ตอนที่ 188 เดินทางไปเขตตอนใต้พร้อมกัน แม่นางพริ้มเพราปิ้งปลาอันหอมกรุ่น (5)
ชุ่ยเวยยกน้ำชาหนึ่งถ้วนเข้ามา แล้วเห็นเหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่ตรงหน้าหน้าต่างแล้วกำลังเหม่อลอย จึงเกลี้ยกล่อมขึ้น “คุณหนูนั่งอยู่ที่นี่มาครึ่งวันแล้ว ควรลุกขึ้นมาเดินเล่นหน่อยแล้วเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นขาคงเหน็บชา”
“อืม เวลายามใดแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่บิดขี้เกียจ แล้วขยับแข้งขา ขาของนางเหน็บชาอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด
“ยามเซินแล้วเจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยยื่นน้ำชาไป แล้วเอ่ยถาม “เมื่อครู่แม่ครัวบอกว่าตอนเย็นจะจับปลาทองสดๆ ขึ้นมาไม่กี่ตัว คุณชายรองบอกให้บ่าวมาถามคุณหนูว่าอยากจะกินอย่างไร
“ปลาทองมีก้างเยอะ แน่นอนว่าต้องตุ๋นเป็นน้ำแกงอยู่แล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่จึงพูดขึ้นอย่างผิวเผิน
ชุ่ยเวยคลี่ยิ้ม “เช่นนั้นบ่าวไปบอกพวกนาง ให้พวกนางใช้หม้อดินเผาค่อยๆ ตุ๋น ตุ๋นจนทำให้ก้างปลาเปื่อยนะเจ้าคะ”
“นอกจากปลาทองแล้วยังมีอะไรให้กินอีก”
“ยังมีกุ้งชิงหมิงและกุ้งสือฝงก็ถือว่าไม่เลว อ๊ะ ใช่แล้ว เมื่อครู่ตอนขึ้นเรือ เทียนหลัวได้ปลาดุกมาสิบกว่าตัว บอกว่าเผากินคงไม่เลว ทว่าบ่าวดูแล้วสกปรก คุณหนูไม่กินก็ไม่เป็นเช่นไร”
“เผาปลาดุก?” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างแปลกพิลึก แล้วครุ่นคิดดูแล้ว จึงพูดขึ้นอีก “กุ้งเผาก็ไม่เลว แค่ไม่รู้ว่าฝีมือของพวกเขาเป็นเช่นไรบ้าง”
“คุณหนูชื่นชอบ บ่าวจะไปเอาถ่านมาเผาเองเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก เผาของกินก็ต้องอยู่กับทุกคนถึงจะครึกครื้น”
เหตุเพราะเห็นนายหญิงนั่งอย่างเหม่อลอยไปครึ่งวันเลย เวลานี้ยากที่นางจะมีความสุขขึ้นมาเช่นนี้ ชุ่ยเวยก็รีบตอบกลับ “เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ อย่างไรบนเรือก็ไม่มีคนนอก มีเพียงท่านเซียวโหวที่เจอกันอยู่บ่อยครั้ง บ่าวจะรีบไปสั่งให้คนล้างกุ้งและปลาให้สะอาด ประเดี๋ยวคุณหนูก็ลงมาเผาด้วยกันนะเจ้าคะ”
ตะวันยอแสง เวลาพลบค่ำมาถึง ผืนน้ำแม่น้ำอวิ๋นเทียนมีหมอกจางๆ ลอยขึ้นมา ในห้องโดยสารก็ได้จุดไฟแล้ว ตรงหัวเรือแขวนโคมไฟเป็นแถว
