ตอนที่ 188 ไร้ยางอายแบบไร้ที่สิ้นสุด

ปฏิญญาค่าแค้น

นางฮานไม่คิดจะสนใจคำเตือนของหลี่จิ้งเสียน วันรุ่งขึ้นนางยังคงให้แม่เหยาส่งอาหารบำรุงกองโตไปให้ สิ่งของส่งไปถึงเป็นที่เรียบร้อยก็เป็นอันบรรลุความประสงค์ของนาง ส่วนคนเขาจะรับประทานหรือไม่ก็เรื่องของเขา

ในขณะเดียวกันทางด้านอวี๋เหลียนก็ได้รับไปหนึ่งชุดเช่นกัน ให้นางบำรุงร่างกายให้ดีๆ เข้าไว้เพื่อจะได้แข่งกันสร้างดอกผลให้แก่ตระกูลหลี่ในเร็ววัน

ด้วยการกระทำนี้จึงได้รับคำเชยชมจากฮูหยินชราเพราะคิดว่านางฮานยังคงเชื่อฟังคำเกลี้ยกล่อมของฮูหยินชราอย่างนางผู้นี้ จึงยิ่งช่วยออกตัวปกป้องนางฮานมากขึ้น

หลี่จิ้งเสียนครุ่นคิดอยู่หลายวันก่อนตัดสินใจว่าจะลองหยั่งเชิงความนึกคิดของหมิงอวินดูเสียก่อน

ในค่ำคืนนี้หลังรับประทานอาหารมื้อเย็นเป็นที่เรียบร้อย หลี่จิ้งเสียนจึงเรียกหมิงอวินไปยังห้องหนังสือ

“หมิงอวินเอ๋ย! พ่อมีแผนการหนึ่งอยากปรึกษาหารือกับเจ้าเสียหน่อย” หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน

หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยท่าทีจริงใจ “ท่านพ่อมีอันใดขอเพียงสั่งการมาก็เป็นพอขอรับ”

หลี่จิ้งเสียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย เอ่ยปากเตรียมพูด แต่กลับรู้สึกว่าคำพูดนี้ช่างยากจะเค้นออกมาอยู่เล็กน้อย เขาถอนหายใจออกมาบางเบาราวกับมีเรื่องอัดอั้นตันใจที่ระบายออกมาไม่ได้แล้วจึงกล่าวอย่างใจเย็น “ตอนนั้นพ่อคิดมาโดยตลอดว่าแม่เลี้ยงของเจ้าและพี่ใหญ่ของเจ้าไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่หลังจากแต่งงานกับแม่ของเจ้าแล้ว แม่ของเจ้าก็ให้กำเนิดเพียงเจ้าผู้เดียวเท่านั้น คาดมิถึงเลย คาดมิถึงเลยจริงๆ ว่าแม่เลี้ยงและพี่ใหญ่ของเจ้ายังมีชีวิตรอดพ้นมาได้…”

หลี่หมิงอวินกำลังไตร่ตรองว่าควรแสดงออกอย่างสะเทือนใจเพื่อเป็นการให้ความร่วมมือท่าทีของบิดาหรือไม่ ตามจริงหลายปีที่มานี้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งมาโดยตลอดว่าบิดาจะให้คำอธิบายต่อเขาหรือไม่ จะอธิบายเช่นไร หรือพูดอะไรออกมาบ้าง เขาอยากฟังดูว่าบิดาจะเรียบเรียงคำหลอกลวงนี้ออกมาเช่นไร ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง คาดไม่ถึงว่าคำหลอกลวงของบิดาจะไร้สาระแปลกใหม่ใดๆ ปานนี้ อีกทั้งยังเผยพิรุธมากมาย ในเมื่อแม่มดชรากับพี่ใหญ่รอดชีวิตมาได้ ต่อให้ตามหาบิดาไม่เจอ ทว่าถึงอย่างไรก็ต้องรู้จักบ้านเกิดเดิม ท่านย่า ท่านลุงและอาสามพวกเขาก็ยังอยู่บ้านเกิดเดิม ไม่ได้ย้ายถิ่นฐานไปแห่งหนอื่นแต่อย่างใด แล้วเหตุใดถึงต้องรอถึงสิบหกปีให้หลังถึงมาหาถึงหน้าประตู ต่อด้วยการแสดงละครเป็นสตรีผู้ซึ่งระหกระเหินจากแดนไกลตามหาสามีที่พลัดพรากจากกันมานานถึงสิบหกปีด้วย…หลี่หมิงอวินแอบนึกอ่อนใจต่อคำหลอกลวงของบิดาที่พยายามสร้างขึ้นมาเสียจริง

