ห้องหนังสือของจวนสกุลเผย เผยเยี่ยนและเสิ่นซ่านเหยียนต่างฝ่ายต่างก็พูดไม่ออก
ผ่านไปพักใหญ่ เสิ่นซ่านเหยียนจึงค่อยถอนหายใจยาวเหยียด “เป็นข้าที่คิดไปเอง พูดขึ้นมาแล้ว พวกเราสองสามีภรรยายังคงคล้ายกัน ล้วนเป็นประเภทที่ไม่มีสมอง เรื่องในเรือนของตัวเองไม่เข้าใจ ยังกล้ามาหว่านล้อมเจ้า สยากวง เจ้าก็เห็นแก่หน้าของศิษย์พี่รองเจ้าเถิด อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับข้าเลย!”
สีหน้าของเผยเยี่ยนดีขึ้นเล็กน้อย “อาจารย์เสิ่นสามารถคิดตกก็ดีแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากยุ่งเรื่องทางเมืองหลวง…ใครจะไม่อยากต่อเติมรากฐานให้มั่นคงล่ะ? แต่บางเรื่อง ไม่ใช่ว่าข้าอยากทำก็ทำได้เสียหน่อย ในเมื่อข้าเป็นผู้นำสกุลเผย ก็ต้องรับผิดชอบในครอบครัววงศ์สกุล ไม่อาจทำเพื่อความชอบของตัวเองเพียงคนเดียว ดึงทั้งสกุลมาลงน้ำด้วยกันได้ จุดนี้ ท่านน่าจะเข้าใจดี ไม่อย่างนั้น ตอนแรกท่านก็คงไม่เลือกมาหลินอันหรอก”
เสิ่นซ่านเหยียนผงกศีรษะ เผยสีหน้าคลุมเครืออยู่บ้าง เอ่ยเสียงแผ่ว “พ่อของเจ้า…มีสายตากว้างไกล มีแผนการทั้งมีความรู้ เมื่อก่อนข้าประเมินเขาต่ำไป…ข้าคิดมาโดยตลอดว่านายท่านอี้เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในสกุลพวกเจ้า ยามนี้ดูแล้ว คนที่ฉลาดที่สุดกลับเป็นพ่อของเจ้า…นี่ก็นับว่าเป็นโชคดีของสกุลเผย!”
“โชคดี!” เผยเยี่ยนพึมพำ จู่ๆ ขอบตาก็รื้นชื้นขึ้นมา ลำคอคล้ายถูกปิดกั้น ไม่อาจส่งเสียงอันใดออกมาได้แม้แต่น้อย
ยังคงเป็นการปรากฏตัวของอาหมิงที่ทำลายความเงียบสงัดของห้องหนังสือ “นายท่านสาม คุณชายและคุณหนูสกุลอวี้มาขอเข้าพบขอรับ!”
ยามนี้เผยเยี่ยนไม่อยากพบแขก แต่เขาก็รู้ว่าอวี้ถังและอวี้หย่วนมาหาเขาตอนนี้ด้วยเรื่องอะไร
เขาเป็นคนลากเรื่องมาเกี่ยวข้อง ย่อมไม่อาจปล่อยปละละเลยไปเช่นนี้!
“เชิญพวกเขาเข้ามา!” ขณะที่เผยเยี่ยนพูด กลับไม่อาจเก็บความเศร้าไว้ในใจได้ทันที
เสิ่นซ่านเหยียนที่ได้ฟัง กลับเอ่ยด้วยความแปลกใจ “คุณชายและคุณหนูสกุลอวี้? คงไม่ใช่หลานชายและลูกสาวของอวี้ฮุ่ยหลี่หรอกกระมัง?”