เหยาเยี่ยนอวี่คลุมเสื้อคลุมสีม่วงอ่อนและนั่งอยู่ตรงหัวเรือ พร้อมกำลังเฝ้าเตาถ่านเล็กๆ หนึ่งอัน จากนั้นก็ใช้ที่พลิกตะแกงเหล็กปลาจวดสีเหลืองหนึ่งตัว ข้างๆ มีชุ่ยเวย ชุ่ยผิง ปั้นซย่า ไม่ตงและสาวใช้คนอื่นๆ รวมไปถึงเถียนหลัวและเซินเจียงที่เป็นเสี่ยวซือ ต่างก็นั่งล้อมวงอยู่ที่นี่ ทุกคนต่างพูดคุยเล่นและหัวเราะกัน ทำให้บรรยากาศครึกครื้นยิ่งนัก
บนโต๊ะอาหารในห้องโดยสารมีอาหารสี่อย่างตั้งอยู่ มีกุ้งผัดเครื่องเทศ หน่อแม่น้ำผัดไข่ ปลาจวดเหลืองทอด และกุยช่ายผัดไข่ปลา อีกทั้งยังมีน้ำแกงหอยแมลงภู่ที่ใส่หน่อไม้สดและเต้าหู้
เหยาเหยียนอี้และเซียวหลินนั่งดื่มสุราด้วยกัน กลับดูสบายใจกันมาก เซียวหลินเงยหน้ามองเหยาเยี่ยนอวี่ที่กำลังปิ้งปลากับเหล่าสาวใช้ที่หัวเรือ จึงคลี่ยิ้ม “น้องสาวของเจ้าปิ้งปลาได้หอมจริงๆ ข้าอยู่ที่นี่ยังได้กลิ่น”
เหยาเหยียนอี้คลี่ยิ้ม แล้วชูจอกเหล้าชนกับของเซียวหลิน พร้อมกับเม้มปากพลางอุทาน “ตั้งแต่ขึ้นเรือมาก็ดูนางไม่มีความสุข ตอนนี้เพิ่งจะมีความสุขขึ้นมาหน่อย”
เซียวหลินคลี่ยิ้ม “เพราะว่าได้อำลากับเหล่าสหายคนสนิทหรือ ตอนนั้นข้าก็เห็น คุณหนูสามแห่งตระกูลติ้งโหวเช็ดน้ำตาไม่หยุด ร้องไห้จนตาแดง เหล่าแม่นาง เอาความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่ได้พรากจากกันมาจากแห่งใดกัน”
เหยาเหยียนอี้คลี่ยิ้มเบาๆ และเอ่ยถาม “เจ้ากลับดูสง่าผ่าเผย เหตุใดถึงไปแอบสังเกตรายละเอียดของเหล่าแม่นางล่ะ”
“มองไม่ได้หรือ ไม่ได้ว่ากันว่า นงรามงามตรู สมคู่สุชนหรือ! ข้าก็แค่ดูเพียงชั่วพริบตา ทำไมหรือ” เซียวหลินคลี่ยิ้ม ใบหน้าที่หล่อเหลาและขาวผ่องกำลังเผยสีหน้าที่ให้ความรู้สึกเยาะเย้ยถากถางสังคม กลับทำให้เหยาเหยียนอี้มองออกว่าเขารู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อย
เขารู้ว่าท่านเซียวโหวไม่ได้มองน้องสาวของตนเอง แต่เป็นคุณหนูหันผู้นั้น
ตั้งแต่เทศกาลหยวนเซียว ศีรษะของท่านโหวท่านนี้ถูกเหรียญเงินของคุณหนูหันกระแทก เหมือนศีรษะของเขามีหลุมเพิ่มขึ้น คนๆ หนึ่งที่ทระนงตัวและเย่อหยิ่งเช่นนั้น พอเห็นคุณหนูหันกลับดูลืมสิ้นทุกสิ่ง
เหยาเหยียนอี้คลี่ยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้า ชีวิตคนเราย่อมมีตอนที่ลืมสิ้นทุกสิ่งอยู่บางครั้งบางครา ที่สำคัญก็คือตนเองจะสามารถผ่านไปได้หรือไม่ ก็ต้องครุ่นคิดให้กระจ่างแจ้ง
