ภาคที่ 2 ตอนที่ 54 โลกมนุษย์ไม่มีค่า

มรรคาสู่สวรรค์

เมื่อปีที่แล้ว ณ ริมทะเลตะวันตก เซี่ยงหว่านซูได้พบเจ้าล่าเยวี่ยเป็นครั้งแรก และได้เห็นเจ้าล่าเยวี่ยปล่อยกระบี่สังหารคนโดยไม่พูดไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว

 

นิสัยของเขาอ่อนโยน กระทั่งเรียกได้ว่าอ่อนแอ มิเคยคิดมาก่อนว่าสามารถทำเช่นนี้ได้ด้วย

 

สายรุ้งที่ส่องสว่างลานเมฆสายนั้นคือกระบี่มิคำนึง

 

เจ้าล่าเยวี่ยคือศิษย์สืบทอดของนักพรตจิ่งหยาง

 

นักพรตจิ่งหยางคือผู้อาวุโสที่เขาเคารพชื่นชมมากที่สุด

 

อารมณ์ต่างๆ ประเดประดังเข้ามา เขาอดเกิดความรู้สึกเคารพยำเกรงอย่างหนึ่งต่อเจ้าล่าเยวี่ยขึ้นมาไม่ได้ แล้วจากความเคารพยำเกรงก็ก่อเกิดเป็นความรู้สึกชื่นชม

 

เขารู้ว่าตนเองกับเจ้าล่าเยวี่ยไม่มีโอกาสกลายเป็นคู่รักบำเพ็ญพรต ดังนั้นจึงได้แต่แอบเก็บความรู้สึกชื่นชมนี้เอาไว้ในใจ

 

แต่กระบี่นามมิคำนึง จะมิให้คิดถึงได้อย่างไร?

 

ในเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เขามักจะครุ่นคิดว่าหากได้พบเจ้าล่าเยวี่ยอีกครั้ง บางทีอาจจะได้ใกล้ชิดมากขึ้น…แม้นจะเป็นแค่การได้มองนางเพิ่มอีกซักหน่อยก็ตาม

 

ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนี้ ในที่สุดเขาก็ได้พบเจ้าล่าเยวี่ยอีกครั้ง แต่ใครจะคิดบ้างว่าจะได้เห็นภาพแบบนี้

 

“ข้าไม่เป็นไร”

 

ในเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง

 

……

 

……

 

จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่บนลานเหมันต์เหล่านั้นกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ แล้วก็มิรู้ว่าคนที่รู้สึกผิดหวังเหมือนอย่างเซี่ยงหว่านซูนั้นมีอยู่มากน้อยเท่าไร

 

เด็ดดอกเหมยเสียบไปที่ขมับ บทสนทนาที่ดูอ่อนโยนหวานชื่น สำหรับพวกเขาแล้วนี่เป็นแค่การกระทำที่เป็นไปอย่างธรรมชาติ เป็นบทสนทนาปกติธรรมดา

 

ในอดีตตอนที่พบกันบนยอดเขาอวิ๋นสิงเป็นครั้งแรก พวกเขาก็อยู่ด้วยกันเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงสี่ปีนี้ที่เดินทางด้วยกันนับหลายหมื่นลี้ อยู่ด้วยกันเช้าจรดเย็น ต่างฝ่ายต่างคุ้นชินกับการมีอยู่ของอีกฝ่ายไปแล้ว

 

หลายคนมองว่านี่คือความรักของหนุ่มสาว แต่พวกเขามิได้คิดเช่นนี้ หรือพูดอีกอย่างคือมิเคยครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย

 

มิใช่ว่าเพื่อปฏิเสธจึงปฏิเสธ พวกเขาไม่เคยคิดเรื่องเหล่านี้มาก่อนจริงๆ หากทอดตามองดูรอบกายไปจนถึงท้องนภา จากอดีตไปจนถึงอนาคต เรื่องที่จำเป็นต้องครุ่นคิดนั้นมีมากมาย เวลาของทุกชีวิตล้วนแสนสั้น กระทั่งโลกมนุษย์ยังไม่มีค่าให้คิดถึง แล้วนับประสาอะไรกับความรัก?