“พ่อกับแม่เจ้ามีความรักต่อกันอย่างลึกซึ้งและไม่คิดจะรับอนุภรรยา ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นพ่อจึงคิดว่ามีเจ้าเป็นบุตรเป็นผู้เดียวเท่านั้น…ตอนแรกที่แม่เจ้าทำกิจการในเมืองหลวงก็เคยถามไถ่ความคิดเห็นของพ่อ พ่อคิดว่าถึงอย่างไรก็มีเจ้าเป็นบุตรชายผู้เดียว ภายภาคหน้าของทั้งหมดก็ต้องตกเป็นของเจ้าอยู่ดี จึงให้แม่เจ้าเขียนชื่อเจ้าลงในทรัพย์สินทั้งหมด” น้ำเสียงของหลี่จิ้งเสียนเต็มไปด้วยความหดหู่ใจ เขาหยุดชะงักลงเมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้วมองดูหมิงอวินด้วยสีหน้าสับสน

หลี่หมิงอวินพอจะเข้าใจความหมายโดยคร่าวของบิดาเป็นอย่างดีแล้ว เพราะเมื่อก่อนมีเขาเป็นบุตรชายเพียงผู้เดียว ทว่าตอนนี้มีหมิงเจ๋อด้วย แล้วยังมีบุตรที่อยู่ในท้องของอนุภรรยาหลิวอีก หรือแม้กระทั่งภายภาคหน้าอาจยังมีบุตรเพิ่มขึ้นมาอีก…ดังนั้น สมบัติเหล่านั้นไม่อาจเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวได้แล้ว แต่จำเป็นต้องแบ่งให้พี่ๆ น้องๆ ด้วยเช่นกัน…ภายในใจหลี่หมิงอวินนึกเหยียดหยาม มิต้องบอกก็รู้ได้เลยว่านี่คงเป็นความคิดของแม่มดชราอย่างแน่นอน ตอนนี้ในหัวแม่มดชรามีแต่เรื่องหาเงินมาโดยเร็วที่สุด ทว่าบิดาก็ช่างใจกล้าหน้าหนาออกโรงด้วยตนเองเช่นนี้เสียด้วย! หลี่หมิงอวินยิ่งเข้าใจได้ว่าเหตุที่บิดาเงียบงันลงชั่วขณะในยามนี้คงเพราะหวังว่าเขาจะตบปากรับคำโดยการเป็นฝ่ายเอ่ยปากแบ่งทรัพย์สินให้ หากเขาทำเช่นนี้จริง เช่นนั้นเขาก็คงเป็นคนโง่เขลาผู้หนึ่ง ตระกูลหลี่เดิมทีก็เต็มไปด้วยคนประหลาดๆ มากพอแล้ว เขาไม่ขอเข้าไปร่วมวงด้วยจะดีกว่า ดังนั้นหลี่หมิงอวินจึงเอาแต่นิ่งเงียบ จึงส่งผลให้ภายในห้องจมสู่ความเงียบสงัดไปพักใหญ่

หลี่จิ้งเสียนรออยู่เนิ่นนานทว่าหมิงอวินยังคงไม่เอ่ยปากเสียที่ นี่ทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย หมิงอวินเป็นผู้ที่เข้าใจอะไรต่อมิอะไรอย่างง่ายดายเสมอมา ครั้งนี้เขาก็คงเข้าใจในความหมายของเขาแล้วเช่นกัน แต่กลับไม่เอ่ยปากใดๆ ซึ่งสาเหตุกว่าครึ่งคงเป็นเพราะไม่ยินยอมด้วย ทว่าก็พูดออกไปถึงขั้นนี้แล้ว…