บนหัวเรือ เหยาเยี่ยนอวี่ก็ปิ้งปลาเสร็จไปสองตัว จากนั้นก็โรยเครื่องเทศใส่บนปลา ลมตอนกลางคืนพัดโชย ทำให้กลิ่นหอมกระทบลงตรงปลายจมูก จึงดึงดูดเหยาเหยียนอี้ที่เป็นคนชอบกิน จากนั้นจึงยกจอกเหล้า แล้วนำปลาเผาอันหอมกรุ่นมาเป็นกับแกล้ม
ปลาที่เหยาเยี่ยนอวี่ปิ้งเสร็จก็ใส่ไว้ในจาน ตนเองใช้ตะเกียบคีบเนื้อขึ้นเล็กน้อยเพื่อลิ้มลอง รู้สึกว่ารสชาติไม่เลว จึงสั่งให้คนเอาปลาอีกตัวส่งไปให้เหยาเหยียนอี้
ชุ่ยเวยและชุ่วยผิงเป็นคนย่างกุ้งชิงผิงไม่กี่ตัวด้วยตัวเอง ทั้งสองจึงลิ้มลองรสชาติด้วยกัน หนึ่งคนบอกว่าเค็ม อีกคนบอกว่าไหม้ พวกนางดูคึกคักยิ่งนัก
“ปลาหอมจัง!” เสียงพร่ำบ่นอันมีความสุขทำให้เสียงวุ่นวายของเหล่าแม่นางบนหัวเรือหยุดลง
“ใครกัน” เถียนหลัวผุดลุกขึ้นอย่างอึดอัดใจ แล้วมองไปตามทิศทางของเสียง ทว่าเห็นเพียงเรือแบนลำเล็กที่อยู่บนผิวแม่น้ำที่มืดมัว เรือดูเบาเหมือนไร้น้ำหนัก ตรงหัวเรือมีคนสองคนยืนอยู่ หนึ่งคนสวมเสื้อดำ อีกคนสวมเสื้อขาว ทำให้เถียนหลัวสะดุ้งตกใจทันที จึงอดพึมพำไม่ได้ “โอ้แม่เจ้า ใครกันเนี่ย ดึกดื่นป่านนี้ยังจะมาทำให้คนตื่นตกใจอีก”
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินจึงลุกขึ้นแล้วมองไปทางโน้น ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงก็รีบลุกขึ้นแล้วปกป้องเหยาเยี่ยนอวี่อยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวา สีหน้าดูตื่นเต้นยิ่งนัก
“สุดท้ายก็มาแล้ว!” เหยาเยี่ยนอวี่เห็นเรือนแบนลำเล็กนั้นยิ่งอยู่ยิ่งแล่นมาใกล้ จึงหัวเราะด้วยเสียงเบา
“เอ๊ะ? คนๆ นี้คุ้นตาจัง…เหมือนเป็นท่านแม่ทัพเว่ย!” สุดท้ายเถียนหลัวก็มองเห็นถึงคนที่มาอย่างชัดเจน จึงอดถอนหายใจไม่ได้ แล้วโบกมือตะโกนเรียกคนตรงข้าม “แม่ทัพเว่ยหรือ”
“ไอ้หมอนี้ตาดี!” ถังเซียวอี้ที่สวมใส่ชุดสีขาวจึงหัวเราะ แล้วกระโดด ผิวแม่น้ำที่ห่างจากเรือไม่กี่จั้ง ก็สามารถกระโดดขึ้นมาตรงหัวเรือทางนี้โดยตรง แล้วยืนอยู่ข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่ กลับไม่สนใจเหยาเยี่ยนอวี่ แค่จับจ้องไปยังปลาเผาตัวนั้นด้วยสายตาที่แวววับ
เหยาเหยียนอี้และเซียวหลินได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงออกจากห้องโดยสาร ก็เห็นเว่ยจางกระโดดขึ้นมาบนหัวเรือแล้ว
หลังจากเห็นผู้ที่มาเยือน สีหน้าของเหยาเหยียนอี้จึงหม่นหมองลง “ท่านแม่ทัพเว่ยมาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญเช่นนี้ มีธุระสำคัญอะไรหรือไม่”
