ตอนที่ 187 เรื่องราวเป็นผลสำเร็จ

ปฏิญญาค่าแค้น

วันนี้ถึงคราที่หลี่หมิงอวินต้องเข้าปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ หลายวันมานี้ฮ่องเต้ทรงได้รับรายงานความสำเร็จจากทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ แล้วยังได้รับข่าวดีที่ควบคุมโรคระบาดในมณฑลส่านซีได้เป็นที่เรียบร้อย นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีใหญ่หลวง จึงมีบัญชาให้ขันทีเชิญท่านหมอหลวงฮว๋ามาเข้าเฝ้า

“วิธีการปลูกฝีที่เหวินไป่คิดค้นขึ้นมาในครั้งนี้ ไม่เพียงควบคุมสถานการณ์โรคระบาดทางด้านส่านซีไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แต่ยังเป็นประโยชน์อันสำคัญยิ่งต่อการควบคุมโรคฝีดาษในภายภาคหน้าอีกด้วย คุณงามความดีนี้จะต้องได้รับรางวัลตอบแทนอย่างดีแน่นอน…” ฮ่องเต้ตรัสด้วยสีหน้าเบิกบาน

หมอหลวงฮว๋ากล่าวอย่างถ่อมตน “สิ่งเหล่านี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่หมอพึงกระทำพะย่ะค่ะ…”

“เอ้! จะพูดเช่นนี้ก็คงมิถูกต้องเสียทีเดียว ได้ยินมาว่าเหวินไป่เพื่อพิสูจน์วิธีการปลูกฝีนี้ จึงทดลองบนร่างกายของตนเอง ด้วยความกล้าหาญนี้ก็เพียงพอที่จะได้รับรางวัลชื่นชมแล้ว ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันหมอหลายต่อหลายท่านที่คิดค้นวิธีการรักษาโรคฝีดาษ ทว่ามีผู้ใดคิดได้ว่าจะต้องทำให้ตนเองติดเชื้อไปเสียก่อนบ้างล่ะ”

หลี่หมิงอวินซึ่งกำลังรับฟังอยู่ด้านข้างกลับรู้สึกว่าเหตุใดวิธีการปลูกฝีที่ว่าถึงได้เสมือนดั่งที่หลินหลันเคยเอ่ยไว้ เป็นเพราะเหวินฮว๋าไป่กับหลินหลันดันคิดวิธีการเดียวกันขึ้นมาได้โดยบังเอิญ หรือเป็นเพราะ…

จนกระทั่งเสร็จสิ้นราชกิจและออกจากพระราชวัง หลี่หมิงอวินยังคงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย

องครักษ์ที่อยู่บริเวณประตูวังเมื่อเห็นหลี่หมิงอวินจึงกล่าวทักทายเขาอย่างให้ความเกรงใจ

“ท่านใต้เท้าหลี่ วันนี้เสร็จราชการแต่หัววันเลยนะขอรับ!”

หลี่หมิงอวินยกสองมือขึ้นคารวะกลับคืนตามมรรยาทแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ระยะนี้มีข่าวดีมารายงานอย่างต่อเนื่อง ฮ่องเต้จึงทรงมีพระทัยเบิกบานข้าก็เลยได้ผลพลอยได้ไปด้วย…”

ขณะนี้เอง รถม้าที่ดูงดงามคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาทางประตูวัง บรรดาองครักษ์เมื่อเห็นรถคันนั้นจึงทำความเคารพทันที

อู่หยางจวิ้นจู่ที่อยู่ในรถม้าปล่อยผ้าม่านหน้าต่างรถลงช้าๆ นางถึงขั้นสติหลุดไปเล็กน้อย หากนางจำไม่ผิด เมื่อครู่นี้ใต้เท้าวัยหนุ่มท่านนั้นน่าจะเป็นหลี่หมิงอวินสินะ! หลายปีก่อนเคยพบเห็นอยู่ไกลๆ จึงจำรูปร่างหน้าตาไม่ค่อยได้นัก รู้เพียงว่าเขามีความรู้ความสามารถโดดเด่นและเขียนตัวอักษรได้ยอดเยี่ยม เป็นบุคคลผู้มีความสามารถที่ทางราชสำนักควรไขว่คว้าไว้อย่างยิ่ง หลังจากนั้นนางออกจากเมืองหลวงไปซีซานเพื่อรักษาศีลและขอพรแทนไท่โฮ่ว ไม่ทันไรเวลาก็ล่วงเลยไปถึงสองปี กลับมาครั้งนี้กลายเป็นว่าแทบจะได้ยินเรื่องราวของสามีภรรยาคู่นี้ในแต่ละสถานที่ที่ได้ไป ซ้ำยังดูร้อนแรงกว่าปีนั้นเสียด้วย อู่หยางจึงอดประหลาดใจไม่ได้เช่นกัน นางอยากหาโอกาสพบปะหลินหลันอยู่ตลอด ทว่าระยะนี้ไท่โฮ่วสุขภาพไม่ค่อยดีนัก…คาดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบหลี่หมิงอวินที่นี่

