ภาคที่ 2 ตอนที่ 55 น้ำค้างแข็งตัว

มรรคาสู่สวรรค์

ไป๋เจ่าคือบุตรีเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักจงโจว สติปัญญาเฉียบแหลม ใจแห่งเต๋านิ่งสงบ เป็นอัจฉริยะแห่งการบำเพ็ญพรตที่หาได้ยาก ได้รับความชื่นชมจากเหล่าอาจารย์ อยู่ในแถวหน้าสุดในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวของสำนักจงโจว ที่สำคัญคือนางเป็นคนใจกว้างความไม่คิดเล็กน้อย จัดการเรื่องราวเด็ดขาด ได้รับความเคารพอย่างสูงจากศิษย์ร่วมสำนัก แม้แต่คนที่หยิ่งทะนงอย่างถงเหยียน หรือแม้แต่คนที่กล้าพูดอะไรตรงๆ โดยมิหวั่นเกรงอย่างลั่วไหวนานก็ยังยอมรับในตัวนาง มิเคยกล่าวว่าร้ายลับหลัง

 

ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งที่แล้ว ลั่วไหวหนานได้แสดงปณิธานของตนต่อหน้าทุกคนว่าภายภาคหน้าจะไปยังดินแดนทางเหนือต่อสู้กับสัตว์ประหลาดของแคว้นเสวี่ยเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถงเหยียนนิสัยหยิ่งทะนง เยือกเย็นและสันโดษ จัวหรูซุ่ยเก็บตัวมาหลายปียังไม่ออกมา เจ้าล่าเยวี่ยเพิ่งจะแสดงอำนาจได้ไม่นาน ในสายตาหลายๆ คนมองว่าตำแหน่งผู้นำของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตของแผ่นดินเฉาเทียนหลังจากนี้ หรือก็คือตำแหน่งประธานพันธมิตรฝ่ายธรรมะที่ว่างเว้นมานานหลายปี นางคือตัวเลือกที่แข็งแกร่งที่สุด

 

วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้บำเพ็ญพรตหลายๆ คนได้เห็นไป๋เจ่า

 

ผู้คนคิดไม่ถึงเลยว่าบุคคลที่ร่ำลือกันว่ามีนิสัยสุขุมใจกว้าง กระทำการใดล้วนเด็ดขาดหรืออาจถึงขั้นดุร้าย จะเป็นสาวน้อยที่ดูอ่อนแอและงดงามเช่นนี้

 

กระโปรงขาวพลิ้วไหวแผ่วเบาตามสายลม เส้นผมเองก็ขยับตามขึ้นมา คิ้วเรียวเล็ก ดวงตาสงบนิ่ง ดูคล้ายภาพวาด สีหน้าดูอ่อนแอชวนสงสาร ราวกับดอกบัวที่เพิ่งเบ่งบาน คล้ายคลึงกิ่งหลิวที่เพิ่งแตกใบ

 

—- นี่ก็คือไป๋เจ่า

 

ผู้คนตกตะลึงในการงดงามและภาพลักษณ์ที่ดูอ่อนแอของนาง ต่างนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

 

มีเพียงศิษย์ชิงซานที่สามารถรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้ พูดอีกอย่างคือได้สติขึ้นมาค่อนข้างเร็ว เพราะพวกเขาเคยชินกับใบหน้าของจิ๋งจิ่ว จึงยากที่จะถูกความงดงามอื่นทำให้ตกตะลึงได้อีก

 

“นี่คือไป๋เจ่างั้นหรือ?”

 

เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกแปลกใจ

 

ศิษย์ชิงซานเองก็รู้สึกแลกใจ ในใจครุ่นคิดอีกฝ่ายเป็นเด็กสาวอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับเจ้าที่เป็นอาจารย์อาหรืออาจจะเหนือกว่าหน่อยด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับไม่เคยสนใจอีกฝ่ายมาก่อน?

 

“นางเป็นผู้หญิงงั้นหรือ?”

 

จิ๋งจิ่วเองก็แปลกใจ

 

เขาเคยได้ยินชื่อนี้ แต่เขาเพิ่งจะรู้เพศของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก

 

เหล่าศิษย์ชิงซานต่างหมดคำพูด ในใจครุ่นคิดอาจารย์อาแห่งยอดเขาที่เก้าทั้งสองท่านนี้ช่างสุดๆ ไปเลย

 

……

 

……

 

นิ้วอันเรียวยาววางลงบนสายพิณ ดูคล้ายเป็นการดึงอย่างอ่อนแรง แต่เสียงที่ออกมากลับดังกังวาน คล้ายกับกิ่งหลิวที่ตกลงไปบนผิวน้ำ แต่กลับทำให้เกิดสายฟ้าฟาดลงมา

 

ไม่ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรกันอยู่ แต่ทันทีที่เสียงพิณแรกดังขึ้น ความสนใจของทุกคนที่อยู่บนลานเหมันต์หลายสิบลานก็ถูกไป๋เจ่าดึงดูดเอาไว้

 

