อวี้ถังรู้สึกประหลาดใจ
นางเพิ่งจะแยกกับเผยเยี่ยน ทำไมจู่ๆ เขาก็มาโผล่ที่ประตูหลังร้านนางได้ล่ะ? มีเรื่องเร่งด่วนต้องพบนางหรือ?
อวี้ถังเตรียมจะเดินเข้าไปถาม จ้าวเจิ้นคนรถจำนางได้พอดี จึงรีบเลิกม่านรถม้าแล้วบอกความกับคนด้านในสองสามคำ เผยเยี่ยนจึงตวัดผ้าแล้วกระโดดลงมาจากรถม้า
“เหตุใดท่านถึงมาที่นี่ล่ะ?” อวี้ถังถาม
เผยเยี่ยนเปลี่ยนไปใส่อีกชุดแล้ว เป็นเสื้อคลุมหลวมผ้าหังโฉวสีเขียว ปักปิ่นหยกขาว งดงามสูงส่งดั่งภาพวาดพู่กันผืนหนึ่ง
อวี้ถังกะพริบตาปริบๆ
คิดว่าที่ตนเองยอมอดทนต่อเผยเยี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า หนึ่งเพราะได้รับความช่วยเหลือมากมายจากเขา สองเพราะเผยเยี่ยนมีหน้าตาหล่อเหลาเหลือเกิน
ในบรรดาคนที่นางรู้จักทั้งหมด ไม่มีใครจะหล่อเหลาได้เท่ากับเผยเยี่ยนอีกแล้ว
เผยเยี่ยนเห็นท่าทีประหลาดใจของนาง ได้ฟังดังนั้นก็กวาดตามองไปรอบๆ ทีหนึ่ง แล้วย้อนถามว่า “นี่คือประตูหลังร้านค้าของเจ้า?”
อวี้ถังผงกศีรษะ
เผยเยี่ยนชี้นิ้วไปทางประตูหรูอี้ที่ห่างไปไม่มาก “ประตูข้างของร้านเครื่องเงินสกุลเผย”
มีเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยรึ!
อวี้ถังลอบสบถในใจไปสองที “ไม่คิดว่าจะได้เจอนายท่านสามที่นี่ด้วย ในเมื่อท่านยุ่งอยู่ เช่นนั้นข้าขอตัว”
ใครจะคิดว่าเผยเยี่ยนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเจอกันแล้ว เช่นนั้นข้าเข้าไปดูในร้านหน่อยแล้วกัน” จากนั้น ก็ยกเท้าก้าวเข้าไป ขณะที่เดินก็หันมาพูดว่า “เถ้าแก่น้อยอยู่ที่ร้านหรือไม่? กล่องใส่แท่งหมึกที่ข้านำมาเป็นสินค้าเลื่องชื่อในร้านเครื่องเขียนที่เมืองหลวง แต่ว่าข้าไม่เคยไปดู ไม่รู้ว่าพวกเขาขายของสิ่งนี้อยู่ตลอด หรือมีขายแค่บางเวลาเท่านั้น? คิดว่าควรส่งคนไปสืบดูก่อน รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งย่อมชนะร้อยครั้ง!”
อวี้ถังกลับอยากรู้มากกว่าว่าเหตุใดเขาถึงมาที่ร้านเครื่องเงินสกุลเผย ทั้งยังมีเวลาว่างมาชมร้านของสกุลนางอีก
นางเอ่ยขึ้นว่า “ร้านเครื่องเงินทางนั้นไม่มีเรื่องใดหรือเจ้าคะ?”
“จะมีเรื่องอะไรได้ล่ะ!” เผยเยี่ยนตอบอย่างไม่เห็นด้วย “ข้าเตรียมจะให้เถ้าแก่ใหญ่ถงมาดูแลร้านเครื่องเงินของสกุลด้วย ร้านค้าที่เป่ยจิงทางนั้นรับงานค้าขายเสบียงของกองทัพ ข้าคิดว่าไม่ค่อยเข้าท่า ต้องใช้คนเก่าคนแก่ของสกุลจึงจะวางใจได้”
รับงานค้าขายเสบียงของกองทัพมิใช่เรื่องดีรึ?
