ในเมืองเจาเกอวันนี้ งานชุมนุมเหมยฮุ่ยย่อมต้องเป็นที่จับตามองของคนนับหมื่น แล้วก็เป็นจุดสนใจเพียงหนึ่งเดียว แต่นอกจากสายตาอันร้อนแรงของชาวบ้านแล้ว ภายในเมืองยังมีคลื่นใต้น้ำที่กำลังไหลเชี่ยวอยู่อย่างลับๆ ด้วย
ความคิดจิตใจของเหล่าผู้บำเพ็ญพรตวัยเยาว์ที่กำลังร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยได้ไปอยู่ที่อื่นเรียบร้อยแล้ว
ข้อมูลจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังหลั่งไหลไปตามกระเบื้องชายคาและตามตรอกซอกซอย
ผู้ยิ่งใหญ่ของแต่ละสำนัก ขุนนางระดับสูงในราชสำนัก พ่อค้าร่ำรวยภายในเมือง ล้วนแต่กำลังตามหาเบาะแสของคนผู้หนึ่ง
เทียนจิ้นเหริน
มีคนอยากรู้ว่าอายุขัยของตนยังเหลือมากน้อยเท่าไร มีคนอยากรู้ว่าจิตที่ก่อเป็นรูปของตนไปอยู่ที่ไหนแล้ว มีคนอยากรู้ว่าฝ่าบาทเสินหวงทรงโปรดปรานสิ่งใด มีคนอยากรู้ว่าลูกชายเพียงคนเดียวของคนใช่ลูกแท้ๆ ของตนหรือไม่ แต่แน่นอน มีบางคนอยากจะถามคำถามบางอย่างที่มีความสำคัญกว่านั้น อาทิเช่นนักพรตจิ่งหยางบรรลุเป็นเซียนล้มเหลวจริงหรือไม่
จิ๋งจิ่วมิแน่ใจว่าเจ้าล่าเยวี่ยอยากถามคำถามนี้เมื่อเจอเทียนจิ้นเหริน หรืออยากจะรู้เบาะแสของอินซาน หรือว่าแค่อยากจะเจอลั่วไหวหนาน
อัจฉริยะแห่งการบำเพ็ญพรตของสำนักจงโจวที่อาจจะกำลังพบกับเทียนจิ้นเหรินอยู่ผู้นั้น คือผู้ที่มีโอกาสชนะมากที่สุดในการประลองวิถีพรตของงานชุมนุมเหมยฮุ่ย แล้วก็ย่อมต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของนาง
แต่ไม่ว่าเจ้าล่าเยวี่ยอยากจะเจอเทียนจิ้นเหรินด้วยเหตุผลใด เขาก็จะพานางไป
ในสำนักชิงซานเวลานี้ เจ้าล่าเยวี่ยคือเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ เขาเป็นศิษย์ธรรมดา ทั้งสองคควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง แต่ในความเป็นจริง เขาล้วนแต่วางตัวเองเป็นอาจารย์มาโดยตลอด
เจ้าล่าเยวี่ยเคยชินและยอมรับในจุดนี้มานานแล้ว
อาจารย์มีเรื่อง ศิษย์ย่อมพร้อมรับใช้
ศิษย์มีเรื่อง ผู้เป็นอาจารย์ย่อมต้องช่วยเหลือ
คนอื่นไม่รู้ว่าเทียนจิ้นเหรินอยู่ที่ใด จิ๋งจิ่วเองก็ไม่รู้ว่าเทียนจิ้นเหรินอยู่ที่ใด แต่เขารู้ว่าใครที่ทราบว่าเทียนจิ้นเหรินอยู่ที่ใด
……
……
ทางตะวันออกของเมืองเจาเกอ ริมทะเลสาบไป๋หม่า มีถนนที่รุ่งเรืองคึกคักอยู่เส้นหนึ่ง
ทางตะวันตกของถนนมีโรงหมออยู่แห่งหนึ่ง บนป้ายแกะสลักเป็นรูปดอกไห่ถัง ด้านในมีหมออยู่ท่านหนึ่ง แล้วยังมีเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง ดูแล้วช่างเงียบเหงา
แต่ใครจะรู้บ้างว่าโรงหมอแห่งนี้คือกลุ่มข่าวกรองที่ใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน —- เจวี่ยนเหลียนเหริน —- ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ นี่ยังเป็นสาขาที่อยู่ในระดับสูงที่สุดด้วย