“มิผิด!” เผยเยี่ยนรู้สึกเหนื่อยใจ ไม่อยากพูดให้มากความแม้แต่คำเดียว
เสิ่นซ่านเหยียนเห็นเช่นนี้ก็ขบคิดว่าเขาควรหลบหลีกเสียหน่อยหรือไม่ แต่อาหมิงก็พาอวี้หย่วนและอวี้ถังเดินเข้ามาแล้ว
พี่ชายนั้นสูงกว่าน้องสาวอยู่เกือบศีรษะ ต่างก็ผิวขาวตาโตทั้งคู่ รูปลักษณ์งามสง่า คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมผ้าหังโฉวสีฟ้า อีกคนสวมเสื้อกั๊กยาวผ้าหังโฉวสีเขียวคราม ท่วงท่ากิริยาผ่าเผย พาให้คนเกิดความรู้สึกดีๆ ได้ง่าย
“อาจารย์เสิ่นก็อยู่ที่นี่รึ!” หลังจากทั้งสองคนคำนับให้เผยเยี่ยน ก็ทักทายกับอาจารย์เสิ่น
เสิ่นซ่านเหยียนผงกศีรษะเล็กน้อย แปลกใจอยู่บ้างว่าทั้งสองคนมาหาเผยเยี่ยนด้วยเหตุใด เห็นเผยเยี่ยนไม่มีท่าทีให้เขาหลบหลีก ก็นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน
อวี้หย่วนนำกล่องไม้จำนวนหนึ่งให้เผยเยี่ยนดู
เดิมทีเผยเยี่ยนก็อารมณ์ไม่ดี ยามนี้เห็นว่าตัวเองเตือนแล้วเตือนอีกอย่างหวังดี ของที่อวี้หย่วนเอาออกมากลับทำได้ไม่ถึงเป้าที่เขาตั้งไว้ จึงพาลโกรธอวี้หย่วนอยู่บ้าง เอ่ยด้วยใบหน้าแข็งทื่อขึ้นมา “ของพวกนี้ทำได้ไม่ดีพอ เรื่องสีช่างเถิด ทาดีบ้างไม่ดีบ้างไปส่วนหนึ่ง แม้ว่าสกุลพวกเจ้าอยากจะเข้าถึงสีที่ดีกว่านี้ เกรงว่าก็คงหาลู่ทางไม่พบ แต่การแกะสลักนั้น ก่อนหน้านี้ข้ากำชับเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เจ้าดูสิ่งที่เจ้านำมา ไม้แค่หนาขึ้นมากกว่าครั้งที่แล้วเท่านั้น หากพวกเจ้ามีแต่ฝีมือเช่นนี้ ย่อมไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้”
อวี้หย่วนหน้าถอดสีขึ้นมาทันที คล้ายถูกมีดแทงก็มิปาน
อวี้ถังทนไม่ได้
นางก็มองเห็นปัญหาพวกนี้อย่างชัดเจน กลับไม่ชี้ออกมาให้ทันท่วงที หวังให้เผยเยี่ยนสามารถแนะนำอวี้หย่วนอย่างกระจ่างชัด คาดไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนจะพูดเสียดแทงเช่นนี้ ไม่กี่ประโยคก็ทำให้ญาติผู้พี่สูญเสียกำลังใจไปอย่างสิ้นเชิง
อวี้ถังรีบกู้สถานการณ์ “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น พูดโดยสรุปแล้ว ยังคงเป็นพวกเราที่ความรู้คับแคบ นายท่านสาม ไม่ทราบว่าท่านสามารถช่วยหาตัวอย่างมาให้พวกเราได้หรือไม่ ให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาเล็กน้อย”
เผยเยี่ยนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง คิดว่าอวี้ถังพูดมีเหตุผล
ทว่าของในวัง ไหนเลยจะหาเจอได้ง่าย แต่เผยเยี่ยนกลับมีอยู่พอดี
เขาเอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าก็รอครู่หนึ่ง ข้าจะให้คนไปนำกล่องทรงกลมมา เป็นกล่องที่ใช้ใส่แท่งฝนหมึก เมื่อก่อนข้าได้มาโดยบังเอิญ ให้พวกเจ้านำกลับไปดูก่อนก็เพียงพอแล้ว”
เผยเยี่ยนกำลังช่วยสกุลอวี้ทำการค้าอย่างนั้นรึ? ไม่ใช่ว่าเผยเยี่ยนรำคาญเรื่องยิบย่อยพวกนี้หรอกรึ? สกุลอวี้ประจบเผยเยี่ยนถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
