉิงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างรอบคอบถึงเพียงนี้เขาก้มศีรษะขอบคุณ

อีกฝ่ายยิ้มและพูดว่า “ผู้มีจิตใจดีย่อมได้รับสิ่งที่ดี ข้าน้อยขอตัวขอรับ”

เมื่อคนผู้นั้นจากไปหมิงเฉิงถอนหายใจในใจแล้วคิดจะเรียกน้องสาวน้องชายให้ไปอาบน้ำล้างตัว แต่ไม่คิดว่าเมื่อหันกลับไปจะเห็นใบหน้าอาบน้ำตาของหมิงเซียง

“อาเซียง เป็นอะไรไปเจ็บตรงไหนงั้นหรือ”

หมิงเซียงเช็ดน้ำตาบนใบหน้าแล้วส่ายหัว “น้องไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่…ไม่คิดว่าพี่เจ็ด…”

คืนนั้นแม้นางจะไม่อยู่ในเหตุการณ์ แต่เมื่ออยู่ในคุกกับญาติผู้หญิงคนอื่นๆ ฮูหยินหกกลายเป็นบ้า ตะโกนด่าเช้าเย็นนางจึงรู้เรื่องราวทุกอย่าง

หมิงคุนถามว่า “พี่สี่ หลังจากนี้พวกเราจะไม่ได้พบพี่เจ็ดแล้วงั้นหรือ” หมิงเฉิงอ้าปากไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้

ฮูหยินสี่พูดเสียงเบา “ไม่ได้พบกันน่ะดีแล้ว นางอยู่ตระกูลจี้ถึงจะพูดไม่ได้ว่าร่ำรวยอะไร แต่นางก็เป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง…เพราะฉะนั้นลืมกันและกันเสียเถอะ!”

แล้วทั้งสี่ก็ไปอาบน้ำอาบท่า ทำอาหารทาน จากนั้นก็พักผ่อนโดยไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก

เช้าวันต่อมาหมิงเฉิงเดินทางไปรับบิดา เมื่อเขาไปถึงศาลว่าการ เจ้าหน้าที่กลับบอกว่านายท่านสี่ออกไปแล้ว และทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้เขา

จดหมายฉบับนี้เป็นกระดาษฟางที่ยับยู่ยี่ที่มีร่องรอยเปียกชื้น ตัวอักษรหวัดๆ บนกระดาษถูกเขียนด้วยดินสอถ่าน

อาเฉิงลูกพ่อ พ่อไม่มีหน้าไปพบพวกเจ้าจึงตัดสินใจเดินทางต่อไปข้างหน้า

วันนั้นในห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย ลูกคงรู้แล้วว่าพ่อนั้นขี้ขลาดเพียงใด ที่เสี่ยวชีพูดมานั้นถูกแล้ว พ่อไม่มีคุณสมบัติที่จะทำสิ่งใดหลังจากนี้ ไม่สมควรอยู่ร่วมกับพวกเจ้าเป็นครอบครัวที่มีความสุข

ตลอดสามสิบปีที่ผ่านมาพ่อใช้ชีวิตด้วยความสับสน แต่จากวันนี้ไปพ่อจะชดใช้ความผิดด้วยชีวิตที่เหลือนี้ ลูกดูแลท่านแม่กับน้องๆ ให้ดีแล้วพ่อจะหาเงินและเสบียงส่งไปให้พวกเจ้า

พ่อ

หมิงเฉิงน้ำตาไหล แต่รู้ว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว หลังท่านป้าสามเสียไป บิดาใช้ชีวิตบนความรู้สึกผิดอยู่ทุกวัน เขาไม่สามารถกลับมาอยู่กับครอบครัวอย่างสบายอกสบายใจได้ การทำเช่นนี้คือการไถ่บาปและเพื่อความสบายใจ

ในฐานะลูกเขาทำได้เพียงภาวนาให้บิดาของตนปลอดภัยในสถานที่ที่เขาไม่รู้จัก

……….

ค่ำคืนไม่กี่วันถัดมาหมิงเวยมาพบหยางชูบนหลังคา

“คนที่ควรถูกตัดหัวก็ตัดไปแล้ว คนที่ควรเนรเทศก็เนรเทศไปแล้ว คดีนี้ได้จบลงไปแล้ว” หยางชูพูด “ส่วนคนตระกูลหลีผู้นั้นถูกตัดสินให้เนรเทศ แต่ข้าเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว เขามีชีวิตอยู่ไม่ถึงจุดหมายปลายทางแน่นอน”

หมิงเวยลืมตาและพยักหน้าให้เขา “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”

หยางชูปัดเสื้อผ้าของตนและนั่งลงบนหลังคา “หลายวันมานี้ทุกครั้งที่พบกันท่านเอาแต่พูดคำนี้กับข้า ข้าฟังจนเบื่อแล้วไม่เปลี่ยนเป็นคำอื่นบ้างเลยหรือ”

หมิงเวยยิ้ม “แล้วท่านอยากให้ข้าขอบคุณท่านแบบไหนหรือเจ้าคะ”

เหมือนหยางชูต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อสบตาเข้ากับดวงตาอันสุกสกาวใต้แสงจันทร์ คำพูดทั้งหมดล้วนติดอยู่ในลำคอ

เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยจึงพยายามเปลี่ยนเรื่อง “สมาชิกตระกูลหมิงที่เป็นหญิง ครอบครัวของพวกนางได้มารับกลับไปแล้ว แต่ด้วยสถานะเช่นนั้นคงใช้ชีวิตลำบากในภายภาคหน้า ส่วนครอบครัวของฮูหยินสี่ไม่เหลือแล้ว ตอนนี้นางใช้ชีวิตอยู่กับลูกๆ ทั้งสามคน”

หมิงเวยพยักหน้าเรื่องนี้นางทราบมาก่อนแล้ว คนของเขาที่ตนยืมไปได้กลับมารายงานหลังจัดการเรื่องเสร็จแล้ว

“นายท่านสี่ไม่ได้กลับมา ข้าให้คนไปสืบดูเขาไปทำมาหากินนอกเมืองหลวงแล้ว อีกทั้งทำงานค่อนข้างหนักเอาการ แต่ดูจากสภาพเขาแล้วดูเหมือนเขาจะสบายดีนะ”

หยุนจิงเป็นเมืองใหญ่ และชานเมืองก็มีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าเมืองธรรมดา ถือเป็นสถานที่ที่ดีในการหาเลี้ยงชีพ

เขาพูดต่อว่า “ส่วนพี่สี่ของท่าน หากไปเป็นผู้ช่วยทำบัญชีล่ะก็คงลำบากนิดหน่อย แต่ก็เพียงพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัว”

หมิงเวยถอนหายใจ “เรื่องนี้ข้ารู้แล้วท่านไม่จำเป็นต้องพูดอีกรอบหรอก”

“….”

“ท่านมาหาข้ากลางดึกเช่นนี้ก็เพื่อพูดเรื่องนี้หรือเจ้าคะ”

หยางชูก้มหน้าลงเขานั่งเงียบๆ ไม่พูดอะไร เห็นเขาเป็นเช่นนี้แล้วหมิงเวยก็ใจอ่อน อาจเป็นเพราะเขาอารมณ์ไม่ค่อยดีจึงมาหานางเพื่อหาเพื่อนคุยใช่หรือไม่ ตั้งแต่กลับมาที่เมืองหลวงดูเหมือนเขาจะอารมณ์ไม่ดีบ่อยขึ้น

“ท่านไม่อยากพูดเรื่องอื่นถ้าอย่างนั้นฟังข้าเป่าขลุ่ยดีหรือไม่” หยางชูพยักหน้าเงียบๆ

หมิงเวยจึงหยิบขลุ่ยออกมาและนำไปแตะที่ริมฝีปาก เสียงขลุ่ยสะอื้นแผ่วเบา คลอเคล้าไปกับสายลมยามค่ำคืน ท่วงทำนองช่างสงบราวกับไร้ความรู้สึก

หยางชูฟังอยู่นานเมื่อเห็นว่าผู้คนกลับห้องพักผ่อนไปนางจึงหยุดเป่า

เขารู้ดีว่าตนเองควรกลับได้แล้ว แต่ร่างกายกลับบอกเขาอย่างซื่อสัตย์ว่าไม่ต้องการกลับไปหลังจากต่อสู้กับตนเองอยู่นานในที่สุดก็ลุกขึ้นยืน

“ข้าไปล่ะ เรื่องที่ท่านให้ข้าไปสอบถามได้เรื่องแล้วถ้ามีข่าวที่แน่ชัดเมื่อไรข้าจะมาแจ้งท่าน”

หมิงเวยพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ”

เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดเขาก็กระโดดหายเข้าไปในความมืด หมิงเวยกระโดดลงจากหลังคาแล้วมองไปยังคนที่อยู่ภายในเงาของกระถางดอกไม้ “ฟังพอหรือยัง”

จี้เสียวอู่แค่นหัวเราะ “เจ้ายังมีสามัญสำนึกของความเป็นคู่หมั้นอยู่หรือไม่ เหตุใดจึงต้องนัดเจอกันกลางดึกอยู่เสมอด้วย” หมิงเวยหัวเราะออกมาเบาๆ

จี้เสียวอู่ไม่พอใจ “มีอะไรให้น่าหัวเราะกัน! หากเป็นเช่นนี้อีกข้าจะไปบอกท่านพ่อท่านแม่!”

“แล้วทำไมท่านไม่พูดล่ะ” จี้เสียวอู่ชะงัก

หมิงเวยพูดด้วยความจริงใจ “พี่ห้าท่านช่างเป็นคนดีจริงๆ”

ใบหน้าของจี้เสียวอู่เปลี่ยนเป็นสีแดง เขาเหลือบตามองบน “ไร้สาระ!”

พอหันกลับไปและเดินไปได้สองก้าวเขาก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “จริงสิ ท่านแม่บอกว่าพรุ่งนี้ให้พาเจ้าไปสถานศึกษาด้วย อย่าสายล่ะ” จากนั้นก็เดินหายออกไปอย่างรวดเร็ว หมิงเวยมองเขาเดินจากไปแล้วกลับเข้าห้องตนเอง

สถานศึกษา! เด็กสาวในเมืองหลวงล้วนได้เล่าเรียนหนังสือ ปีนี้นางเพิ่งอายุสิบห้า แล้วยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ยังออกเรือนไม่ได้ ท่านลุงท่านป้าจึงอยากให้นางได้เรียนหนังสือ เช่นนั้นก็ดีได้ไปเรียนก็ออกจากจวนได้ มีอิสระมากกว่าเดิม

………………