จิ๋งจิ่วรู้
ขอเพียงใช้ชีวิตมายาวนานพอ ยังไงก็พอจะรู้ความลับอยู่บ้าง
ยิ่งไปกว่านั้นในอดีตศิษย์พี่ของเขาผู้นั้นชื่นชอบสอบถามความลับเป็นที่สุด หลังจากนั้นก็จะมาเล่าให้เขาฟังเหมือนเล่านิทาน
เมื่อเดินเข้ามาในโรงหมอ จิ๋งจิ่วถอดหมวกลี่เม่าออก ขณะเตรียมจะพูดรหัสลับดอกไห่ถังยังงดงามหรือไม่ประโยคนั้น หมอรีบยกมือขวาขึ้นมาเพื่อบอกเขาว่าไม่ต้องพูดแล้ว จากนั้นพาเขากับเจ้าล่าเยวี่ยเข้าไปในห้อง
“นี่เหมือนจะไม่ตรงตามกฎ” จิ๋งจิ่วกล่าว
หมอยิ้มเจื่อนพลางกล่าว “เพียงแค่เห็นหน้าเจ้าก็รู้แล้วว่าเจ้าคือจิ๋งจิ่ว”
ครั้งที่แล้ว เจวี่ยนเหลียนเหรินคาดเดาได้ถึงสถานะของเขา หลังจากนั้นก็เคยทำการตรวจสอบยืนยัน
เช่นนี้แล้ว ไหนเลยยังต้องมานั่งพูดรหัสลับเก่าแก่ที่มิได้ใช้มาเป็นเวลานานหลายร้อยปีอย่างดอกไห่ถังยังงดงามหรือไม่เช่นนี้อีก
จิ๋งจิ่วมิได้ครุ่นคิดว่าในเรื่องนี้มีความหมายอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ เขารู้สึกว่าเมื่อไม่ต้องพูดรหัสลับ ลดความยุ่งยากลงไปบ้าง เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดี เขาจึงพูดออกมาตามตรงว่า “เทียนจิ้นเหรินอยู่ที่ไหน?”
หมอมองดูเขา พลางกล่าวอย่างจริงจัง “นี่เป็นข้อมูลระดับสูงมาก”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ครั้งที่แล้วข้าให้ข้อมูลเจ้าไปสามเรื่อง”
หมอยิ้มเล็กน้อย พลางกล่าว “มีข้อมูลสองเรื่องมิได้รับการยืนยัน ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเราติดค้างกัน”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด พลางกล่าว “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าคือจิ๋งจิ่ว เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะเดาได้ว่านางคือใคร?”
หมอมองไปยังดรุณีที่อยู่ข้างกายเขา อดตกตะลึงไม่ได้
เขาคือจิ๋งจิ่ว เช่นนั้นนางย่อมต้องเป็นเจ้าล่าเยวี่ย
สำหรับเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดและเจ้าแห่งยอดเขาที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ชิงซานผู้นี้ เจวี่ยนเหลียนเหรินย่อมต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และไม่รู้ว่ารวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนางมามากน้อยเท่าไร
ตามหลักแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลระดับสูงของเจวี่ยนเหลียนเหริน ในตอนที่เจ้าล่าเยวี่ยเดินตามจิ๋งจิ่วเข้ามาในโรงหมอ หมอน่าจะมองนางออกแต่แรกแล้ว
ปัญหาอยู่ที่ว่า ในข้อมูลเหล่านั้นบอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าเจ้าล่าเยวี่ยเป็นคนไม่สนใจพิธีรีตองเล็กๆ น้อยๆ ทั้งยังมิได้สนใจเรื่องหน้าตาและการแต่งกายเลยแม้แต่นิดเดียว….
เช่นนั้น ดอกไม้สีเหลืองที่เสียบอยู่ตรงขมับมันคืออะไร?