เสิ่นซ่านเหยียนตกตะลึงอยู่บ้าง
อวี้ถังมองเผยเยี่ยนอย่างแปลกใจไปที
ไม่รู้เพราะเหตุใด ภายนอกเผยเยี่ยนดูไม่แตกต่างจากวันปกติ แต่อวี้ถังกลับรู้สึกว่าเผยเยี่ยนอารมณ์ไม่ดีอยู่เลือนราง ทั้งยังคล้ายโทสะอัดอั้นในอกไม่ยอมไปไหน พาให้เผยเยี่ยนจวนเจียนจะปะทุออกมาอย่างไรอย่างนั้น
แต่อาจารย์เสิ่นอยู่ที่นี่ อวี้ถังก็ไม่กล้าถามมาก ถือกล่องเครื่องลงรักทรงกลมแกะสลักลวดลายดอกไม้ ก่อนจะหยัดกายบอกลาพร้อมกับอวี้หย่วน
เผยเยี่ยนเห็นสีหน้าอวี้ถังมีร่องรอยความกังวล ในใจถึงปรากฏความลังเลขึ้นมา
แต่ไหนแต่ไรคุณหนูอวี้มักได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเขามาโดยตลอด ไม่ถูกเขารั้งดื่มชา ก็กินขนมของว่างอะไรสักอย่าง ครั้งนี้นางตามอวี้หย่วนเข้าจวน กลับเจอเขาในยามที่อารมณ์ไม่ดี กระทั่งสีหน้าดีๆ ยังไม่มีให้นางก็ส่งคนกลับเสียแล้ว
จึงไม่รู้ว่าหลังจากคุณหนูผู้นี้กลับไปจะคิดมากหรือไม่
หรืออาจจะถึงขั้นร้องไห้ขี้มูกโป่ง…
เผยเยี่ยนใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนจะตะโกนบอกอวี้ถังที่กำลังเดินออกไปข้างนอก “ข้ายังพอปลีกเวลามาวาดภาพได้อยู่บ้าง เจ้านำกลับไปดูเสียหน่อย อีกไม่กี่วันข้าจะให้คนส่งภาพตามเข้าไปอีก!”
เผยเยี่ยนมักจะเอาแน่เอนนอนไม่ได้ อวี้ถังจึงไม่ได้คิดมาก นางเห็นสีหน้าของเผยเยี่ยนคล้ายจะดีขึ้นมาบ้าง ก็ยกมุมปากยิ้มแผ่วบาง นึกถึงเสิ่นซ่านเหยียนที่อยู่ตรงนี้ จึงคำนับให้เขาไปที ก่อนจะเข้าไปรับภาพร่างที่เผยเยี่ยนหาออกมาจากโต๊ะหนังสือ ค้อมศีรษะบอกลา
เผยเยี่ยนเห็นนางยิ้ม ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง คิดว่ายามที่คุณหนูตัวน้อยไม่ยิ้มมักจะดูกลัดกลุ้มใจ ยามที่เผยยิ้มออกมากลับดูงดงาม คล้ายบุปผาที่บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ ให้ความรู้สึกสว่างสดใส
ไม่แปลกใจที่หลี่จวิ้นเห็นนางครั้งแรกก็คล้ายกับตกอยู่ในภวังค์
แต่ยามนี้คาดว่าสกุลหลี่คงแทบเอาตัวเองไม่รอด ชีวิตเริ่มลำบากยากเข็ญขึ้นมาแล้ว
เขาลอบแค่นเสียงในใจ รู้สึกดีที่คนอื่นประสบความทุกข์อยู่บ้าง
ทั้งนึกถึงคุณหนูอวี้ที่ใจแคบผู้นั้น
ไม่เพียงทำให้งานแต่งของสกุลหลี่ล้มเหลว ยังยืมมือของเขาถอนรากถอนโคนสกุลหลี่ กระทั่งคุณหนูกู้ก็ไม่ปล่อยไป
นึกมาถึงตรงนี้ เผยเยี่ยนก็นวดขมับเล็กน้อย
สิ่งที่เขาคิดได้ก็คิดหมดแล้ว สิ่งที่เขาสามารถป้องกันได้ก็ป้องกันหมดแล้ว ได้แต่หวังว่าวันสรงน้ำพระคุณหนูอวี้จะไม่มีโอกาสก่อเรื่องอันใดให้เขาไปเก็บกวาดอีก!
เผยเยี่ยนถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกายกลับมาคุยเรื่องเมืองหลวงกับเสิ่นซ่านเหยียนต่อ “ครั้งนี้สำนักตรวจการส่งใครมาเป็นผู้ตรวจการ? มาตรวจสอบบัญชีทางน้ำของเกาโหยวอย่างเดียวจริงๆ อย่างนั้นรึ?”