สายลมที่หนาวเย็นเล็กน้อยพัดกระโปรงสีขาวและเส้นผมที่อยู่ข้างแก้มของนางพลิ้วไหวขึ้นมา ร่างกายของนางดูอ่อนแอปวกเปียกเพียงนั้น แต่เสียงพิณที่ดีดออกมากลับไพเราะและใสสะอาด หมู่วิหคนานาชนิตที่แอบซ่อนอยู่ในป่าถูกเรียกออกมา บางเกาะอยู่บนกิ่งหลิว บ้างฟุบหมอบอยู่บนพื้นหญ้าข้างทางขึ้นเขา ส่งเสียงร้องสอดประสาน คล้ายกับดินแดนแห่งเซียนที่คนธรรมดาเหล่านั้นเขียนขึ้นมา

 

มั่วซีรู้ว่าตนเองพ่ายแพ้แล้ว แม้นจะเตรียมใจไว้แต่แรก แต่ก็ยังอดรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างไม่ได้ ในตอนที่นางมองเห็นสายตาของเซี่ยงหว่านซู ความผิดหวังยิ่งหนักอึ้งขึ้น

 

เซี่ยงหว่านซูมิได้มองนาง แล้วก็มิได้มองดูไป๋เจ่า

 

เขามองไปทางลานเหมันต์ของศิษย์ชิงซาน

 

มั่วซีรู้ว่าเขากำลังมองใครอยู่

 

……

 

……

 

เสียงพิณดังสะท้อนไปมาบนลานเหมันต์ วิหคนับร้อยขับร้องสอดประสาน ได้ยินได้ฟังเช่นนี้ มีหรือจะไม่เคลิบเคลิ้ม แม้แต่คิ้วของหนานว่างก็ยังเลิกขึ้นมา บนลานเหมันต์ที่อยู่ด้านบนคล้ายมีเสียงชื่นชมของเหอชินหวังดังลอยออกมา

 

แต่จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยกลับยังสงบนิ่ง สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้แต่น้อย หากบอกว่าเซี่ยงหวานซูและมั่วซีกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น ความสนใจจึงมิได้อยู่ที่การดีดพิณของไป๋เจ่า อย่างนั้นพวกเขาล่ะ?

 

ใจกระบี่ของเยาซงซานแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาตื่นขึ้นมาจากโลกอันสวยงามของเสียงเพลง สายตามองดูจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยพลางถามอย่างประหลาดใจว่า “อาจารย์อา หรือว่านี่ยังไม่ถือว่าดี?”

 

เจ้าล่าเยวี่ยไม่เข้าใจ นางกล่าวว่า “ข้าว่าเพราะดีออก”

 

จิ๋งจิ่วเห็นด้วยกับความคิดของนาง กล่าวว่า “ใช่ ไพเราะดี”

 

สำหรับพวกเขา ไพเราะนั้นถือเป็นคำชมแล้ว แต่เมื่อคนอื่นได้ยินเช่นนี้ มันกลับให้ความรู้สึกคล้ายตอบแบบขอไปที

 

เยาซงซานเกาศีรษะ กล่าวว่า “เช่นนี้เหตุใดอาจารย์อาถึงได้ดูสงบนิ่งเพียงนี้?”

 

ในเวลานี้เจ้าล่าเยวี่ยถึงได้เข้าใจความหมายของเขา จึงกล่าวว่า “บนโลกมีเพียงที่ไพเราะอยู่มากมาย แค่รับรู้ว่าได้ยินก็พอแล้ว หรือเวลาได้ยินเสียงสายน้ำที่ไพเราะ เจ้ายังต้องปรบมือชื่นชมด้วย?”

 

เยาซงซานงุนงง สัญชาติญาณบอกว่าคำกล่าวนี้ไม่ถูกต้อง แต่ก็รู้สึกว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก

 

……

 

……

 

เสียงเพลงจบลง หมู่วิหคยังอยู่ คล้ายยังมิอยากจากไป

 

ไป๋เจ่าลุกขึ้น หันหน้ากลับไปมองยังลานเหมันต์ของสำนักชิงซาน

 

ในเวลาเดียวกันนี่เอง เจ้าล่าเยวี่ยก็มองไปยังนางเช่นกัน

 

สายตาสองคู่บรรจบกัน

 

มุมปากไป๋เจ่าเชิดขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้ม

 

นางเป็นสาวน้อยอัจฉริยะของสำนักจงโจว ถูกหลายคนมองว่าจะกลายเป็นผู้นำแห่งโลกบำเพ็ญพรตในอีกหลายสิบปีข้างหน้า ได้รับเสียงชื่นชมและความนิยมชมชอบจำนวนนับไม่ถ้วน จนกระทั่งเจ้าล่าเยวี่ยปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อน ความนิยมของนางจึงได้ถูกแบ่งออกไป นางย่อมต้องสนใจในตัวเจ้าล่าเยวี่ยเป็นอย่างมาก ในเวลานี้เมื่อเห็นเจ้าล่าเยวี่ยมองดูตัวเอง นางจึงคิดว่าอีกฝ่ายเองก็กำลังจับตาดูตัวเองอยู่เช่นกัน

 

เพียงแต่นางคิดผิด

 

เจ้าล่าเยวี่ยกำลังมองดูนาง แต่คนที่สนใจกลับเป็นคนอื่น

 

“ในเมื่อนางมาแล้ว เหตุใดลั่วไหวหนานยังไม่ปรากฏตัวอีก?”

