หนานว่างเองก็ได้ยินคำพูดของเจ้าล่าเยวี่ย จึงกล่าวว่า “เจ้ามั่นใจ?”
หลายคนต่างทราบดี เมื่อสองปีก่อนเจ้าล่าเยวี่ยได้เข้าสู่สภาวะมิประจักษ์ไปแล้ว ตามหลักไม่มีทางที่จะบรรลุสภาวะอีกครั้งได้รวดเร็วขนาดนี้
แม้นจะเป็นเช่นนี้ แต่ด้วยอายุของนางในตอนนี้ก็ยังถือเป็นอัจฉริยะแห่งการบำเพ็ญพรตที่หาได้ยากยิ่ง
เมล็ดพันธุ์แห่งเต่าแต่กำเนิดนั้นมิธรรมดาจริงๆ
ทว่าเวลาในการบำเพ็ญพรตของนางยังสั้นเกินไป เทียบกับลั่วไหวหนานแล้วยังห่างกันอยู่มาก การลงประลองวิถีพรตนั้นไม่มีโอกาสที่จะคว้าชัยได้เลย
เจ้าล่าเยวี่ไม่แม้แต่จะครุ่นคิด กล่าวว่า “ใช่”
หากไม่มองเรื่องสภาวะ ทั้งสองคนล้วนแต่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาของชิงซาน หนานว่างเองก็ไม่สะดวกที่จะกล่าวอะไร จึงทำได้เพียงส่ายศีรษะ ศิษย์คนอื่นเองก็มิกล้าทักท้วงอะไร
ในเวลานี้ บทเพลงของไป๋เจ่าได้จบลงแล้ว
บนลานเหมันต์สงบเงียบ
หลายคนคิดว่า หากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยไม่ส่งศิษย์คนอื่นออกมา เกรงว่าคำวิจารณ์ที่สืบทอดต่อกันมาแสนนานประโยคนั้นคงต้องถูกทำลายลงเสียแล้ว
แต่ในระหว่างนี้เอง ความเงียบบนลานเหมันต์พลันถูกเสียงพูดคุยดังแทรกขึ้นมา
มีข่าวๆ หนึ่งกำลังถูกถ่ายทอดไปบนลานเหมันต์สิบกว่าลานที่อยู่เบื้องบน สร้างความแตกตื่นขึ้นมา
ไม่นานสำนักชิงซานก็ได้รับแจ้งข่าวนี้เช่นกัน
—-เทียนจิ้นเหรินกำลังอยู่ในที่ใดที่หนึ่งภายในเมือง วันนี้ลั่วไหวหนานและถงเหยียนต่างมิได้ปรากฏกาย มีโอกาสสูงมากที่พวกเขากำลังไปพบอีกฝ่าย!
การได้รับคำชี้แนะจากเทียนจิ้นเหรินถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง หากถูกอีกฝ่ายกล่าวชมเชย จะทำให้ผู้บำเพ็ญพรตผู้นั้นมีสถานะภายในสำนักที่สูงขึ้น ได้รับทรัพยากรมากขึ้น ความคิดของหลายคนขยับทันที แต่เนื่องเพราะที่นี่คืองานชุมนุมเหมยฮุ่ย ขุนนางสำคัญของราชสำนักและเหล่าอาจารย์ของแต่ละสำนักต่างอยู่ที่นี่ ผู้ใดจะกล้าออกไปโดยพลการกันเล่า?
จิ๋งจิ่วสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของเจ้าล่าเยวี่ย จึงกล่าวถามว่า “อยากไปดู?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “อยากรู้นิดหน่อย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เช่นนั้นก็ไปดู”
ทั้งสองลุกขึ้น บอกกล่าวกับหนานว่างคำหนึ่ง ก่อนจะเดินไปทางเบื้องล่างของลานเหมันต์
หลายคนสังเกตเห็นถึงความเคลื่อนไหวนี้ จึงอดส่งเสียงฮือฮาออกมาไม่ได้ ในใจครุ่นคิดงานชุมนุมเหมยฮุ่ยยังไม่จบลง ฉานจึยังมิได้ให้คำวิจารณ์ใดๆ แต่กลับลุกออกไปแบบนี้อย่างนั้นหรือ?
