บทที่ 198 โค่นลง

ไหปีศาจ

บทที่ 198
โค่นลง

หนานกงหยิงเอ๋อนั้นมีอายุเพียง 20 ปี เขาก็ได้รับการเลื่อนขั้นสู่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง นางเป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงในพระราชวังหยู่หวัง นางได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าของนกกระเรียนแห่งการจุติใหม่
แม้ว่านางจะยังไม่ได้รับมันมาเป็นสัตว์วิญญาณตัวที่สาม แต่พลังในการต่อสู้ของนางก็ยังถือว่าแข็งแกร่งอยู่ดี อย่างน้อยนางก็ไม่คิดว่าจะมีผู้ใช้พลังวิญญาณระดับที่ต่ำกว่านางคนไหนมาคุกคามนางได้
แต่วันนี้นางกลับรู้สึกได้ถึงอันตรายจากผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงิน มิติ 6 คนนี้
“มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน เห็นได้ชัดว่าพลังของเขานั้นได้ถูกแสดงออกมาแล้ว ถึงแม้ว่าสัตว์วิญญาณทั้งสองจะมีทักษะที่ดี แต่มันก็ไม่สามารถทำร้ายเราได้แน่ ๆ”
หนานกงหยิงเอ๋อพึมพำในใจ

“จะสู้กันเลยไหมล่ะ ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่า คุณสมบัติระดับ A กับพวกตัวสำรองอย่างเจ้ามันแตกต่างกันแค่ไหน”
เสียงอันเย็นชาดังขึ้นมา
แสงกะพริบสองครั้ง
“ตราบใดที่เจ้าพ่ายแพ้เจ้าควรจะส่งมอบสัญญาขายของสาวใช้ด้วยความซื่อสัตย์” ลมปราณวิญญาณของหนานกงหยิงเอ๋อ ถูกแผ่ออกมาค่อนข้างสูงส่ง
สัตว์วิญญาณสองตัวปรากฏขึ้นข้าง ๆ นาง
ตัวหนึ่งเป็นนกนางแอ่นสีดำตัดสีขาวขนาดประมาณเท่าฝ่ามือ มีปลายปีกยาวและแคบ เท้ามันของมันสั้นมาก ปีกสีดำและขนสีขาวของล่องลอยไปในอากาศเหมือนกับลูกศร
มันถูกเรียกว่าสัตว์วิญญาณระดับต่ำกว่าระดับทองที่รวดเร็วที่สุด

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่สัตว์วิญญาณศักยภาพระดับเงิน แต่ก็มีสัตว์วิญญาณระดับทองจำนวนมากที่ไม่สามารถแข่งขันในด้านความเร็วกับมันได้เพราะมันมีทักษะระดับ S [ความเร็วเหนือความตาย]
ส่วนสัตว์วิญญาณอีกตัวหนึ่งก็คือภูตลม
ภูตลมนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีรูปร่างสูงประมาณครึ่งหนึ่งของคนทั่วไป ร่างกายของมันถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีฟ้าจาง ๆ หมอกและพายุรอบ ๆ ที่รวมตัวกันเป็นสสาร

นางได้ทำการใช้ [ความสัมพันธ์ของมนุษย์และสัตว์วิญญาณ]
พลังวิญญาณของหนานกงหยิงเอ๋อเพิ่มขึ้นในทันทีร่วมกับลมปราณของสัตว์วิญญาณสองดวงและแสดงสัญลักษณ์ของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง ซึ่งเป็นการรวมพลังระหว่างมนุษย์และสัตว์วิญญาณ
หนานกงหยิงเอ๋อค่อย ๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ ห้อมล้อบด้วยแสงสีเขียวราวกับนางฟ้าในสายลม
นางชี้ไปที่ความว่างเปล่าเบา ๆ จากนั้นคลื่นอันน่ากลัวก็กลายเป็นสสารพันกันและควบแน่นราวกับพายุเฮอริเคนที่น่ากลัวสองลูกได้กลายเป็นแส้
“ถ้าเจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ตั้งแต่ตอนนี้ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าอับอาย” หนานกงหยิงเอ๋อกล่าวเบา ๆ

ลั่วอู๋ถอนหายใจอย่างเย็นชา
นางคิดว่าตัวเองกลายเป็นเทพเจ้าแล้วรึยังไง?
“ต้าหวงจัดการนาง!” ลั่วอู๋พึมพำ
ทันใดนั้นดวงตาของต้าหวงก็สว่างขึ้น ร่างของมันปกคลุมไปด้วยแสงสีขาว ทันใดนั้นมันก็ทะยานขึ้นไป พร้อมกลายเป็นสุนัขขนสีเงินตัวใหญ่ที่มีรอยสลักอันน่ากลัวเหมือนหลุมดำระหว่างหน้าผากของมัน

“กรร!”
ต้าหวงคำรามคลื่นเสียงอันพลุ่งพล่านดังก้องไปทั่ว ผู้คนที่ได้เห็นต่างก็รู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขาม ความหยิ่งผยองและรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในทันที
ผู้คนต่างตกใจ
เกิดอะไรขึ้น? มันวิวัฒนาการอย่างนั้นเหรอ ?