“หมิงอวินเอ๋ย! พ่อรู้ดีเช่นกันว่าเรื่องนี้ค่อนข้างทำให้เจ้าลำบากใจ ตอนนี้ภายในบ้านก็มีเพียงเจ้าผู้เดียวที่พ่อวางใจมากที่สุด มีพ่อคอยช่วยเหลือสนับสนุน ผนวกกับความตั้งใจของตัวเจ้าเอง หน้าที่การงานในภายภาคหน้าคงเป็นไปได้อย่างราบรื่นสบายๆ…ทว่าพี่ชายของเจ้า เขาห่างไกลจากเจ้ายิ่งนัก อีกทั้งพี่สะใภ้เจ้าก็ไม่เก่งกาจเท่าหลินหลัน ภายภาคหน้าพี่น้องของเจ้าจึงไม่มีวันล้ำหน้าเจ้าไปได้ หมิงอวินเอ๋ย! ภายภาคหน้าเจ้าก็คือเสาหลักของบ้านนี้ บรรดาพี่ๆ น้องๆ ล้วนต้องฝากความหวังไว้ที่เจ้าทั้งนั้น” หลี่จิ้งเสียนกล่าวออกมาจากใจจริง

หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างถ่อมตน “ท่านพ่อกล่าวชมกันเกินไปแล้วขอรับ พี่ใหญ่เป็นบุตรชายคนโตในบ้าน พี่ใหญ่ต่างหากขอรับที่จะเป็นเสาหลักของบ้าน แน่นอนว่าหากพี่ใหญ่มีความจำเป็น หมิงอวินก็พร้อมช่วยเหลือและสนับสนุนเต็มที่อย่างแน่นอนขอรับ”

หมิงอวินแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวในความหมายของเขา หลี่จิ้งเสียนจึงเกิดความรู้สึกหนักใจเล็กน้อย เขาจึงทำท่าทีบิดาผู้มีเมตตาขึ้นมาอีกครั้งโดยการพยักหน้าอย่างปลื้มปริ่มใจ “พ่อรู้ดีว่าเจ้ามีน้ำใจเอื้อเฟื้ออย่างยิ่ง ส่วนนี้ของเจ้าช่างเหมือนกับแม่เจ้านัก” หลี่จิ้งเสียนเม้มริมฝีปากแล้วกล่าว “พ่อพูดกับเจ้าตามตรงเลยแล้วกัน! พ่อตั้งใจว่าจะนำทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ของบ้านที่มีอยู่ตอนนี้ขายทิ้งแล้วสร้างกิจการของบ้านขึ้นมาใหม่ เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรหรือ”

ในที่สุดก็เปิดเผยมาเสียที หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว ฝ่ามือภายใต้แขนเสื้อกำจนกลายเป็นกำหมัดแน่น แน่นจนฝ่ามือซีดเซียว จนรู้สึกถึงความเจ็บปวดก่อนจะคลายออกอย่างช้าๆ “ท่านพ่อ เรื่องนี้ลูกขอปรึกษาหารือกับหลินหลันสักหน่อยนะขอรับ เรื่องที่ท่านแม่ทิ้งทรัพย์สินไว้ให้ลูก หลินหลันเองก็รับรู้อยู่เช่นกัน ลูกมิได้อะไรกับเรื่องเงินทองทรัพย์สินอยู่แล้ว ทว่าหลินหลันเป็นนายหญิงของครอบครัว ท่านพ่อ ท่านเองก็คงเข้าใจดีเช่นกัน สตรีมักคิดเล็กคิดน้อยต่อเรื่องเหล่านี้น่ะขอรับ” เขากล่าวอย่างละเอียดรอบคอบ

หลี่จิ้งเสียนส่งเสียงหัวเราะร่า “นั่นสิๆ เจ้าไปปรึกษาหารือกับหลินหลันก่อนแล้วกัน หลินหลันลูกสะใภ้ผู้นี้ข้าเองก็ฝากความหวังเอาไว้มิน้อยเช่นกัน นางรู้จักเหตุจักผลทั้งยังมีน้ำใจกว้างขวาง เมื่อเทียบกับพี่สะใภ้เจ้าแล้วนับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวกว่ามาก พ่อมักคิดเสมอว่าหากเจ้าเป็นบุตรชายคนโต หลินหลันเป็นลูกสะใภ้คนโตก็คงจะดีไม่น้อย พ่อเองก็คงมิต้องเป็นกังวลใจอีกแล้ว”