วันนี้เขาอยู่ในชุดขุนนางเต็มยศ ช่างดูสง่างามผ่าเผย มุมปากที่โค้งขึ้นเผยรอยยิ้มอย่างเหมาะสมนั่น น้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลนั่น ส่งผลให้หัวใจของนางถึงกับเต้นระรัวขึ้นมาชั่วขณะ เด็กหนุ่มน้อยในตอนนั้นกลายเป็นบุรุษผู้สง่างามในยามนี้ เขาช่างดูสง่างามอ่อนโยนและสุขุมนุ่มลึก

อู่หยางเลิกผ้าม่านขึ้นอีกครั้งแต่กลับไม่เห็นเรือนร่างของหลี่หมิงอวินเสียแล้ว

หลี่หมิงอวินไปยังหุยชุนถางเป็นอันดับแรกตามเคย ทว่าวันนี้กลับเข้าไปยังร้านผ้าไหมของตระกูลเยี่ยเสียก่อนแล้วถึงออกมาหลังสิบห้านาทีต่อมา

เป็นจังหวะเดียวกับที่หลินหลันออกมาส่งเฝิงซูหมิ่นพอดิบพอดี ทุกคนจึงทักทายกัน เฝิงซูหมิ่นกล่าวกับหลินหลันด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นพวกเราก็ตกลงตามนี้แล้วกัน”

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้เลยเจ้าค่ะ”

หลังส่งเฝิงซูหมิ่นเดินจากไปเป็นที่เรียบร้อย หลี่หมิงอวินจึงเอ่ยถาม “พวกเจ้าตกลงอันใดกันไว้แล้วหรือ”

หลินหลันกล่าวขณะเดินไปด้านใน “เจ้ายังจำฮูหยินภรรยาท่านเจ้าเมืองซูโจวได้หรือไม่ ซึ่งก็คือพี่สาวของหลินฮูหยิน”

“จำได้สิ! ทำไมหรือ”

“อีกไม่กี่วันนางจะมาเมืองหลวง หลินฮูหยินก็เลยมาเชิญข้าไปเป็นแขกที่จวนท่านแม่ทัพด้วยตนเอง ก็ถือเสียว่าเป็นการพบปะสหายเก่าด้วยเช่นกัน”

หลี่หมิงอวินอมยิ้มแล้วกล่าว “เช่นนั้นก็ควรไปพบปะสักหน่อย หากมิใช่เพราะนาง เจ้ากับหลินฮูหยินก็คงไม่รู้จักกัน”

“จะว่าเช่นนั้นก็มิได้กระมัง นี่เรียกว่าโชคชะตาต่างหาก ใช่แล้ว เหวินซานเอ่ยว่าเห็นเจ้ามาถึงตั้งนานแล้ว”

ทั้งสองพูดคุยกันขณะเดินเข้าไปยังห้องพักผ่อนซึ่งอยู่ด้านหลัง

ทันทีที่เข้าไปภายในห้อง หลี่หมิงอวินรั้งนางเข้ามาโอบกอดแล้วจรดจุมพิตลงบนกลีบปากบางสีชมพูระเรื่อของนาง

หลินหลันใช้สองมือผลักเขาและกล่าวเชิงตำหนิ “มิเกรงว่าคนอื่นเขาจะเห็นหรือไร”

หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ข้ามีความสุข”

หลินหลันชายตาขึ้นมองเขา เผยรอยยิ้มภายใต้ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันแล้วกล่าว “เรื่องอันใดทำให้เจ้ามีความสุขจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้หรือ”

หลี่หมิงอวินปล่อยมือแล้วหยิบเอาหนังสือฉบับหนึ่งออกมาจากอ้อมอกแล้วยื่นให้นาง “เจ้าดูเองสิ”