สมองของอวี้ถังหมุนปราดอย่างว่องไว
เพราะตอนนี้สกุลเผยไม่มีคนรับราชการในราชสำนักแล้ว ดังนั้นการรับงานค้าขายเช่นนี้มาอาจไปขวางทางผลประโยชน์ของผู้อื่นได้
นางเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเผยเยี่ยน จึงพยักหน้ารัวเร็วแล้วเอ่ยว่า “หากได้เถ้าแก่ใหญ่ถงขึ้นมาคุมหางเสือ ย่อมทำให้คนวางใจได้ แต่เถ้าแก่ใหญ่ถงอายุไม่น้อยแล้ว สกุลเผยของท่านคงมีร้านเครื่องเงินหลายแห่งอยู่ เขาจะดูแลได้ทั่วถึงหรือ?”
เผยเยี่ยนตอบว่า “ข้าจะให้เฉินฉีช่วยเขา เขาเป็นคนเก่าแก่ของสกุล บางเรื่องมีเขาออกหน้าจะเหมาะสมกว่า ส่วนเรื่องตรวจสอบบัญชีที่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง ก็ให้เฉินฉีจัดการ”
จัดการเช่นนี้นับว่าไม่เลว
อวี้ถังครุ่นคิด จากนั้นก็เดินตามหลังเผยเยี่ยนเข้าไปในร้าน
ซย่าผิงกุ้ยกับอวี้หย่วนกำลังประคองกล่องใส่แท่งหมึกของเผยเยี่ยน ยืนคุยกันอยู่ใต้ต้นไหวในลานร้าน พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงหันมา สองคนรีบเข้ามาต้อนรับทันที
“นายท่านสาม มาได้อย่างไรขอรับ” ซย่าผิงกุ้ยเอ่ยอย่างนบนอบ
เผยเยี่ยนโบกมือปัดไปมา เอ่ยว่า “ที่พวกเจ้าศึกษามีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง?”
ซย่าผิงกุ้ยรีบตอบทันทีว่า “เมื่อครู่ข้ากับเถ้าแก่น้อยดูไปหลายรอบแล้ว คิดว่าของที่เราแกะสลักออกมายังแบ่งชั้นไม่ลึกพอ คนจึงเห็นลายเส้นไม่ชัดเจน…” ดวงตาของเขาเปล่งประกาย เล่าสิ่งที่ตนคิดและได้ค้นพบออกมาไม่หยุด สายตาที่ใช้มองเผยเยี่ยนก็คล้ายมองอาจารย์ไม่ปาน ไม่สิ สายตานั้นแสดงความเคารพนับถือยิ่งกว่าตอนมองท่านลุงของนางเสียอีก รับรู้ถึงความกังวลและรีบร้อนที่จะได้การยอมรับจากเผยเยี่ยน
อวี้ถังพลันรู้สึกปวดฟันขึ้นมา
ทำไมผู้อื่นถึงสูญเสียความเป็นตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าเผยเยี่ยนไปทีละคนสองคนเช่นนี้
พอเผยเยี่ยนฟังคำของซย่าผิงกุ้ยจบก็เอ่ยชมซย่าผิงกุ้ย ทั้งบอกกับอวี้หย่วนทันทีว่า “แม้ฝีมือแกะสลักของเขาจะธรรมดา แต่สายตานับว่าไม่เลว เจ้าทำตามที่เขาพูดก็ใช้ได้แล้ว สาเหตุก็คงเป็นอย่างที่เขาว่า สิ่งที่สกุลเจ้าแกะสลักยังแบ่งเส้นชั้นไม่ชัดเจน”
อวี้หย่วนพยักหน้าหงึกหงักเหมือนไก่จิกเม็ดข้าว กลัวแต่ว่าจะทำคำพูดใดของเผยเยี่ยนตกหล่นไป
ดีที่เผยเยี่ยนรั้งตัวอยู่ที่ร้านค้าสกุลอวี้เพียงครู่เดียวก็กลับ อวี้หย่วนกับอวี้ถังไปส่งเขา ยังคงออกทางประตูหลังเหมือนเดิม
จ้าวเจิ้นยกเอาตั่งไม้เตี้ยออกมา
เผยเยี่ยนใช้ขาข้างหนึ่งเหยียบที่ตั่งไม้ ทว่าจู่ๆ ก็หันกลับมาเอ่ยกับอวี้ถังว่า “กล่องบริจาคของสกุลเจ้าทำไปถึงไหนแล้ว? มารดาข้าจะเข้าพักที่วัดเจาหมิงตอนวันที่สี่เดือนสี่ ถึงเวลานั้นมารดาเจ้าจะไปร่วมพิธีบรรยายธรรมด้วยหรือไม่? ไม่อย่างนั้นเจ้ากับมารดาก็ไปพักที่วัดเจาหมิงล่วงหน้าสิ วันที่แปดเดือนเก้าคนคงเยอะมาก จะขึ้นเขาได้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ หากว่าไปช้า เกรงว่าแค่ที่พักเท้าก็คงไม่เหลือแล้ว”
เขาได้รับแจ้งข่าวมา บอกว่าคนสกุลกู้จะมาถึงก่อนสองวัน เขาต้องจับสกุลอวี้ไปอยู่กับมารดาทางนั้น นางจะได้ไม่เล็งเป้าไปที่กู้ซี ก่อเรื่องให้เขาต้องเก็บกวาดตอนจบแสนจะเละเทะอีก…หลายวันนั้นเขาจะยุ่งมาก ไม่อาจแบ่งความสนใจเพียงเพราะเด็กสาวคนหนึ่งได้!