 

……

 

……

 

ลมที่หนาวเย็นเล็กน้อยพัดพาเอาก้อนเมฆลอยผ่านลานเหมันต์ เสียงพูดคุยค่อยๆ สงบลง

 

เหอกั๋วกงมาถึงงาน ป่าวประกาศให้งานชุมนุมเหมยฮุ่ยเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

 

ตามกฎที่ผ่านมา ฝ่าบาทเสินหวงจะเสด็จมายังงานชุมนุมในตอนที่ทำการประลองการต่อสู้รอบสุดท้าย ส่วนบุคคลสำคัญของโลกบำเพ็ญพรต หากจะปรากฏตัวก็จะปรากฏตัวแค่ช่วงเวลานั้น ผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยล้วนแต่ทราบในเรื่องนี้ดี ตามหลักแล้วพวกเขาควรจะสงบนิ่ง แต่บนสีหน้าของศิษย์หนุ่มสาวหลายคน หรือกระทั่งอาจารย์ผู้ที่นำคณะล้วนแต่เผยให้เห็นถึงความรู้สึกผิดหวัง

 

เพราะเทียนจิ้นเหรินมิได้ปรากฏตัว

 

ผู้วิเศษที่ร่ำลือกันว่าสามารถทำนายอนาคตความเป็นความตายของคนได้ผู้นั้นเดินทางมาถึงเมืองเจาเกอแล้ว อีกทั้งยังจะมาให้คำชี้แนะแก่ที่ศิษย์ที่เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ผู้คนย่อมต้องคาดหวังว่าจะได้เห็นเขาในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย — ต่อให้ไม่สามารถคว้าชัยชนะในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยได้ แต่ถ้าได้รับคำชี้แนะจากผู้วิเศษคนนี้ให้เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องได้ก็นับเป็นโชคดีอย่างมาก

 

……

 

……

 

งานชุมนุมเหมยฮุ่ยเป็นหนึ่งในงานชุมนุมที่สำคัญที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต

 

คนที่มาเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาว หาใช่บุคคลที่สำคัญที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตไม่ แต่ในหมู่พวกเขาย่อมต้องมีคนที่จะเติบโตกลายเป็นบุคคลสำคัญของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตอยู่อย่างแน่นอน ในประวัติศาสตร์อันยาวนานได้มีการพิสูจน์ให้เห็นในจุดนี้มาแล้ว — นอกจากนักพรตจิ่งหยาง ยอดฝีมือแห่งแผ่นดินที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ในเวลานี้ล้วนแต่เคยแสดงฝีมือของตัวเองครั้งแรกในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยทั้งสิ้น

 

งานชุมนุมที่ทั่วโลกจับตามองมีการเปิดงานที่เรียบง่ายธรรมดา หลังเหอชินหวังประกาศเปิดงาน ก็มีศิษย์หนุ่มสาวของแต่ละสำนักจำนวนหลายสิบคนลงมายืนอยู่บนลานเหมันต์ที่อยู่กึ่งกลาง อาภรณ์ปลิดปลิวตามลม ไร้ซึ่งซุ่มเสียง

 

พิณ หมากล้อม พู่กันจีน ภาพวาด ธรรมะ ทุกสรรพสิ่งล้วนแต่มีวิถีของมัน การประลองที่สำคัญที่สุดในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยคือการต่อสู้ทางธรรมวิถีที่จัดขึ้นเป็นรายการสุดท้าย การประลองรายการแรกในวันนี้คือ — การประลองวิถีพิณ

 

การประลองทางวิถีพิณของผู้บำเพ็ญพรตย่อมต้องแตกต่างจากการประลองทักษะในการดีดพิณของนักดนตรีในโลกปุถุชน นอกจากเสียงพิณอันไพเราะแล้วยังมีมาตรฐานอื่นที่ใช้ในการตัดสินอยู่อีก ผู้เข้าร่วมการประลองมิใช่ว่าจะต้องเล่นพิณกันทุกคน ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่อยู่บนลานเหมันต์ต่างถือเครื่องดนตรีต่างชนิดกัน มีทั้งขลุ่ยไผ่ มีทั้งผีผา ทั้งขลุ่ยกู่หนีหู ทั้งขลุ่ยหูเจีย มีอยู่คนหนึ่งที่มิได้นำเครื่องดนตรีมาด้วย ดูเหมือนเตรียมจะขับร้องบทเพลง

 

เสียงพิณดังติงๆ ตังๆ ขึ้นมาเหมือนดั่งน้ำพุ เมื่อหญิงสาวสวมอาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งเดินอุ้มพิณขึ้นมาบนลานอย่างกล้าหาญ งานชุมนุมเหมยฮุ่ยก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นก็มีเสียงดนตรีดังขึ้นไม่ขาดสาย

 