มิฉะนั้นลมปราณของมันเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ได้อย่างไร
การวิวัฒนาการนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และเห็นได้ชัดจากท่าทางของเจ้าของว่ามันน่าจะเปลี่ยนร่างแบบนี้ได้เป็นประจำ
สัตว์วิญญาณตัวนี้มันคืออะไรกันแน่? พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
แม้แต่ผู้ตรวจสอบก็ยังประหลาดใจ เขาอดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นและจ้องมองไปที่ต้าหวง นี่มันใช่สัตว์วิญญาณผลิตเองจริง ๆ เหรอ!

การแสดงออกของหนานกงหยิงเอ๋อยังคงดูสง่างาม
แม้ว่าจะมิติวิญญาณจะไม่มีความแตกต่างไปจากระหว่างสภาพของต้าหวงร่างดั้งเดิม แต่เห็นได้ชัดว่าลมปราณของมัน ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
“แล้วมันยังไงกันล่ะ!” หนานกงหยิงเอ๋อไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย
ช่องว่างระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณระดับกลางและผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงนั้นเหมือนกับเมฆโคลน
[คมดาบสายลมกรรโชก]
หนานกงหยิงเอ๋อลอยอยู่บนท้องฟ้าและพายุเฮอริเคนก็ได้เปลี่ยนเป็นรูปร่างของปีกของลม ปีกนั้นสั่นเบา ๆ ปล่อยใบดาบลมนับไม่ถ้วนพัดผ่านไปทั่วท้องฟ้า
อากาศแปรปรวนอย่างรุนแรงและใบมีดลมอันคมกริบนับไม่ถ้วนก็เข้าเชือดเฉือนทุกสิ่ง

“เปล่าประโยชน์น่า โล่สองชั้น!”
ลั่วอู๋ตะโกน ทันใดนั้นโล่ขนาดใหญ่ที่มีแสงสีเหลืองและสีเขียวก็ปรากฏขึ้นมาป้องกันตัวเขาไว้จากการโจมตี มันตัดการโจมตีด้วยคมมีดลมของอีกฝ่ายออกไปในทันที
นอกจากนี้ยังไม่มีความเสียหายใด ๆ บนพื้นผิวของโล่ มันยังคงเรียบเนียนดังเดิม
เมื่อเห็นฉากนี้ ความคิดก็แวบขึ้นมาในใจของทุกคนที่กำลังดูการต่อสู้อยู่ โล่นี้นั้นแข็งแกร่งมาก

หนานกงหยิงเอ๋อกัดฟันแล้วพูดว่า “น่ารังเกียจยิ่งนัก เจ้าพึ่งพาโล่ทั้ง ๆ ที่ ตัวเองเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณเนี่ยนะ”
“มันก็เรื่องของข้าไม่ใช่เหรอ ?” ลั่วอู๋กลอกตาและนั่งลงบนต้าหวง เขาพูดด้วยเสียงต่ำ ต้าหวงใช้ [ก้าวพริบตา]
แสงสีขาวสว่างแวบหนึ่ง จากนั้นร่างของต้าหวงก็หายไป
หนานกงหยิงเอ๋อตื่นตัว เพราะนางรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมีทักษะก้าวพริบตา
ปีกด้านหลังของนางสั่นสะเทือนและมีร่างแยกเกือบร้อยร่างปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ซึ่งทำให้ไม่สามารถระบุได้เลยว่าร่างจริงของนางซ่อนอยู่ตรงไหน
ทักษะ [ร่างแยกเงาวายุ]
มันเป็นทักษะที่มีไว้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“ กรงแห่งสายลม!” หนานกงหยิงเอ๋อพึมพำ
สายลมนับร้อยพัดมารวมกันจากทุกทิศทุกทางเหมือนเชือกที่คอยปิดกั้นทุกตำแหน่งหยุดลั่วอู๋เอาไว้และขังเขาไว้ในพื้นที่เล็ก ๆ ทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้ นี่ไม่ใช่ลมธรรมดา แต่เป็นลมที่พัดผ่านด้วยความเร็วสูง เมื่อสัมผัสมันก็ไม่ต่างไปจากการเอามือไปสัมผัสกับใบเลื่อย
“ต้าหวงใช้ ความมืดมิดกลืนกิน” ลั่วอู๋ออกคำสั่ง
ทักษะ [ความมืดมิดกลืนกิน] ได้เริ่มต้นทำงาน
แต่ทันทีที่หลุมดำจากทักษะความมืดมิดกลืนกิน ปรากฏขึ้นก็สลายไปในทันที
หนานกงหยิงเอ๋อพูดอย่างใจเย็น “เจ้าคิดว่าข้าไม่ได้เตรียมตัวเลยรึไง ? ตราบใดที่ข้าสามารถใส่พลังวิญญาณเข้าไปในนั้นได้จนเต็ม ทักษะของเจ้าก็จะไร้ประโยชน์”
ลั่วอู๋ขมวดคิ้ว
ผู้ตรวจสอบนั้นได้แสดงให้ทุกคนเห็นถึงวิธีการแก้ทางทักษะความมืดมิดกลืนกิน ทำให้ทุกคนรู้ถึงมัน
แต่ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำแบบนี้ได้ แน่นอนว่ามันเป็นวิธีที่โง่เขลาในการใช้พลังวิญญาณมากมายมหาศาลเพื่อหยุดทักษะของอีกฝ่าย นางคงใช้พลังวิญญาณไปแล้วอย่างน้อยก็ 30%
“ยอมแพ้ซะเถอะ เจ้าเอาชนะข้าไม่ได้หรอก” หนานกง หยิงเอ๋อมองไปที่ลั่วอู๋ด้วยความสงสาร