หลินหลันเปิดดูแล้วกล่าวด้วยความดีใจ “นี่มันหนังสือถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ภูเขาเหมือง เรื่องนี้เป็นอันสำเร็จลุล่วงแล้วหรือ”

หลี่หมิงอวินหาที่นั่งแล้วหย่อนตัวลงนั่งกล่าวขึ้นด้วยความสุขใจ “เรื่องราวดำเนินไปอย่างราบรื่นมาก วันนี้เป็นวันครบกำหนดคืนเงินกู้สองแสนตำลึงเงิน ข้ากะไว้แล้วว่าแม่มดชราจะต้องนำเงินทั้งหมดที่มีทุ่มทุนลงไปกับเหมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อชำระดอกเบี้ยหลายเดือนก่อนหน้านี้ ข้าคาดว่านางคงนำสิ่งของในห้องคลังทรัพย์สินที่ขายได้ขายออกไปจนเกลี้ยงแล้วเช่นกัน ดังนั้นนอกเสียจากยอมตกลงขายกรรมสิทธิ์เหมืองในส่วนของนางแล้ว นางยังจะทำอันใดได้อีกหรือ”

หลินหลันอ่านหนังสือฉบับนั้นจนจบและอดเลื่อมใสในแผนการของหลี่หมิงอวินมิได้จริงๆ มันคือการค่อยๆ ตะล่อมจากรอบด้านจนกระทั่งถึงวิกฤติการณ์ เริ่มจากการทำให้แม่มดชราสูญเสียเงินที่เก็บหอมรอมริบมาตลอดสามปีกว่า แล้วยังให้แม่มดชราแบกรับเงินกู้ดอกเบี้ยสูงอีกเจ็ดแสนกว่าตำลึง หลังจากนั้นปล่อยข่าวลือเพื่อทำให้หวงฮูหยินไม่กล้าคบค้าสมาคมกับแม่มดชรา ต่อด้วยให้เฉินจื่ออวี้พาหนิงหวังซุนออกไปท่องเที่ยวต่างแดนแล้วค่อยให้คนไปกดดันแม่มดชราถึงที่จนนางรู้สึกจนตรอก เกิดความตื่นตระหนกและต้องจำยอมทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจ จนแทบรอไม่ไหวที่จะขายกรรมสิทธิ์ถือครองเหมืองออกไป…เมื่อแม่มดชราได้รับรู้ว่าที่ตนเองขายทิ้งไปนั่นความจริงแล้วมิใช่เหมืองร้างแต่เป็นเหมืองล้ำค่าราคาสูงลิ่ว แม่มดชราจะมีปฏิกิริยาอย่างไรหรือ

“เยี่ยมไปเลย เพิ่งจ่ายไปเพียงสามแสนหกหมื่นตำลึงเงินก็นำภูเขาเหมืองมาอยู่ในมือได้แล้ว” หลินหลันกล่าวด้วยความดีใจ

“ใช่ที่ไหนกัน!” หลี่หมิงอวินส่ายหน้าและกล่าว “ตามจริงใช้จ่ายทั้งหมดเพียงสองแสนห้าหมื่นตำลึงเงินเท่านั้น ซึ่งในนั้นคือค่าใช้จ่ายในการซื้อกรรมสิทธิ์ถ่ายโอนมาจำนวนหนึ่งแสนแปดหมื่นตำลึงเงิน และห้าหมื่นตำลึงเงินจ่ายในนามนายกู่ชดใช้ให้แม่มดชรา แล้วยังมีสองหมื่นตำลึงเงินให้นายซุน หากมิใช่นายซุนเห็นแก่เงินมีหรือจะยอมกระโดดขึ้นเรือลำเดียวกันโดยการให้ความร่วมมือกับแผนการของข้าเช่นนี้”

“ทว่าบนนี้เขียนไว้ว่าสามแสนหกหมื่นตำลึงเห็นๆ นี่!” หลินหลันกล่าวด้วยความสงสัย

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเลิกคิ้ว “แม่มดชรานำกรรมสิทธิ์ของนางในภูเขาเหมืองโยกย้ายให้นายกู่เป็นอันแรก หลังจากนั้นนายกู่ถึงโอนกรรมสิทธิ์ให้พ่อค้าฮุยโจว และตระกูลเยี่ยจะได้รับการถ่ายโอนกรรมสิทธิ์จากพ่อค้าฮุยโจวนั่นอีกที ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ก็แค่ทำพอเป็นพิธีเพื่อความแนบเนียนไปเท่านั้น ในภายภาคหน้าเมื่อท่านพ่อรับรู้เข้าก็จะสืบสาวมาถึงตัวเราไม่ได้”