ผู้เข้าร่วมการประลองที่ขึ้นแสดงฝีมือในตอนแรกสุด ส่วนใหญ่ล้วนมาจากสำนักเล็กๆ ที่ไม่มีชื่อเสียง แต่ระดับฝีมือทางดนตรีกลับมิธรรมดา เสียงพิณไพเราะเสนาะหู เสียงขลุ่ยดังล่องไปไกล ต่อให้เป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดในราชสำนักเหล่านั้นก็ไม่แน่ว่าจะเทียบได้ แต่บนลานเหมันต์ที่อยู่ชั้นบนสุดกลับยังเงียบสงบ ไม่ว่าจะเป็นเหอชินหวังหรือสมณะสูงศักดิ์แห่งวัดกั่วเฉิงก็มิได้มีคำวิจารณ์ใดๆ ออกมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวฉานจึ

 

การตอบสนองของผู้บำเพ็ญพรตแต่ละสำนักล้วนแต่เรียบเฉย

 

กระทั่งศิษย์ผู้หนึ่งของสำนักต้าเจ๋อที่ดูท่าทางคล้ายบัณฑิตก้าวขึ้นมาบนลานประลอง ทุกคนจึงดูเหมือนได้สติขึ้นมา

 

สำนักใหญ่นั้นมิธรรมดาเหมือนอย่างที่คาด เมื่อบัณฑิตเก็บพัดกลับไปที่เอว เสียงพิณหลั่งไหลออกมาจากปลายนิ้ว บรรยากาศฟ้าดินพลันเกิดการตอบสนอง อากาศยังคงเย็นสบาย แต่สายลมกลับหยุดลง บนดอกเหมยที่อยู่รอบลานเหมันต์คล้ายมีน้ำค้างจับตัวขึ้นมา ส่องประกายระยิบระยับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ดูเหมือนหินผลึกก็มิปาน งดงามจับใจ

 

บัณฑิตของต้าเจ๋อบรรเลงเพลงจบ ในที่สุดบนลานเหมัตน์ทั้งสี่ด้านก็มีเสียงโห่ร้องชื่นชมและเสียงปรบมือดังขึ้นมา จากนั้นเมื่อผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวของสำนักใหญ่ๆ ทยอยก้าวขึ้นไปบนลานประลอง ปรากฏการณ์ธรรมชาติแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้นมาไม่หยุด เมื่อเสียงเพลงดังขึ้นมา ประเดี๋ยวมีลมพัด ประเดี๋ยวมีฝนตก เซี่ยงหว่านซูเป็นตัวแทนสำนักจงโจว เดินถือขลุ่ยไม้ไผ่ขึ้นไปบนลานประลอง ขับกล่อมบทเพลงจนหิมะตกโปรยปรายลงมาจากบนฟ้า ทำให้ต้นเหมยยิ่งดูทระนง

 

……

 

……

 

เสียงโห่ร้องยิ่งถี่ขึ้นเรื่อยๆ เสียงอุทานชื่นชมยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังคงมีบางคนที่ไม่เคยเผยความรู้สึกประทับใจ เรียกได้ว่ามิได้สนใจเลยแม้แต่น้อย

 

สายตาบางคู่อดมองไปยังลานเหมันต์ของศิษย์สำนักชิงซานมิได้

 

ศิษย์สำนักชิงซานคือตัวแทนอันเป็นแบบฉบับของการไม่สนใจอะไรเลย

 

สำนักชิงซานไม่เหมือนกับสำนักอื่นๆ พวกเขามิได้สนใจวิธีที่สามารถฟูมฟักใจแห่งเต๋าเลย — ในที่นี้หมายถึงพิณ หมากล้อม พู่กันจีนและภาพวาด หากว่ากันในอีกแง่หนึ่ง สำนักชิงซานก็คือตัวประหลาดของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตบนแผ่นดินเฉาเทียน

 

ในความทรงจำของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตบนแผ่นดินเฉาเทียน สำนักชิงซานแทบจะไม่เคยเข้าร่วมการประลองในสี่รายการแรกเลย เพียงแต่เมื่อหลายปีก่อน หนานว่างที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงในเวลานี้ได้เข้าร่วมประลองวิถีพิณครั้งหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถคว้าชัยชนะในการประลองครั้งนั้นได้อย่างเหนือความคาดหมาย

 

ไม่มีผู้ใดทราบว่าเหตุใดหนานว่างจึงเข้าร่วมการประลองวิถีพิณในครั้งนั้น ทุกคนทราบเพียงว่าตอนนั้นนางดูโกรธ เดินขึ้นไปบนลานเหมันต์ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ มิรู้ว่าเด็ดใบไม้มาจากต้นไม้ต้นไหน ก่อนจะจรดใบไม้ที่ริมฝีปากแล้วเป่าบทเพลงพื้นเมืองขึ้นมา ผลปรากฏว่า…สุนัขทั่วทั้งเมืองเจาเกอพากันเห่าหอนขึ้นมา ดูเบิกบานใจยิ่งนัก