เสิ่นซ่านเหยียนไม่ได้เอ่ยอันใด ทว่าสีหน้ากลับตกใจอย่างเห็นได้ชัด
เผยเยี่ยนแปลกใจ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร จึงถามอีกครั้ง
ยามนี้เสิ่นซ่านเหยียนค่อยตอบว่า ‘อ่อ’ ก่อนจะดึงสติกลับมา “ส่งใครมายังไม่ได้กำหนด ข่าวลือในเมืองหลวงพุ่งไปที่ทางน้ำของเกาโหยว แต่ผู้ที่ส่งออกมากลับเป็นคนของผู้ตรวจการเจ้อเจียง ไม่อาจพูดชัดเจนในช่วงเวลาสั้นๆ ทำได้เพียงรอคนมาถึง ดูว่าพวกเขาพักอยู่ที่ซูโจวหรือหังโจว”
เผยเยี่ยนไม่ปริปากอันใด
เสิ่นซ่านเหยียนมีทางของเขา เขาก็มีทางของตัวเองเช่นกัน
หากครั้งนี้ซือหลี่เจี้ยนก็ส่งคนมา เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องคดีทุจริตธรรมดา
เขาไม่พูดอะไร เสิ่นซ่านเหยียนกลับอดไม่ได้ “เจ้า…มีเรื่องอะไร? ไฉนต้องยุ่งร้านค้าเล็กๆ นั้นของสกุลอวี้? กระทั่งอวี้ฮุ่ยหลี่ที่เป็นน้องเจ้าของร้าน ยังไปดูแลร้านในยามที่พี่ใหญ่ของเขาไม่อยู่ที่เรือนเท่านั้น…”
เผยเยี่ยนกลับไปควบคุมดูแลทุกเรื่อง ทำหน้าที่ของเถ้าแก่ร้าน
นี่ไม่ใช่เผยสยากวงที่เขารู้จัก!
เผยเยี่ยนได้ฟังก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง เอ่ยว่า “ร้านเครื่องลงรักก็น่าสนใจไม่น้อย ช่วงนี้ข้าได้ของจำพวกเครื่องลงรักแกะสลักสีแดงมา จึงอยากรู้ว่าทำอย่างไร”
เสิ่นซ่านเหยียนสงสัยอยู่บ้าง
แม้จะพูดว่ามีลูกหลานสกุลใหญ่หลายคนที่ชื่นชอบเรื่องจิปาถะพวกนี้เหมือนเผยเยี่ยน ถือการรู้โหราศาสตร์ เข้าใจแผนที่ คำนวณเลข หรือกระทั่งการเขียนหนังสือเป็นเกียรติยศ แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง เผยเยี่ยนกลับไม่เหมือนคนประเภทนี้
แต่เขาไม่ทันได้คิดอย่างละเอียด เผยเยี่ยนก็เอ่ยออกมาก่อน “หากทางซือหลี่เจี้ยนส่งคนออกจากเมืองหลวง จะส่งใครออกมา?”
เสิ่นซ่านเหยียนลอบตกใจ ไหนเลยยังจะคิดสนใจเรื่องยิบย่อยพวกนี้อีก รีบเอ่ยว่า “เจ้าได้ยินว่าคนของซือหลี่เจี้ยนจะตามมาอย่างนั้นรึ?”
เผยเยี่ยนผงกศีรษะ ตัวเองก็เหนือความคาดหมายเช่นกัน
พูดเรื่องสกุลอวี้ก็พูดไป ไฉนเขาจะต้องบอกข่าวนี้แก่เสิ่นซ่านเหยียนด้วย?
เดิมทีเขาเตรียมจะใช้เรื่องนี้เป็นไพ่ตาย!
เผยเยี่ยนขมวดคิ้วขึ้นมา
—
หลังจากอวี้ถังและอวี้หย่วนออกจากจวนสกุลเผย อวี้ถังก็เอาแต่คาดเดาสาเหตุที่เผยเยี่ยนอารมณ์ไม่ดี
นางคิดว่าท่าทีของเผยเยี่ยนต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเสิ่นซ่านเหยียนเป็นแน่
ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเห็นเสิ่นซ่านเหยียนมาพบเผยเยี่ยน
เสิ่นซ่านเหยียนเป็นปัญญาชนที่หลบอยู่ในหลินอัน นอกจากเรื่องนายหญิงเสิ่นครั้งก่อน ยังมีเรื่องอะไรให้เขาต้องพัวพันกับเผยเยี่ยนอีก?