ไป๋เจ่ามองดูทั้งสองคน คิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย แลดูยิ่งอ่อนแอ
นางคาดเดาได้ว่าเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วจะออกไปทำอะไร
นางมิได้สนใจในเรื่องนี้ เพราะเวลานี้ลั่วไหวนานและถงเหยียนน่าจะกำลังพบกับปรมาจารย์แห่งการทำนายดวงชะตาที่ร่ำลือกันผู้นั้นอยู่ และนี่ก็เป็นแผนที่นางวางเอาไว้
สิ่งที่นางสนใจ หรือพูดอีกอย่างก็คือผิดหวังนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ร้อนใจอยากจะไปเจอเทียนจิ้นเหรินขนาดนี้ ยังต้องคอยให้คนอื่นช่วยยืนยันก่อนถึงจะมั่นใจได้อย่างนั้นหรือ?
เจ้าล่าเยวี่ยที่เป็นเช่นนี้ จะคู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของตัวเองได้อย่างไร?
……
……
ออกจากทางเดินของสวนดอกเหมยมายังด้านหลังลานเหมันต์ อ้อมโค้งสองโค้ง ร่างของจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยก็หายไปจากสายตาทุกคน
การเดินทางด้วยกันนับหลายหมื่นลี้ได้ทำให้เกิดเป็นความเคยชินบางอย่าง มันทำให้เจ้าล่าเยวี่ยยอมรับนิสัยแปลกประหลาดของจิ๋งจิ่วได้แล้ว อย่างเช่น เขามักจะยอมเดิน แต่มิยอมขี่กระบี่ นอกเสียจากจะมีสถานการณ์พิเศษเกิดขึ้น
พวกเขาเดินอยู่บนทางขึ้นเขา พลางพูดคุยเรื่อยเปื่อย
จิ๋งจิ่วทราบว่าคนที่เจ้าล่าเยวี่ยอยากจะเจอจริงๆ มิใช่เทียนจิ้นเหริน หากแต่เป็นลั่วไหวหนานที่อาจจะกำลังพบเทียนจิ้นเหรินอยู่ — เป็นเพราะการประลองวิถีพรตที่จะจัดขึ้นในอีกหลายสิบวันหลังจากนี้
เขากล่าวว่า “หากข่าวลือเป็นจริง เจ้าก็มิใช่คู่มือของเขา”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ก็ต้องสู้ก่อนถึงจะรู้ได้”
คำพูดประโยคนี้เหมาะสมกับท่าทีที่นางมีต่อการบำเพ็ญพรตมาโดยตลอด
หนทางขึ้นสู่ฟ้าเต็มไปด้วยอุปสรรคอันตราย หากมัวแต่กลัวนั่นกลัวนี้ เช่นนั้นยังจะบำเพ็ญพรตอะไรอีก?
จิ๋งจิ่วเหลือบมองนาง มิได้กล่าวกระไร
เจ้าล่าเยวี่ยจำได้อย่างชัดเจน เมื่อครู่ตอนที่นางบอกว่าตนเองจะเข้าร่วมงานประลอง เขาเองก็เหลือบมองตัวเองเช่นนี้เหมือนกัน มิได้กล่าวกระไร แต่ความหมายกลับชัดเจน
“เจ้าไม่เห็นด้วย?”
นางมิค่อยเข้าใจ
ในการบำเพ็ญเพียรเมื่อหลายปีก่อน กำจัดปีศาจขจัดความชั่ว กระบี่บินสังหารคน ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์ที่อันตรายแบบไหน จิ๋งจิ่วล้วนมิเคยขัดขวางนางมาก่อน แต่เหตุใดวันนี้กลับมิเห็นด้วยต่อความคิดที่จะเข้าร่วมประลองของตนเองถึงเพียงนี้?