หลังหลี่หมิงอวินออกไป หลี่จิ้งเสียนจึงไปห้องนางฮาน

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ หมิงอวินเขา…ตกลงแล้วหรือไม่เจ้าคะ” นางฮานกล่าวด้วยความร้อนใจ

หลี่จิ้งเสียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตวัดสายตามองนาง “เรื่องนี้หากเป็นเจ้า เจ้าจะตอบตกลงหรือไม่ล่ะ”

นางฮานกล่าวด้วยความผิดหวัง “เขามิตกลงหรือเจ้าคะ ข้าก็ว่าแล้วเชียวว่าความกตัญญูของเขาล้วนเป็นสิ่งที่แสร้งทำขึ้นมาเท่านั้น แค่ครั้งนี้ก็เป็นอันรับรู้แล้ว”

หลี่จิ้งเสียนจ้องมองนางด้วยความไม่พึงพอใจ “เจ้าจะร้อนรนใจอันใดนักหนา ข้าเอ่ยแล้วหรือว่าเขาไม่ตอบตกลง”

นางฮานปรับเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ ถามขึ้นด้วยความดีใจ “เช่นนั้นเขาตอบตกลงแล้วหรือเจ้าคะ”

“เรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องปรึกษาหรือกับหลินหลันก่อนสักหน่อย!” หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยความอึดอัดใจ เมื่อครู่นี้สำหรับเขาช่างเป็นอะไรที่น่าอับอาย!

หลี่หมิงอวินเดินมือไพล่หลังกลับไปถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย

ภายในห้อง อวี้หลงกำลังรีดเสื้อผ้า หลินหลันกำลังครุ่นคิดตำรับยาอย่างเอาจริงเอาจัง ส่วนหรูอี้กำลังจัดเตียงนอน

“เอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” อวี้หลงเป็นคนแรกที่เห็นนายน้อยกลับมาถึง

หรูอี้กล่าวขึ้นทันที “ข้าน้อยไปชงชาให้นะเจ้าคะ”

หลี่หมิงอวินส่งเสียง ‘อืม’ เบาๆ แล้วชำเลืองตามองหลินหลันที่กำลังจมอยู่ในภวังค์ของตนเอง เขาจึงเดินเข้าไปในส่วนห้องหนังสือ กระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งถูกคลี่ออก หลังจากนั้นเขาจึงเทน้ำลงในอ่างฝนหมึกแล้วเริ่มฝนหมึก

อวี้หลงคิดว่าสีหน้านายน้อยผิดแปลกไปจึงวางมือจากเตารีดแล้วเดินเข้าไปหยุดข้างกายนายหญิง “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ…”

“มีเรื่องอันใดหรือ” หลินหลันเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ

อวี้หลงชี้นิ้วไปยังห้องหนังสือแล้วเอ่ยด้วยเสียงกระซิบ “ดูเหมือนเอ้อร์เส้าเหยียจะอารมณ์มิค่อยดีเท่าใดนักเจ้าคะ”

“เช่นนั้นหรือ ข้าไปดูหน่อยแล้วกัน” หลินหลันวางพู่กันลงแล้วเดินเข้าไปยังห้องหนังสือ

หลินหลันเห็นเพียงหลี่หมิงอวินกำลังเม้มริมฝีปาก คิ้วเข้มขมวดจนเกิดเป็นปมแน่น สายตาแสดงความกังวล อีกทั้งสีหน้าก็เศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด

หลินหลันเดินเข้าไปเบื้องหน้าแล้วคว้าแท่งหมึกออกมาจากมือเขา “ให้ข้าช่วยเถอะ!”