 

นางคว้าอันดับที่หนึ่งในการประลองวิถีพิณไปแบบนี้โดยไร้ซึ่งข้อโต้แย้ง

 

ขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นอันดับหนึ่งในการประลองวิถีพิณเพียงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์สำนักชิงซาน

 

หลังจากนั้นสำนักชิงซานก็มิเคยได้แสดงฝีมือในการประลองวิถีพิณอีก และแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าเยาะเย้ยศิษย์ชิงซานเพราะเรื่องนี้ เพราะไม่มีใครอยากจะเจอกับกระบี่ชิงซานที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและจิตสังหารในการประลองต่อสู้ซึ่งเป็นรายการสุดท้าย

 

……

 

……

 

เหล่าศิษย์ชิงซานมิได้สนใจการประลองวิถีพิณที่อยู่ตรงหน้าเลยจริงๆ

 

“ยังไงผู้ชนะก็เป็นสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยอยู่แล้ว”

 

หนานว่างกล่าว

 

ตอนนั้นนางยังเป็นเพียงสาวน้อยที่เพิ่งจะออกมาจากแผ่นดินคนป่าทางตอนใต้ ตอนที่คว้าชัยชนะในการประลองวิถีพิณได้ นางได้รับการชมเชยจากผู้ดำเนินงานชุมนุมเหมยฮุ่ยว่าเป็นสาวน้อยที่เป็นธรรมชาติไร้เดียงสา แต่นางในเวลานี้คือผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักชิงซาน จิตใจลึกซึ้งสูงส่ง แต่ยังคงมีนิสัยในวันเก่าก่อนหลงเหลืออยู่ อย่างเช่นคำวิจารณ์ประโยคนี้ที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาเกินไป

 

เสียงของนางไม่ดัง แต่เหล่าศิษย์ที่อยู่บนลานเหมันต์ล้วนแต่ได้ยินอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์หญิงแห่งยอดเขาชิงหรงหรือเยาซงซานก็ล้วนแต่แสดงสีหน้าเห็นด้วย

 

ทว่าเจ้าล่าเยวี่ยกลับมิเข้าใจ นางมองไปทางจิ๋งจิ่ว

 

จิ๋งจิ่วดึงสายตากลับมาจากหนานว่าง พลางกล่าวว่า “สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยถนัดเรื่องฟ้าคนเชื่อมโยง เน้นหนักเรื่องใช้เสียงพิณพาเข้าสู่วิถี ในด้านนี้ไม่มีผู้ใดเทียบได้”

 

ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ในที่สุดศิษย์ของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยก็ก้าวขึ้นไปบนลานประลอง

 

เสียงพิณยังมิทันดังขึ้นก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นมาแล้ว

 

จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าผู้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยล้วนแต่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยอยู่

 

สาวน้อยที่ขึ้นมาบนลานประลองคือมั่วซี ในฐานะที่เป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย นางคว้าอันดับหนึ่งในการประลองวิถีพิณในงานเลี้ยงซื่อให้ที่จัดขึ้นเมื่อปีที่แล้วมาได้อย่างง่ายดาย ฝีมือทางพิณย่อมมิธรรมดา หากเป็นเวลาปกติ บางทีนางอาจจะคว้าชัยชนะมาได้อย่างง่ายดาย แต่วันนี้เมื่อฟังบทเพลงของนางจบแล้ว หลายคนกลับมิได้คิดเช่นนี้ กระทั่งตัวนางเองก็คล้ายมิได้คาดหวังมากเท่าไรนัก

 

ลมภูเขาพัดผ้าแพรสีขาวโบกสะบัด ศิษย์สำนักจงโจวคนอื่นๆ อย่างเช่นเซี่ยงหว่านซูพาถอยหลบออกไปสองข้างทาง สาวน้อยนางหนึ่งในอาภรณ์สีขาว ใบหน้าสดใสอ่อนโยน ค่อยๆ เยื้องย่างออกมา

 

“นางคือไป๋เจ่า?”

 

“ไป๋เจ่าลงประลองหรือนี่ วันนี้สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยอาจจะไม่ชนะแล้วสิ!”

 

บนลานเหมันต์มีเสียงพูดคุยดังขึ้นมา

 

………………………………………………………………………………..