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่เคยเข้าร่วมการประลองวิถีพรตในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ทว่าข้ารู้อะไรบางอย่าง”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ย่ำโลหิตแสวงหาดอกเหมย[1]? ข้ามิสนใจ”
จิ๋งจิ่วมองนาง พลางกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบและจริงจังว่า “นั่นคือโลกแห่งความจริง”
เจ้าล่าเยวี่ยเองก็จริงจังขึ้นมา กล่าวว่า “ข้ารู้ความหมายของความจริง”
“การต่อสู้บนหนทางหลายหมื่นลี้เหล่านั้นยังมิใช่ความจริง อย่างมากก็เป็นเพียงครึ่งจริงครึ่งเท็จ แต่สิ่งที่ข้ากล่าวมา มันคือความจริงอันแท้จริงที่แม้กระทั่งข้าก็ยังไม่ปรารถนาจะสัมผัส”
จิ๋งจิ่วมองดูดวงตานางพลางกล่าว
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “สิ่งใดคือความจริง?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ความตายคือความจริง กล่าวให้ถูกคือความตายของตัวเอง”
ในเวลานี้พวกเขาเดินมาถึงครึ่งทางของเชิงเขา
สายลมอ่อนๆ พัดผ่านหมู่ไม้ที่อยู่ริมผา ทิวทัศน์งดงามยิ่ง แต่น่าเสียดายที่หมู่มวลวิหคที่ส่งเสียงร้องเจื้อยเแจ้วยังคงอยู่ตรงผาฝั่งนั้นมิยอมจากมา ทิวทัศน์จึงขาดชีวิตชีวาลงไปไม่น้อย
เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวว่า “ไม่เข้าใจ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่เข้าใจนั่นแหละดีที่สุด”
เจ้าล่าเยวี่ยพลันรู้สึกว่าในตอนที่เขาพูดประโยคนี้ออกมา เขาออกห่างจากตัวเองไปไกลแสนไกล
บนใบหน้าอันงดงามของจิ๋งจิ่ว นางคล้ายมองเห็นหุบเหวลึกที่ไม่มีที่สิ้นสุด
หุบเหวลึกหมายถึงความห่างไกล
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเป็นยิ่งนัก จึงเปลี่ยนประเด็นอย่างฝืนๆ ว่า “แม้นจะมิค่อนสนใจ แต่ก็ยังใคร่รู้ผลลัพธ์ในตอนสุดท้าย”
ที่นางพูดย่อมมิใช่การประลองวิถีพรต หากแต่หมายถึงการประลองวิถีพิณในวันนี้ จิ๋งจิ่วพูดประโยคที่กล่าวต่อๆ กันมาในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตประโยคนั้นอีกครั้ง “ยังไงผู้ชนะก็เป็นสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย”
ทันใดนั้นพลันมีเสียงพิณเสียงหนึ่งดังอยู่บนท้องฟ้า
ต้นกำเนิดเสียงคือลานเหมันต์ทางด้านนั้น
เสียงพิณลอยข้ามภูเขามา ฟังดูแผ่วเบาเป็นอย่างมาก ครั้นลอยล่องเข้าไปในหู มันกลับดังชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ภายในเสียงคล้ายแฝงเอาไว้ด้วยพลังอันมหาศาลสายหนึ่ง