หลี่หมิงอวินจุ่มปลายพู่กันลงในน้ำหมึกแล้วม้วนแขนเสื้อขึ้น หลังจากปลายพู่กันสะบัดพลิ้วไหวไม่ทันไรก็ปรากฏตัวอักษรหวัดอย่างมาก

ปกติแล้วหมิงอวินไม่เขียนตัวอักษรหวัดถึงเพียงนี้ มีเพียงอารมณ์ดีหรือรู้สึกแย่เป็นพิเศษเท่านั้นถึงจะเขียนด้วยลายมือเช่นนั้น หลินหลันเห็นเขาเขียนเสร็จแผ่นแล้วแผ่นเล่า อักษรเหล่านั่นก็ลอยละลิ่วลงสู่ถังขยะ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรู้สึกทุกข์ใจอย่างยิ่ง

“ท่านพ่อ…พูดคุยอันใดกับเจ้าบ้างหรือ” หลินหลันเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน

หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ยังคงสะบัดพู่กันไปเรื่อยจนถึงตัวอักษรสุดท้าย หลังจากนั้นจึงคลี่ปลายแขนเสื้อลงแล้วมองดูตัวอักษรที่ตนเองเขียนขณะที่มือยังคงถือพู่กันเอาไว้ ไม่ทันไร เขาวางพู่กันลงแล้วขยำกระดาษที่เขียนตัวอักษรแผ่นนั้นปาออกไป

หลินหลันมองเขาอย่างตะลึงงัน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย ที่ผ่านมาหมิงอวินควบคุมอารมณ์ของตนเองได้อย่างดีเยี่ยมมาโดยตลอด โดยเฉพาะยามที่อยู่ต่อหน้านาง ทว่าวันนี้กลับสูญเสียการควบคุมอารมณ์ถึงเพียงนี้ไปได้…

หรูอี้ถือน้ำชาเข้ามือเตรียมนำเข้าไปส่งให้แต่แล้วก็ถูกอวี้หลงรั้งไว้และส่ายหน้าให้นางเป็นสัญญาณ ขณะนี้นายน้อยคงไม่มีอารมณ์จิบน้ำชาเท่าใดนัก ทั้งสองจึงถอยออกไปอย่างเงียบๆ

หลินหลันวางแท่งหมึกลงแล้วแย่งกระดาษอีกแผ่นที่เขาเขียนตัวอักษรไว้ ทำให้เขามีท่าทีอ่อนลง หลังจากนั้นนางจึงเดินไปเก็บกระดาษที่เขาโยนทิ้งไปกลับมา

“เจ้าจะเก็บมันไว้ทำไมหรือ” ในน้ำเสียงของหลี่หมิงอวินฉายความวุ่นวายใจอย่างชัดเจน

หลินหลันคลี่กระดาษตัวษร ทำมันให้เรียบพลางกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง “นานๆ ทีเจ้าจะเขียนตัวอักษรหวัดขึ้นมาสักงานสองงานเขียน ทิ้งไปคงน่าเสียดายแย่ เจ้ามิรู้หรือไรว่างานเขียนของเจ้ามันมีราคาอย่างยิ่งเชียวนะ”

หลี่หมิงอวินมองนางที่กำลังละเมียดละไมคลี่กระดาษและทำมันให้เรียบ ผ่านไปเนิ่นนานพอตัวเขาถึงกล่าวด้วยน้ำเสียงบางเบา “ขอโทษด้วย เมื่อครู่นี้คงทำให้เจ้าตกใจแล้วสินะ?”

หลินหลันเห็นว่าในที่สุดเขาก็เปิดอกพูดขึ้นมาเสียที จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “จะได้อย่างไรกัน! คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่ไม่สบายใจกันทั้งนั้น หากไม่ระบายออกมาก็คงอึดอัดใจแย่ ทว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการพูดออกมาจะดีกว่า” หลินหลันเอียงหูเข้าไปหาอย่างทะเล้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าล้างหูรอสดับรับฟังเต็มที่”

เห็นนางจงใจทำท่าทีราวกับเด็กน้อยเพื่อปลอบใจเขาให้อารมณ์ดีขึ้น สภาพอารมณ์ของหลี่หมิงอวินจึงเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น “เกรงว่าจะเป็นสิ่งสกปรกๆ ต่อหูของเจ้าน่ะสิ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม

“มิเป็นไร ในบ้านหลังนี้มีเรื่องสกปรกๆ อันใดบ้างที่ข้ามิเคยได้ฟังมาก่อนหรือ ก็ไม่เห็นว่าข้าจะเป็นไรนี่!” หลินหลันยิ้มกรุ้มกริ่มขณะดันหลี่หมิงอวินเอนกายเข้าหาพนักพิงเก้าอี้แล้วเป็นฝ่ายส่งมอบตัวเองเข้าให้ถึงที่โดยการโอบแขนคล้องลำคอของเขาแล้วซบอยู่ในอ้อมกอด