เว่ยจางคลี่ยิ้มเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ไม่มี แค่บังเอิญผ่านทางนี้ จึงถูกกลิ่นหอมกรุ่นของปลาเผาดึงดูด”
เหยาเหยียนอี้ยังอยากพูดอะไรต่อ กลับถูกเซียวหลินห้ามปรามไว้ แล้วคลี่ยิ้ม “ไหนๆ แม่ทัพเว่ยก็มาแล้ว เช่นนั้นก็เชิญไปนั่งข้างในเถอะ”
เว่ยจางมองเหยาเยี่ยนอวี่และปลาสองตัวที่วางอยู่ข้างเตาถ่านเพียงพริบตาเดียว จึงส่ายหัวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ไม่ต้อง ข้านั่งประเดี๋ยวเดียวตรงหัวเรือก็พอแล้ว”
เซียวหลินคลี่ยิ้ม “คุณหนูเหยากำลังเผาปลาที่นี่ แค่ไม่รู้ว่านางจะยินดีให้ท่านแม่ทัพนั่งร่วมโต๊ะหรือไม่”
“ชายหญิงมีความแตกต่าง แน่นอนว่านั่งร่วมโต๊ะไม่ได้อยู่แล้ว” เหยาเหยียนอี้พูดด้วยเสียงเคร่งเครียดในลำคอ
“อ๊า! ปลาเหมือนจะไหม้แล้ว!” ถังเซียวอี้ตะโกนด้วยความตกใจ จึงรีบไปพลิกปลา
เหยาเยี่ยนอวี่มองท่าทางที่วุ่นวะวุ่นวายของเขา จึงรีบพูดขึ้น “เจ้าอย่าแตะ!” ขณะที่พูด จึงเดินไปดึงผ้าแล้วจับตะแกงที่เสียบปลาไว้ จากนั้นก็พลิกปลา ทว่าก็ดูไหม้หน่อย ส่วนท้องของปลาไหม้เล็กน้อย จึงส่งกลิ่นไหม้ออกมา
เว่ยจางทำมือคารวะให้เหยาเหยียนอี้ แล้วคลี่ยิ้มบางๆ “ใต้เท้าเหยา ข้าน้อยยังไม่ได้แสดงความยินดีกับท่านเลย”
ตอนนี้เหยาเหยียนอี้เป็นขุนนางขั้นที่ห้าของราชสำนักแล้ว ถึงแม้ตำแหน่งนี้ของเขาจะต่ำกว่าเว่ยจางไปครึ่งขั้น ทว่าเว่ยจางก็ควบคุมทหารอันหลายพันนาย แล้วยังเป็นแม่ทัพที่ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญ สามารถบอกได้ว่าเป็นแม่ทัพที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน เป็นขุนนางคนสนิทของจักรพรรดิ เหยาเหยียนอี้เป็นเพียงขุนนางขั้นที่ห้าที่มีตำแหน่งเป็นรองเจ้ากรมกรมป่าไม้ ตำแหน่งของทั้งสองท่านต่างก็ราวฟ้ากับดิน
ตอนนี้เว่ยจางเรียกเขาว่า ‘ใต้เท้าเหยา’ อีกทั้งยังแสดงทีท่าที่สง่าผ่าเผยและอ่อนโยน นัยน์ตาก็จริงใจยิ่งนัก มองไม่ออกถึงการเยาะเย้ยแม้แต่เพียงน้อย ต่อหน้าเซียวหลิน เหยาเหยียนอี้ก็ไม่ควรทำอะไรที่ไม่เหมาะสม ทำได้เพียงทำมือคารวะ แล้วพูดด้วยเสียงเรียบ “มิบังอาจ ท่านแม่ทัพเว่ยเกรงใจเกินไปแล้ว”
สองคนดีกว่าก่อนหน้านี้เยอะ จากนั้นก็พูดคุยเล่นกันพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังจื่อหลิงเซวียน