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หมอได้สติขึ้นมา พลางเข้าใจความหมายของจิ๋งจิ่ว
ก่อนหน้านี้เขาได้ให้ข้อมูลกับจิ๋งจิ่วไปเนื่องเพราะเจวี่ยนเหลียนเหรินทำงานผิดพลาด เวลานี้เจ้าล่าเยวี่ยซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องได้มาเอง มีหรือที่นางจะยอมกลับไปมือเปล่า?
“ข้อมูลนี้แพงมาก ขออย่าได้แพร่งพรายออกไป”
แม้นจะทำการตัดสินใจออกมา แต่หมอกลับดูเบิกบานใจ เขาบอกสถานที่นั้นออกมาตรงๆ
—- หลังเทียนจิ้นเหรินมายังเมืองเจาเกอ เขาก็อยู่ที่สวนดอกเหมยตลอด
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเพิ่งจะออกมาจากสวนดอกเหมย
เช่นนั้นสวนดอกเหมยที่ว่านี้ย่อมมิใช่ลานเหมันต์บนภูเขาที่กำลังจัดงานชุมนุมเหมยฮุ่ย หากแต่เป็นสวนดอกเหมยเก่า
……
……
ตอนอยู่ในโรงหมอ เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบมิได้เอ่ยอะไร แล้วก็มิได้ถามว่าเหตุใดจิ๋งจิ่วจึงมีความสัมพันธ์กับเจวี่ยนเหลียนเหริน
จนกระทั่งมาถึงด้านนอกถนนเก่าแก่เส้นนั้น นางจึงเอ่ยปากขึ้นมา
“ข้าอาศัยอยู่ในเมืองเจาเกอมาตั้งแต่เด็ก แต่เนื่องเพราะต้องเตรียมตัวบำเพ็ญพรต จึงแทบมิได้ออกจากบ้าน นี่เป็นครั้งแรกที่มาที่นี่”
ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว สัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยบุกเข้ามา การปกครองของราชสำนักถูกตัดขาด เสินหวงและผู้นำวัยเยาว์ของสำนักฝ่ายธรรมะผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกันในสวนดอกเหมย นี่คือประวัติความเป็นมาของงานชุมนุมเหมยฮุ่ย
สวนดอกเหมยในตอนนี้คือสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ตระการตาที่สุดในเมืองเจาเกอ แต่มันกลับไม่ใช่สถานที่เมื่อครั้งอดีตนั้น
สวนดอกเหมยที่แท้จริงอยู่ปลายสุดของถนนเก่าแก่เส้นนี้
เจ้าล่าเยวี่ยมิเคยมาที่นี่ แล้วก็มีน้อยคนนักที่จะจำที่นี่ได้
เมื่อเทียบกับสวนดอกเหมยแห่งใหม่ที่เป็นที่จับตามองของคนนับหมื่นและมีความคึกคักเป็นอย่างยิ่งแล้ว สวนดอกเหมยที่แท้จริงแห่งนี้ดูคล้ายโบราณสถานที่ไร้คนมาเยี่ยมเยือนรำลึกถึง
จิ๋งจิ่วสวมหมวกลี่เม่า ทอดตามองไปทางด้านนั้น มองเห็นต้นไม้นิดหน่อย แล้วยังมีศาลาเก่าๆ หลังหนึ่ง ดูรกร้างเปล่าเปลี่ยว
ครั้งนั้นตอนที่งานชุมนุมเหมยฮุ่ยจัดขึ้น เขากำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการบรรลุสภาวะ ไม่สามารถเข้าร่วมได้ แต่ต่อให้มาเข้าร่วมได้ เขาก็ไม่มีทางมาเนื่องด้วยเหตุผลบางอย่าง
ศิษย์พี่เข้าร่วม เจ้าสำนักจงโจวคนก่อนเข้าร่วม เจ้าอาวาสวัดกั่วเฉิง หรือก็คืออาจารย์ของฉานจึก็เข้าร่วม
ในตอนนั้นเหลียนซานเยวี่ยกำลังฆ่าคน ดังนั้นคนที่มาคือเจ้าสำนักของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
เสียงปังเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นเป็นเสียงโต้เถียงกัน ตัวเขาถูกดึงกลับมาจากความทรงจำอันแสนล้ำค่า
ความคึกคักบนท้องถนนมิได้มาจากอาคันตุกะที่มาเที่ยวชมอดีตสวนดอกเหมย หากแต่มาจากแฝงกหมากรุกที่อยู่ริมถนน
เมื่อมีแผงหมากรุก ก็ย่อมต้องมีผู้ที่ต้องการเอาชนะในการเล่นหมากรุก แล้วก็มีเหล่าคนว่างงานที่มาชมการประลองด้วย
สรุปแล้วล้วนแต่เป็นคนชอบความคึกคัก เช่นนั้นก็ย่อมต้องคึกคัก
ทุกที่บนถนนเต็มไปด้วยเสียงตะโกนรุก เสียงหัวเราะชอบใจ เสียงด่าแม่ เสียงตัวหมากกระแทกกับกระดาน อีกทั้งกลิ่นที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเหงื่อ กลิ่นเท้าและกลิ่นควันบุหรี่ผสมปนเปกัน
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเดินผ่านถนนท่ามกลางเสียงและกลิ่นเหล่านี้ สีหน้าที่อยู่ภายใต้หมวกลี่เม่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
เมื่อเดินมาถึงช่วงปลายของถนน ต้นไม้ที่บิดๆ เบี้ยวๆ อยู่ในสวนดอกเหมยเก่าก็ปรากฏขึ้นแก่สายตา จิ๋งจิ่วพลันหยุดฝีเท้า ทอดตามองไปทางด้านขวามือ
เจ้าล่าเยวี่ยงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะมองตามไป
ตรงนั้นมีแผงหมากรุกอยู่แผงหนึ่ง มันมิใช่การท้าให้ลองแก้หมาก หากแต่เป็นการสู้โดยผลัดกันเดินหมาก
รอบแผงหมากรุกห้อมล้อมไปด้วยผู้คน
บนใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ
มีคนๆ หนึ่งยืนอยู่ตรงข้ามทุกคน
ใบหน้าอ่อนเยาว์ ปากแดงฟันขาว มองดูแล้วคล้ายเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง แต่สีหน้ากลับดูหยิ่งยโสเย็นชาเป็นยิ่งนัก ราวกับมองมิเห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ถูกชะตาเมื่อได้เห็น
เขามองดูเจ้าของแผงหมากรุก พลางกล่าว “เจ้าแพ้แล้ว ไสหัวไปซะ”
ดูเหมือนเขากับเจ้าของแผงหมากรุกจะพนันกันอยู่ สิ่งที่พนันมิใช่เงินทอง หากแต่เป็นการรั้งอยู่ที่นี่หรือจากไป
ทุกคนเห็นเขาแข็งกร้าวเช่นนี้ จึงอดรู้สึกโมโหไม่ได้ พากันตะโกนขึ้นมา
“พูดจาให้มันดีหน่อย!”
“ก็แค่โชคดีเอาชนะได้หนึ่งกระดาน จะอวดดีไปทำไม!”
“ใช่! แน่จริงเจ้าลองแข่งอีกกระดานสิ!”
ชายหนุ่มผู้นั้นมิได้สนใจ หากแต่เดินไปยังหน้าแผงหมากรุกแผงต่อไป
แผงหมากรุกนี้เป็นการแก้หมาก
ชายหนุ่มกวาดตามองดู ก่อนจะยื่นมือไปขยับเดินม้าบนกระดาน
ผู้คนยังคงโกรธแค้นกับท่าทีอวดดีของคนผู้นี้อยู่ เสียงด่าทอดังมิหยุด
เจ้าของแผงหมากรุกที่พ่ายแพ้ผู้นั้นก็ไม่ยอม เขาตะโกนว่า “ข้าไม่ไป เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”
ทันใดนั้นเอง รอบด้านพลันเงียบขึ้นมา เจ้าของแผงหมากรุกที่เพิ่งพ่ายแพ้ไปผู้นั้นก็หุบปากลงเช่นกัน
เพราะพวกเขาพบว่าสีหน้าเจ้าของแผงหมากรุกที่ให้แก้หมากดูแย่อยากมาก เหงื่อไหลทะลักออกมา
“ไสหัวไป”
ชายหนุ่มพูดจบก็เดินไปยังแผงหมากรุกแผงที่สาม
……………………………………………………………………