หลินหลันเป็นอันเข้าใจได้ในทันที “ที่แท้พ่อค้าฮุยโจวก็เป็นคนที่เจ้าวางแผนไว้เช่นกันสินะ”

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มลึกล้ำ

หลินหลันหรี่ตามองหลี่หมิงอวินพลางส่งเสียง จุ๊ๆ “เจ้าเล่ห์ ช่างเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว มิน่าล่ะท่านตาเจ้าถึงกล่าวว่าหากเจ้าทำกิจการค้าขายก็ลงร่ำรวยไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้า”

ท่าทีของหลี่หมิงอวินยังคงสงบนิ่งแม้เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “กล่าวชมกันเกินไปแล้วขอรับ…”หลินหลันฉีกยิ้มกว้าง พับหนังสือฉบับนั้นแล้วก้าวเดินเข้ามาอย่างใจเย็นก่อนนำหนังสือนั่นส่งคืนให้หลี่หมิงอวิน

หลี่หมิงอวินยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วดันมันกลับคืนไป “ตกลงกันไว้แล้วไม่ใช่หรือว่าเจ้าดูแลเรื่องในบ้าน นี่เป็นภูเขาเหมืองสองลูกที่ทำเงินได้มหาศาล จะว่ามันเป็นขุมสมบัติล้ำค่าก็ไม่เกินไป เจ้าจึงต้องเก็บมันเอาไว้ให้ดีๆ เชียวล่ะ”

หลินหลันจรดจุมพิตลงบนหน้าผากของเขาด้วยความดีอกดีใจ หลี่หมิงอวินจึงถือโอกาสนี้โอบรั้งนางมาอยู่ในอ้อมแขนแล้วจุมพิตหน้าผากมนของนางก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ภายภาคหน้าต่อให้พวกเราไม่ทำงานการอะไรก็ใช้เงินนี่ไม่มีวันหมดเสียแล้ว”

หลินหลันหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าว “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีล่ะ ชีวิตคนเราเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดก็คือ…คนจากโลกนี้ไปแล้วทว่ายังใช้เงินไม่หมดนี่สิ”

หลี่หมิงอวินสะกิดปลายจมูกน้อยๆ ของนางแล้วกล่าวอย่างเอ็นดู “นั่นมันจะไปยากอะไรล่ะ พวกเราก็แค่มีลูกให้เยอะๆ หน่อย ลูกๆ ก็จะได้ให้กำเนิดหลานๆ ลูกหลานมากมายเพียงนี้ยังต้องเกรงว่าจะใช้ไม่หมดอีกหรือ”

“เช่นนั้นมิใช่ว่าพวกเราจะให้กำเนิดกองทัพศัตรูจอมฉกาจหรอกหรือ” หลินหลันหัวเราะคิกคัก หลังจากนั้นทั้งสองจึงเย้าแหย่กันไปมาอย่างสนุกสนาน

ภายในโถงหนิงเฮ๋อ ในที่สุดนางฮานก็สบายใจได้เสียที เงินกู้จำนวนสองแสนตำลึงเป็นอันชำระไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลืออีกห้าแสนตำลึงยังพอมีเวลาอีกสามเดือนถึงเป็นอันถึงกำหนดชำระ สามเดือนสำหรับการดำเนินแผนการก็น่าจะเพียงพอแล้วกระมัง

ระยะที่ผ่านมานี้นางฮานไม่มีใจไปเอาอกเอาใจฮูหยินชราเท่าใดนัก วันนี้รู้สึกอารมณ์ดีจึงไปพูดคุยเป็นเพื่อนฮูหยินชราในช่วงบ่าย ซึ่งระหว่างนั้นก็บ่นโอดครวญไปเล็กน้อย กล่าวว่าเรื่องราวก็ผ่านไปนานเพียงนี้แล้ว ทว่าผู้เป็นสามียังคงใส่อารมณ์กับนางไม่เลิก ฮูหยินชราที่ยึดถือแนวคิดครอบครัวสมานฉันท์กลมเกลียวจึงเรียกหลี่จิ้งเสียนให้อยู่ต่อเพื่อพูดคุยปรับความคิดหลังรับประทานมื้อค่ำ ดังนั้นในคืนเดียวกันนี้หลี่จิ้งเสียนจึงไปห้องของนางฮาน