หลี่หมิงอวินสงบจิตสงบใจลงได้ในที่สุด เขากล่าวด้วยความหดหู่ใจ “ทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามทิศทางที่ข้าคาดการณ์ไว้ ทว่าพอได้ยินท่านพ่อพูดประโยคเหล่านั้นออกจากปากเขาเองก็เลย…ก็เลยรู้สึกแย่และผิดหวังจนถึงที่สุด”

หลินหลันตะลึงงันไปชั่วขณะก่อนกล่าวขึ้นอย่างไม่มั่นใจ “ท่านพ่อเอ่ยปากขึ้นมาจริงๆ หรือ”

หลี่หมิงอวินปิดเปลือกตาลงด้วยความรู้สึกทุกข์ใจและทอดถอนใจยาว “ข้ารู้สึกไม่คุ้มค่าแทนท่านแม่เลย! มันช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย…”

ด้วยความทุกข์ของหลี่หมิงอวิน หลินหลันจึงรู้สึกไม่ต่างกัน พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายนี่ชักจะเกินไปแล้วจริงๆ กระทั่งบุตรแท้ๆ ของตนเองก็ยังทำกันได้ลงคอ

“เช่นนี้ก็ดีออกมิใช่หรือ เจ้าจะได้ไม่ต้องแก่งแย่งอันใดอีก อะไรที่ควรคิดบัญชีก็จัดการให้มันเรียบร้อยไปเสียเลย” หลินหลันกล่าวเสียงเบา

หลี่หมิงอวินลืมตาขึ้นแล้วทอดมองไกลออกไปด้วยแววตาว่างเปล่า “ท่านแม่สั่งสอนข้าตั้งแต่ยังเล็กว่าต้องประพฤติตนเป็นบุรุษให้ได้เสมือนอย่างท่านพ่อ เป็นผู้มีความสามารถ ร่ำรวยวิชาความรู้รอบด้าน เป็นขุนนางที่ดีเพื่อช่วยเหลือบ้านเมืองอย่างสุดความสามารถ เป็นสามีที่ปกป้องภรรยาผู้เป็นที่รัก ตอนนั้น ในใจของข้า ท่านพ่อเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่สูงส่งและเพียบพร้อมอย่างไร้ที่ติ ข้าเห็นท่านพ่อเป็นแบบอย่างมาโดยตลอด ข้าพยายามศึกษาเล่าเรียนอย่างมุมานะบากบั่น จนกระทั่งนางฮานพาพี่ใหญ่และหมิงจูมาปรากฏตัวต่อเบื้องหน้าท่านแม่ข้า…”

หลินหลันแอบถอนหายใจอยู่ลึกๆ นางเยี่ยหนอนางเยี่ย เป็นเพราะเจ้าถูกความรักทำให้ตาบอด หรือเป็นเพราะทักษะการเสแสร้งของพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายมันล้ำเลิศเกินไปถึงได้มองไม่เห็นอะไรเลยในสิบหกปีที่ผ่านมา ทันใดนั้น ราวกับเข้าใจถึงความรู้สึกของนางเยี่ยในตอนแรกได้ การรักบุรุษผู้หนึ่งอย่างลึกซึ้งปานนั้น แต่แล้วกลับค้นพบว่าความรักที่นางพยายามต่อสู้อย่างไม่คำนึงถึงตนเองด้วยซ้ำกลายเป็นเพียงการหลอกลวงที่วางแผนไว้อย่างแนบเนียน บุรุษผู้นี้ที่อ้างว่ารักนางมากกว่าสิ่งอื่นใด ทว่าปฏิบัติต่อนางเสมือนก้อนหินที่ปูทางเพื่อให้เขาได้เหยียบย่ำไปทีละก้าวจนไปถึงความสำเร็จ ความรู้สึกทั้งหมดของนางเยี่ยถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี แม้แต่ความคิดที่จะแก้แค้นก็ไม่อาจจุดติดขึ้นมาได้เสียแล้ว