อวี้ถังคิดถึงชาติก่อนตอนที่วัดเจาหมิงจัดงานทำบุญ สกุลสูงศักดิ์ของเมืองหลินอันต่างก็จับจองห้องเซียงฟางกันล่วงหน้า ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นเหมือนที่เผยเยี่ยนบอก กระทั่งพื้นที่จะยืนยังไม่มีเลย
สกุลเผยเป็นสกุลยิ่งใหญ่ที่สุดในหลินอัน หากไปพร้อมกับเหล่าสตรีสกุลเผย อย่างไรก็ต้องจองห้องพักดีๆ ได้แน่
มารดานางสุขภาพไม่ดี หากอาศัยบารมีสกุลเผยหาที่พักสงบๆ ได้สักแห่ง เช่นนั้นมารดานางจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากนัก
“ดีสิเจ้าคะ!” อวี้ถังรีบตอบตกลง “ข้าขอขอบคุณนายท่านสามไว้ตรงนี้ล่วงหน้า พรุ่งนี้จะไปโขกศีรษะขอบคุณท่านแม่เฒ่าที่จวนเจ้าค่ะ”
นับว่ายังเป็นเด็กที่รู้ความอยู่
เผยเยี่ยนผงกศีรษะอย่างพึงใจ
คิดว่าแม้บางครั้งนางจะดื้อรั้น ชอบทำให้ผู้อื่นเป็นห่วง แต่ก็มีเวลาที่ว่านอนสอนง่าย
จากนั้นเผยเยี่ยนก็เดินทางกลับจวนไป
อวี้ถังกลับไปที่ตรอกชิงจู๋
นางกำลังหารือกับมารดาเรื่องการไปร่วมงานวันสรงน้ำพระ
คนสกุลเฉินนั้นด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ หลายปีแล้วที่ไม่เคยได้ออกไปเดินเล่นกลางคลื่นฝูงชนในวันแสวงบุญหรือตลาดดอกไม้ไฟ นางจึงดีใจมากเป็นธรรมดา “พี่สะใภ้เจ้ายังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ป้าสะใภ้ใหญ่คงต้องคอยดูแลพี่สะใภ้เจ้าอยู่ที่เรือนแน่ ถึงเวลานั้นคงมีแต่บ้านเราที่ไป พรุ่งนี้เจ้าก็ไปขอบคุณในความเมตตาของท่านแม่เฒ่า แล้วอย่าลืมหยิบขนมถั่วเหลืองไปด้วย ครั้งก่อนเจ้าบอกว่าท่านแม่เฒ่าเลือกขนมถั่วเหลืองเอาไว้ ส่งที่เหลือออกไปให้ผู้อื่น? ข้าคิดว่าท่านแม่เฒ่าน่าจะชอบกินขนมถั่วเหลืองแน่”
อวี้ถังไม่ได้ใส่ใจ นางปล่อยให้มารดาจัดการไปทั้งหมด ส่วนตนก็กลับห้องไปดูแลเรื่องเสื้อผ้าเครื่องประดับ
ในที่สาธารณะ กู้ซีจะแต่งตัวสง่างามเรียบง่าย นางไม่มีทางยอมแพ้ให้กู้ซีเด็ดขาด
วุ่นวายกันจนถึงช่วงค่ำยามไฮ่[1] นางถึงเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ไปวัดเจาหมิงได้เสียที วันรุ่งขึ้นตอนที่เดินทางไปสกุลเผย นางยังอ้าปากหาวหวอดๆ ตั้งหลายที