อวี้ถังก้มหน้าคิดอยู่นาน
อวี้หย่วนกลับยกกล่องไม้ทรงกลมในมือ ราวกับถือหีบสมบัติก็มิปาน ใบหน้าประเดี๋ยวเผยความกังวล ประเดี๋ยวก็เผยความดีใจ พาให้อวี้ถังกลัดกลุ้ม สงสัยว่าอวี้หย่วนจะดีใจเกินไปจนเป็นบ้าแล้วหรือไม่
อวี้ถังเอ่ยหยั่งเชิงอวี้หย่วน “ตั้งชื่อให้หลานตัวน้อยแล้วหรือยัง?”
เดิมก็ยึดคำพูดที่ว่าชื่อที่น่าเกลียดจะทำให้เด็กเติบโตได้ดี[1] ลูกชายคนโตของอวี้หย่วนจึงชื่อว่าต้าเป่า
จากความต้องการของป้าสะใภ้ หากคลอดอีกคนก็จะชื่อว่าเอ้อร์เป่า จากนั้นก็เป็นซานเป่า ซื่อเป่า…
อวี้หย่วนหันศีรษะกลับไปทันที “หรืออารองคิดชื่อไพเราะอะไรได้อีกอย่างนั้นรึ?”
ก่อนหน้านี้อวี้เหวินก็เผยเป็นนัย อยากตั้งชื่อต้าเป่าตามลำดับอาวุโส เวลาเกิด ไม่ก็พวกธาตุทั้งห้าของเขา จึงตั้งชื่อว่าซุ่นอี้
ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าชื่อนี้เหมือนชื่อของบ่าวรับใช้ แต่อวี้เหวินเป็นคนที่มีวิชาความรู้ที่สุดในเรือน ทั้งคิดว่าชื่อนี้จะเสริมโชคให้ต้าเป่า กระทั่งอวี้ป๋อก็ไม่ได้คัดค้านในทันที
อวี้ถังจึงค่อยมั่นใจว่าสมองของพี่ชายไม่มีปัญหา
ทั้งสองคนกลับมาถึงร้านค้า ซย่าผิงกุ้ยกำลังตั้งหน้าตั้งตารอพวกเขากลับมา ได้ยินว่ากล่องไม้ทรงกลมที่อวี้หย่วนถือไว้ในมือเป็นของที่เผยเยี่ยนมอบให้พวกเขาเป็นตัวอย่าง เขาก็เดินเข้ามาด้วยเนื้อตัวสั่นเทา กระทั่งลูบยังไม่กล้าลูบ จึงมองพินิจกล่องทรงกลมที่แกะสลักด้วยไม้ไผ่ในมือของอวี้หย่วนอยู่อย่างนั้น
อวี้ถังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ในใจก็เอาแต่พะวงเรื่องเมื่อครู่ของเผยเยี่ยน ได้ยินซย่าผิงกุ้ยและอวี้หย่วนพูดพร่ำอยู่กว่าครึ่งชั่วยามก็หงุดหงิดใจอยู่บ้าง นางเอ่ยว่า “ท่านพี่ เช่นนั้นข้ากลับไปก่อนดีกว่ากระมัง? รอพวกเจ้ามองอะไรออก ข้าค่อยไปจวนสกุลเผยกับท่านอีกที”
อวี้หย่วนเห็นอวี้ถังใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก็สงสารที่นางตามตัวเองไปๆ มาๆ เอ่ยทันที “เช่นนั้นเจ้ากลับไปก่อนเถิด พักผ่อนให้ดี ไปจวนสกุลเผยนั้นให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้”
อวี้ถังจึงพาซวงเถาจากไป
เพราะด้านหน้าร้านมีชายหนุ่มหลายคนกำลังดูเครื่องลงรักอยู่ นางจึงออกประตูหลังไปกับซวงเถา
คาดไม่ถึงว่านางเพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูหินด้านหลัง ก็พบเข้ากับรถม้าของเผยเยี่ยน
———————
[1]ชื่อที่น่าเกลียดจะทำให้เด็กเติบโตได้ดี เป็นความเชื่อของคนสมัยก่อนที่ตั้งชื่อน่าเกลียดเพื่อให้เด็กสามารถหลบหลีกจากสิ่งชั่วร้าย ภูตผีไม่กล้ำกราย ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