นางฮานแสดงท่าทีสำนึกผิดอย่างลึกซึ้ง ดวงตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตาขณะกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “น้องมีความผิดมหันต์ ทว่าท่านช่วยเห็นแก่สัมพันธ์ฉันสามีภรรยาในยี่สิบกว่าปีนี้และเห็นแก่หมิงเจ๋อ ให้อภัยน้องด้วยเถิดเจ้าค่ะ!” นางฮานเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงหมิงจูด้วยความชาญฉลาด

เมื่อนึกถึงหมิงเจ๋อ หลี่จิ้งเสียนจึงรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาทันที แม้ว่าหมิงเจ๋อจะสู้หมิงอวินมิได้ ทว่าทุกวันนี้ก็รู้จักพัฒนาตนเองและเริ่มโดดเด่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน เขาจึงค่อยๆ รู้สึกคลายความหงุดหงิดลง อีกทั้งยังนึกถึงคำพูดของมารดาขึ้นมาได้ หลี่จิ้งเสียนแอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ ช่างเถอะๆ ภรรยาหลวงผู้นี้จะเลิกราไปก็คงเลิกรามิได้ หากจะแข็งกร้าวต่อนางเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็มิใช่วิธีการที่ถูกต้องเช่นกัน

“เจ้าปกป้องลูกด้วยความห่วงใย ข้าก็ข้าใจได้ ทว่าหมิงจูนาง…นางช่างมิได้เรื่องได้ราวเกินไปจริงๆ” หลี่จิงเสียนยังคงโกรธเคืองต่อเรื่องของหมิงจูไม่เสื่อมคลาย

นางฮานกล่าวเสียงอ่อน “หลังเกิดเรื่องน้องเองก็ได้ทำความเข้าใจมากขึ้นแล้วเช่นกัน ตามจริงหมิงจูก็มิได้พูดอันใดที่เกินไปด้วยซ้ำ เป็นอู่หยางจวิ้นจู่นั่นต่างหากที่ร้ายกาจไปหน่อยนะเจ้าคะ”

หลี่จิ้งเสียนชะงักมือที่กำลังถือถ้วยน้ำชาไว้แล้วตวัดสายตามองไป “เจ้ายังโต้เถียงแทนนางอีกหรือ อู่หยางจวิ้นจู่จะเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมาอย่างไร้สาเหตุหรือ เรื่องราวมากมายล้วนมีเหตุผลของมันทั้งสิ้น หมิงจูไม่รู้จักสงบปากสงบคำของตนเอง ทำให้คนเขานำมาเป็นความผิดเอาได้ เป็นนางนั่นละที่ไม่ถูกต้อง”

นางฮานเห็นว่าสามีเริ่มพูดอย่างใส่อารมณ์ฉุนเฉียวจึงรีบเอ่ยอย่างประจบประแจงทันที “ใช่ๆ เจ้าค่ะ ท่านพี่สั่งสอนได้ถูกต้องเจ้าค่ะ น้องไม่ดีเองที่ดูแลหมิงจูให้อยู่ในสายตาไม่ได้ วันหน้าวันหลังน้องจะอบรมสั่งสอนนางให้ดีๆ จะมิให้นางกระทำผิดอีกแล้วเจ้าค่ะ”

“หากนางทำผิดอีก ชั่วชีวิตนี้ก็ล้มเลิกความคิดออกเรือนไปได้เลย และเตรียมออกจากบ้านไปเป็นแม่ชีสถานเดียว” หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

นางฮานกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ระทม “ครั้งนี้นางสำนึกผิดแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ เด็กคนนั้นตั้งแต่เล็กจนโตมิเคยได้รับความเจ็บปวดทางร่างกายสักนิด ครั้งนี้เกือบจะถึงขั้นกระดูกหักด้วยซ้ำ เมื่อวานน้องไปดูนาง รอยเขียวช้ำบนขายังเห็นชัดจนน่าตกใจ น้องเลยถามนางว่านางโกรธท่านพ่อหรือไม่ ท่านลองเดาสิเจ้าคะว่านางพูดอันใด”