ท่านแม่เฒ่าเพิ่งรู้ว่าสตรีของสกุลอวี้จะร่วมทางไปวัดเจาหมิงกับนางด้วยตอนที่เผยเยี่ยนมาคารวะตนตอนเช้า นางแสร้งถามว่า “จะไม่สะดวกหรือเปล่า? พวกเราคนเยอะ พักอยู่ที่นั่นก็กินไปครึ่งเรือนแล้ว สกุลฝั่งมารดาของมารดาเจ้าสองก็บอกว่าจะไปวัดพร้อมกับพวกเราด้วย”
เผยเยี่ยนไม่ได้หยุดคิดแม้แต่น้อยก็ตอบว่า “หมายถึงสกุลหยางหรือขอรับ? บิดามารดาและพี่น้องของเขามิใช่อยู่เมืองที่เขารับตำแหน่งด้านนอกโน่นรึ? จะมีสตรีมาได้สักกี่คนกัน? สกุลอวี้คนยิ่งน้อยไปใหญ่ ข้าคิดว่าอย่างมากก็มีแค่พวกนางสองแม่ลูกกับสาวใช้อีกสองคน หาสักห้องให้พวกนางเบียดกันอยู่เป็นใช้ได้ หากเบียดไม่ไหว ก็ให้สกุลซ่งสละห้องเสีย! หากไม่เพราะเห็นแก่หน้าท่าน กระทั่งประตูข้าก็คงไม่ให้ผ่านเข้ามาหรอก ให้พวกเขารู้จักพอใจเสียบ้าง!”
วาจากล่าวจนถึงขนาดนี้แล้ว ท่านแม่เฒ่ายังจะพูดอะไรได้อีก
นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ได้สิ” คิดว่าจะย้ายคนสกุลซ่งไปอยู่เรือนน้อยฝั่งตะวันออกดีหรือไม่ ทางนั้นอยู่ติดกับวิหารใหญ่ เหล่าพระอาจารย์ของวัดเจาหมิงจะทำพิธีสวดมนต์กันตรงนั้น ทุกวันก็จะเริ่มสวดตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ทั้งยังทำพิธีอุทิศส่วนกุศลบ่อยๆ ด้วย
ส่วนสกุลอวี้ทางนั้น หากว่าเหมือนกับที่บุตรชายบอกว่ามีเพียงสองแม่ลูกที่มาร่วมงาน เช่นนั้นก็ให้อยู่ร่วมกับเหล่าสตรีสกุลตนก็สิ้นเรื่อง
ท่านแม่เฒ่าตัดสินใจได้ตามนั้น ตอนที่อวี้ถังมาถึงทุกคนต่างก็ตื่นเต้นดีใจ
พวกเขาไม่เพียงได้อยู่ร่วมกัน ตามความหมายของท่านแม่เฒ่า ถึงเวลานั้นพวกนางยังได้ไปพร้อมกับรถลากของสกุลเผยอีกด้วย
หลังจากที่อวี้ถังกลับมาบอกความกับคนสกุลเฉิน คนสกุลเฉินเล่าให้อวี้เหวินฟังต่อ อวี้เหวินหยุดคิดพักหนึ่งแล้วถามว่า “หรือไม่พวกเราก็ซื้อล่อสักตัวสิ? ไว้ใช้ลากรถตอนที่พวกเจ้าออกไปข้างนอก”
หลินอันเป็นภูเขาเสียมาก ถ้าไม่ใช่การเดินทางไกลก็ไม่จำเป็นต้องใช้รถลาก
คนสกุลเฉินไม่เห็นด้วย “จะไปแข่งขันกับผู้อื่นให้ได้อะไร? ลายังต้องกินอาหารดีกว่าคนเสียอีก ทั้งยังต้องจ้างเด็กรับใช้มาดูแลโดยเฉพาะ เงินนี้ มิสู้เก็บไว้ซื้อสินเดิมให้อาถังยังดีกว่า”
อวี้เหวินหัวเราะเหอะๆ แล้วยอมจบเรื่อง
คนสกุลเฉินเริ่มเลือกเครื่องประดับผมต่อ
อีกไม่นานก็จะถึงวันที่สี่เดือนสี่แล้ว