จากนั้นเสียงพิณเสียงที่สองดังขึ้นและมิได้หยุดลงอีก เพียงแต่เสียงพิณหาได้ลื่นไหลเหมือนดั่งสายน้ำ ประเดี๋ยวดังประเดี๋ยวไม่ดัง ดูกระท่อนกระแท่นเป็นยิ่งนัก กระทั่งจังหวะที่เป็นพื้นฐานก็ยังดีดไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความไพเราะใดๆ เลย แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด จิ๋งจิ่วคล้ายถูกเสียงพิณนี้ทำให้เคลิบเคลิ้ม ฝีเท้าหยุดลง ยืนอยู่ริมผาทอดตามองไปบนนภา นิ่งเงียบอยู่นานมิกล่าวกระไร
เทียบกับตอนที่ไป๋เจ่าดีดพิณแล้วแตกต่างกัน เวลาที่คนผู้นี้ดีดพิณมิได้มีหมู่วิหคส่งเสียงร้องสอดประสาน แต่มิได้หมายความว่าหมู่วิหคไม่ชื่นชอบเสียงพิณ หากแต่เป็นเพราะพวกมันมิกล้าเปล่งเสียง
ฝีมือการบรรเลงของคนที่ดีดพิณดูติดขัดอย่างเห็นได้ชัด คล้ายเป็นมือใหม่ที่เพิ่งหัดเรียน แต่เสียงบทเพลงที่บรรเลงออกมากลับทรงพลังไร้คู่เปรียบ ราวกับจะช่วงชิงทุกสรรพเสียงที่อยู่บนโลกนี้ไป
อย่าว่าแต่หมู่วิหคเหล่านั้นเลย ในช่วงเวลาที่คนผู้นั้นดีดพิณ กระทั่งสายลมที่พัดผ่านยอดไม้ สายน้ำที่ไหลลงไปในธารน้ำ ก็ล้วนมิอาจส่งเสียงใดๆ ออกมา
ยามข้าเบ่งบาน หมู่มวลบุปผาร่วงโรย
ยามข้าเปล่งเสียง ฟ้าดินยังต้องเงียบลงเพื่อฟัง
นี่คือพลังอำนาจ
เจ้าล่าเยวี่ยรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่ยังหลงเหลืออยู่ในป่า นางสะกดความรู้สึกตกตะลึงที่อยู่ในใจ มองดูใบหน้าด้านข้างของจิ๋งจิ่ว พลางคิดถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่อยู่ในเมืองไห่โจวปีที่แล้วเหล่านั้น
การดีดพิณของคนผู้นี้คล้ายการวางหมากล้อมของจิ๋งจิ่ว
มือสมัครเล่น
กระท่อนกระแท่น
ไม่ไพเราะ
ไม่น่าดู
แต่กลับไร้คู่ต่อกร
จิ๋งจิ่วมองท้องฟ้า คล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ก้อนเมฆที่ไหลเอื่อยอยู่ด้านบนถูกเสียงพิณฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวเสียงเบา “มิรู้ว่าคือผู้ใด”
จิ๋งจิ่วไม่รู้ว่าคนที่ดีดพิณผู้นั้นคือใคร แต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายมาจากไหน
เพราะเขาฟังออกถึงท่วงทำนองบางอย่างของเพื่อนเก่าจากในเสียงพิณ
“สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย”
เขากล่าว
เจ้าล่าเยวี่ยนึกถึงคำพูดที่พูดต่อๆ กันมาประโยคนั้นอีกครั้ง ยังไงผู้ชนะก็เป็นสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
จากนั้นนางคิดถึงหญิงสาวที่มีใบหน้าธรรมดาที่ยืนอยู่บนลานเหมันต์ของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยผู้นั้นขึ้นมา
ไม่รู้เพราะเหตุใด ใจแห่งกระบี่พลันสับสนขึ้นมาเล็กน้อย นางเกิดความรู้สึกเหมือนอย่างที่จิ๋งจิ่วเพิ่งจะกล่าวไปเมื่อครู่นี้
ไม่เข้าใจนั่นแหละดีที่สุด
…………………………………………..
[1]ย่ำโลหิตแสวงหาดอกเหมย ในที่นี้หมายถึงต้องฝ่าฟันการต่อสู้อันแสนอันตรายเพื่อมุ่งไปสู่ชัยชนะ