หลี่จิ้งเสียงไม่แสดงท่าทีใดๆ แต่กลับนึกขึ้นอยู่ภายในใจ

นางฮานสำรวจสีหน้าอาการก่อนจะเอนกายเข้ามาแนบอิงและกล่าวด้วยเสียงออเซาะ “เด็กผู้นี้กล่าวว่าท่านพี่สั่งสอนนางเพราะหวังดีต่อนาง ท่านพี่รักและเอ็นดูนาง นางล้วนเข้าใจดี ครั้งนี้เป็นนางที่กระทำผิดใหญ่หลวงแล้วจะโกรธเคืองท่านพี่ได้อย่างไร เกรงก็แต่ท่านพี่ยังคงโกรธนางและมิต้องการบุตรสาวอย่างนางผู้นี้อีกแล้ว…” นางฮานปล่อยหยาดน้ำตาเอ่อคลอดวงตาจนไหลรินลงมาขณะเอ่ย ช่างกะจังหวะได้ประจวบเหมาะนัก

หลี่จิ้งเสียนเมื่อได้ฟังดังกล่าว คิ้วที่ขมวดเขาหากันในทีแรกจึงผ่อนคลายออกจากกันอย่างไม่รู้ตัว กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น “นับว่าความทุกข์ใจครั้งนี้ไม่สูญเปล่า ไว้กลับไปเจ้าไปบอกนางว่าขอเพียงนางตั้งใจเปลี่ยนแปลงตนเองจริงๆ ก็ยังคงเป็นบุตรสาวของตระกูลหลี่ดังเดิม ส่วนเรื่องงานแต่งของนาง ข้าจะช่วยจัดการให้นางด้วยตนเอง”

นางฮานปาดน้ำตาด้วยความดีใจอย่างถึงที่สุด ยิ่งแสดงอารมณ์อ่อนโยนและท่าทีเสียใจภายหลังมากยิ่งขึ้น “น้องก็รู้อยู่แล้วว่าท่านพี่รักและเอ็นดูลูกๆ ทว่าตอนนั้นน้องหน้ามืดตามัวไปเสียได้! ทำให้ท่านพี่เกือบตกที่นั่งลำบากไปด้วย”

การแสดงละครที่เข้าถึงอารมณ์อย่างยิ่ง ส่งผลให้หลี่จิ้งเสียนถึงกับทอดถอนหายใจออกมาอย่างหนักด้วยรู้สึกสะเทือนใจ “นิสัยปกป้องลูกของเจ้าก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน อย่าลืมล่ะว่าการทำตัวเป็นมารดาผู้ใจดีบางทีจะกลายเป็นการทำลายลูกๆ”

นางฮานปาดน้ำตา “ระยะนี้ท่านพี่มิสนใจไยดีน้อง น้องจึงสำนึกได้และรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งเจ้าค่ะ…”

หลี่จิ้งเสียนพร่ำเอ่ยภายในใจ เจ้ารู้จักนึกเสียใจขึ้นมาบ้างก็ดี

หลังคู่สามีภรรยาไกล่เกลี่ยความในใจกันเป็นที่เรียบร้อย จึงไปล้างหน้าบ้วนปากแล้วขึ้นไปพูดคุยกันต่อบนเตียงนอน

“ท่านพี่ ระยะนี้น้องมัวสนใจแต่กับเรื่องของหมิงจูและหมิงเจ๋อจึงละเลยดูแลทางด้านหลิวอี๋เหนียงไป นางกับเด็กในครรภ์สบายดีใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางฮานนอนหนุนท่อนแขนของสามีแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อืม! สบายดี”

นางฮานกล่าว“พรุ่งนี้ข้าจะให้แม่เหยาซื้อของบำรุงมาไว้เยอะๆ หน่อย ก่อนหน้านี้หลิวอี๋เหนียงมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับโพรงมดลูก เกรงว่าร่างกายอาจยังไม่แข็งแรงสมบูรณ์เสียทีเดียว ควรต้องบำรุงให้มากๆ หน่อยถึงจะดีนะเจ้าคะ”

หลี่จิ้งเสียนอดนึกเรื่องน้ำพิษปรอทขึ้นมามิได้ ความหวาดระแวงยังคงอยู่ภายในใจไม่เลือนหาย เขาหันหน้ามองนางฮานอย่างดุดัน “หากเจ้าเป็นห่วงนางจริงก็ช่วยยุ่งเรื่องของนางให้น้อยๆ เข้าไว้”

นางฮานตะลึงงัน ประโยคดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าผู้เป็นสามีกำลังเตือนนาง นางฮานจึงดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันทีและกล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เหตุใดท่านพี่ถึงพูดเช่นนี้หรือเจ้าคะ”