อวี้ถังกับคนสกุลเฉินตื่นตั้งแต่ยามอิ่น[2] คนสกุลเฉินตรวจนับขนมที่จะขนไปฝากเหล่าสตรีสกุลเผยใหม่อีกรอบ จากนั้นก็กำชับป้าเฉินกับซวงเถาอีกรอบ ก่อนออกเดินทางไปจวนสกุลเผยกับอวี้ถังด้วยใจที่กังวล
ท่านแม่เฒ่าลุกจากเตียงแล้ว ได้ยินว่าคนสกุลเฉินมา ก็ให้คนพาพวกนางเข้ามาหา ไต่ถามว่าพวกนางกินข้าวเช้ามาหรือยัง
คนสกุลเฉินรีบลุกยืนขึ้นเพื่อตอบความ สีหน้าคล้ายวางตัวไม่ค่อยถูก
ท่านแม่เฒ่าหัวเราะใจดี รู้สึกว่าคนสกุลเฉินในรูปแบบนี้นั้นไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่อวดฉลาด ไม่สรรหาก่อเรื่อง
“เหล่าสตรีสกุลหยางมาถึงตั้งแต่เมื่อวาน ไปอาศัยอยู่กับญาติผู้พี่ท่านหนึ่งของสกุลหยาง พาสาวใช้สองคนกับหญิงรับใช้อีกสองคนมาด้วย” นางหัวเราะแล้วเอ่ยต่อว่า “รอพวกเขาถึงแล้ว พวกเราจะได้ออกเดินทางกัน”
คนสกุลเฉินรับคำว่า “เจ้าค่ะ”
อวี้ถังไม่รู้เลยว่าสกุลหยางยังมีญาติผู้พี่อยู่อีกคน
รอจนทุกคนขึ้นรถลาก คุณหนูห้าที่ดึงดันจะนั่งเบียดในรถคันเดียวกันกับอวี้ถังให้ได้ก็เอ่ยว่า “เป็นญาติฝั่งมารดาเลี้ยงของคุณชายหยาง นาสกุลสวี อายุมากกว่าพี่อวี้หนึ่งปี พวกเราก็เพิ่งเคยเจอครั้งแรก แต่ว่าพี่สวีเป็นคนตลก นางมาถึงก็มอบป้ายหยกมันแพะให้พี่รองทันที งดงามมากเลยเจ้าค่ะ”
อวี้ถังคลี่ยิ้ม ในใจพลันนึกภาพคุณหนูสวีที่เพิ่งได้พบเมื่อครู่
รูปร่างสูงปานกลาง สวมชุดเสื้อกั๊กยาวปี๋เจี่ยสีม่วง ห้อยตุ้มหูทับทิมแดงขนาดเท่าเม็ดบัว ทั่วร่างมีแต่ความหรูหราฟู่ฟ่า ตบรางวัลนางกำนัลทีหนึ่งก็มากถึงเงินสองก้อนน้อย วางมาดอย่างผู้มีสง่าราศี ดวงหน้ารูปไข่ คิ้วทรงใบหลิว ดวงตาผลเมล็ดซิ่งกลมโตวิบวับ เห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าเป็นคนสดใสเฉลียวฉลาด
ไม่รู้ว่าพอไปถึงที่วัดแล้วจะทำตัวเรียบร้อยไม่ก่อเรื่องได้หรือไม่
ขบวนคนใหญ่โตเร่งเดินทางเพื่อให้ไปถึงวัดเจาหมิงก่อนเที่ยง
ปรากฏว่าพวกนางเจอกับรถม้าของสกุลซ่งที่หน้าประตูวัดพอดี
เทียบกับขบวนรถของสกุลเผยแล้ว พวกเขายังมีคนมากกว่าอีก
หญิงรับใช้ที่ติดตามมาพานายหญิงใหญ่ของสกุลนั้นมาคารวะท่านแม่เฒ่าสกุลเผย บอกว่าด้านนอกไม่ค่อยสะดวกสบาย รอให้เข้าไปด้านในวัดแล้วจะมาโขกศีรษะให้ท่านแม่เฒ่า
——————————
[1]ยามไฮ่ คือ ช่วงเวลาระหว่าง 21:00 น.- 23:00 น.
[2]ยามอิ่น คือ ช่วงเวลาระหว่าง 03:00 น.- 05:00 น.