เปิดใช้งานทักษะระดับ S [ความเร็วเหนือความตาย]
ร่างของนางสว่างวาบ แม้กระทั่งเงาก็ยังไม่มีให้เห็น ตาเปล่าไม่สามารถจับภาพของนางได้อย่างสมบูรณ์ นางได้ล่องลอยไปในอากาศอย่างอิสระ
มีเพียงเสียงที่แผ่วเบาดังมาจากทุกทิศทาง
ถึงแม้ว่าความเร็วนี้จะเทียบไม่ได้กับก้าวพริบตา แต่การสั่นไหวเพียงส่วนเดียวก็ทำให้ผู้ที่มีทักษะความเร็วนี้สามารถเคลื่อนไหวไปได้ทุกที่จนมีภาพติดตาทิ้งไว้ราวกับร่างแยก
“ยอมแพ้งั้นเหรอ ? ดูเหมือนเจ้าจะลืมไปนะ ว่าข้ายังมีสัตว์วิญญาณอยู่อีกตัวหนึ่ง” ลั่วอู๋มีรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงร่างของต้าหวงนั้นสะดุดตาทุกคนมาก ดังนั้นความสนใจของหนานกงหยิงเอ๋อส่วนใหญ่จึงไปอยู่ที่ต้าหวง
นางไม่ได้สังเกตเห็นถึงผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะที่กำลังกระพือปีกในอากาศ
ผงสีทองจาง ๆ ลอยลงมา
ทักษะระดับ B [ผงอัมพาต]
แม้ว่าระดับของทักษะจะไม่สูง และขอบเขตของมันก็ยังใหญ่ไม่พอ แต่มันก็มีพลังเพียงพอที่จะสามารถสร้างผลกระทบบางอย่างที่ส่งผลต่อความเร็วในการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้
จากนั้นในบางครั้งร่างจริงของหญิงสาวก็ปรากฏขึ้นให้เห็นในอากาศ
เห็นได้ชัดว่าความเร็วของอีกฝ่ายช้าลง
“แน่นอนว่าข้าตามเจ้าไม่ทัน แต่ข้าก็ไม่จำเป็นจะต้องตามเจ้าให้ทันเสียหน่อย” ลั่วอู๋คิดในใจอย่างเงียบ ๆ จากนั้นจึงสั่งให้ผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะใช้ทักษะของมัน
เปิดใช้ทักษะระดับ SS [มิติเวทมนตร์]

“อ๊ะ!”
ทันใดนั้นสมองของหนานกงหยิงเอ๋อ ก็มึนมัวและร่างกายของนางแข็งทื่อ นางตกลงลงมาจากอากาศและภาพอันน่ากลัวนับไม่ถ้วนก็ฉายเข้ามาในความคิดของนาง
ด้วยที่มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างมิติวิญญาณของทั้งคู่ ในไม่ช้านางก็แยกตัวออกจากดินแดนแห่งความฝันได้ในทันที

แต่มันสายเกินไป
ลั่วอู๋เข้ามาประชิดตัวนางแล้วโดยถือดาบสีแดงจ่อไว้ที่คอของนาง
ใช่แล้ว ต้าหวงเพียงตัวเดียวไม่สามารถจัดการกับสัตว์วิญญาณประเภทความเร็วได้
ลั่วอู๋จึงจำเป็นต้องควบคุมสถานการณ์นี้โดยรวมด้วยสัตว์วิญญาณตัวอื่น

เห็นได้ชัดว่าผีเสื้อปีกมายาเพลิงอมตะควบคุมสถานการณ์โดยรวมในการต่อสู้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ข้าแนะนำให้เจ้าอย่าเคลื่อนไหวไปมาหรือพยายามใช้ทักษะใด ๆ ไม่อย่างนั้นคราวนี้เจ้าได้ตายจริง ๆ แน่ นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่จำเป็นจะต้องเดิมพันด้วยชีวิต แล้วทำไมจะต้องเสี่ยง ว่าไหมล่ะ ?” ลั่วอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หนานกงหยิงเอ๋อตัวสั่นไปทั้งร่าง และนางก็ไม่กล้าขยับอีกต่อไป