 

ในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวมีคนที่มีชื่อเสียงอยู่มากมาย อย่างเช่นไป๋เจ่าที่ในเวลานี้ดูเหมือนนางฟ้าที่ยืนอยู่บนภูเขา อย่างเช่นถงเหยียนที่ร่ำลือกันว่าเฉลียวฉลาดดุจเทพเซียน อย่างเช่นจัวหรูซุ่ยที่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่หลายปียังไม่ออกมา ทำให้ยิ่งดูลึกลับและกั้วหนานซานที่เป็นศิษย์คนแรกของเจ้าสำนัก หรืออย่างเช่นถงหลูแห่งสำนักกระบี่ซีไห่ รวมไปถึงตัวเจ้าล่าเยวี่ย

 

ในโลกปุถุชน ถงเหยียนมีชื่อเสียงที่สุด ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต สถานะของไป๋เจ่าสูงศักดิ์ที่สุด แต่ในใจของบรรดาผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวในช่วงหลายปีมานี้ หลั่วไหวหนานคือชื่อที่ดังกังวานที่สุด เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะสภาวะของลั่วไหวหนานสูงที่สุด ความสามารถแข็งแกร่งที่สุด

 

ไม่ใช่แค่เจ้าล่าเยวี่ยเท่านั้น หนานว่างเองก็สนใจในเรื่องนี้เช่นกัน นางกล่าวถามว่า “เหตุใดลั่วไหวหนานกับถงเหยียนยังไม่ปรากฏตัว?”

 

ศิษย์ชิงซานที่รับผิดชอบเรื่องการติดต่อกับโลกภายนอกกล่าวว่า “ยังมิได้รับแจ้งข่าวมาเจ้าค่ะ”

 

ถงเหยียนนิสัยยิ่งยโสแปลกประหลาด การที่ไม่ยอมปรากฏตัวนั้นมีความเป็นไปได้อยู่ แต่ลั่วไหวหนานเป็นศิษย์คนแรกของเจ้าสำนักจงโจว งานสำคัญอย่างงานชุมนุมเหมยฮุ่ยนี้ไม่มีทางที่จะไม่ปรากฏตัว

 

นอกเสียจากจะมีเสียงอะไรที่สำคัญกว่างานชุมนุมเหมยฮุ่ย

 

ปัญหาคือ ยังจะมีเรื่องอะไรที่สำคัญกว่างานชุมนุมเหมยฮุ่ยอีก?

 

มีศิษย์ชิงซานคาดเดาขึ้นมา “เขากำลังพยายามบรรลุสภาวะเพื่อลงประลองวิถีพรตหรือเปล่า?”

 

เยาซงซานส่ายศีรษะ “เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย”

 

จากข้อมูลอันแม่นยำที่เจวี่่ยนเหลียนเหรินปล่อยออกมา ลั่วไหวหนานบรรลุสภาวะจินตานระดับสูงได้ตั้งแต่ต้นปีแล้ว ซึ่งนั่นเทียบเท่ากับสภาวะคเนจรระดับกลางของชิงซาน สภาวะที่ลึกล้ำเช่นนี้ ในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวไม่มีใครที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้

 

ต่อให้ขยับมองขึ้นไปด้านบน เนื่องเพราะสงครามกับแคว้นเสวี่ยในตอนนั้น ยอดฝีมือจำนวนมากต้องตายลงไป จึงยากที่จะหาผู้บำเพ็ญพรตวัยกลางคนที่จะเอาชนะเขาอย่างเด็ดขาดได้

 

“ถ้าหากครั้งนี้ศิษย์พี่ใหญ่มา บางทีอาจจะยังมีหวังอยู่บ้าง”

 

ครั้นได้ยินประโยคนี้ เหล่าศิษย์ชิงซานพากันพยักหน้าเห็นด้วย — หากคิดอยากจะเอาชนะลั่วไหวหนานที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ก็มีเพียงกั้วหนานซานที่บรรลุสภาวะคเนจรขั้นต้นถึงจะพอมีหวัง

 

เพียงแต่ว่า….

 

สายตาจำนวนมากมองไปทางจิ๋งจิ่ว

 

ในงานชุมนุมซื่อเจี้ยนของชิงซาน กระบี่ของกั้วหนานซานถูกเขาทำหักไป

 

เสียงหนึ่งดังขึ้น

 

“ข้าจะลงประลองวิถีพรตเอง”

 

คนที่พูดหาใช้จิ๋งจิ่วไป

 

เขาไม่สนใจเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย

 

หากแต่เป็นเจ้าล่าเยวี่ย

 

เหล่าศิษย์ชิงซานตกตะลึง

 

จิ๋งจิ่วเหลือบมองนาง

 

…………………………………………………………