ตอนที่ 161 ขอร้อง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่านางกับฝานฉีถูกเฉิงฉือจับตาดูอยู่ ช่วงเทศกาลโคมไฟ เดิมทีนางกับเฉิงเจียวางแผนกันว่าจะออกไปเดินชมโคมไฟด้วยกัน ผลปรากฏว่านายหญิงผู้เฒ่าถังของจวนรองจัดงานเลี้ยงและเชิญนายหญิงผู้เฒ่าที่ครองตัวเป็นหม้ายหลายคนมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน โจวชูจิ่นต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนนายหญิงของจวนสี่อยู่ที่บ้าน จึงต้องให้โจวเสาจิ่นไปร่วมงานเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากวน

เฉิงเจียคนเดียวก็เลยไม่มีความสนใจจะไปเดินชมงานโคมไฟแล้วเช่นเดียวกัน จึงไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนรองเป็นเพื่อนนายหญิงผู้เฒ่าหลี่ผู้เป็นท่านย่าของตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน

งานเลี้ยงของจวนรองจัดขึ้นที่เรือนฉางโซ่วซึ่งเป็นเรือนที่นายหญิงผู้เฒ่าถังอาศัยอยู่ เป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นได้มาที่นี่ พอเดินเข้าประตูมาก็เห็นรูปหล่อนกกระเรียนทำด้วยทองแดงมีขนาดสูงยิ่งกว่าความสูงของคนเสียอีกตั้งอยู่สองตัว ทั้งสี่ด้านประดับตกแต่งเอาไว้ด้วยกระถางเผิงจิ่งต้นสนที่ออกแบบให้มีรูปทรงที่หลากหลายแตกต่างกันไป และทั้งหมดก็พันเกี่ยวเคี้ยวคดขึ้นไปจนสูงกว่าความสูงของคนด้วยเช่นเดียวกัน

สาวใช้ที่มาต้อนรับนางอายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปี มีใบหน้าขาวดุจหิมะทรงเมล็ดแตงโม ตรงมุมปากมีไฝสีแดงขนาดเท่าเม็ดข้าวอยู่หนึ่งเม็ด พอเห็นโจวเสาจิ่นมองสำรวจกระถางเผิงจิ่งเหล่านั้นอยู่หลายครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นอย่างหยิ่งทะนงว่า “นี่คงเป็นครั้งแรกที่คุณหนูรองได้เห็นกระถางเผิงจิ่งที่สูงยิ่งกว่าความสูงของคนวางรวมกันมากมายขนาดนี้กระมัง กระถางเผิงจิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นนายหญิงผู้เฒ่าของพวกข้าเป็นคนปลูกขึ้นมาเองเจ้าค่ะ”

ในวันสรงน้ำพระพุทธองค์เมื่อวันที่แปดเดือนสี่ของปีที่แล้ว ก็เป็นสาวใช้ผู้นี้ที่รับใช้อยู่ข้างกายนายหญิงผู้เฒ่าถัง ดูเหมือนว่าจะชื่อ ‘อวี๋เอ๋อร์’ อะไรสักอย่าง ยามอยู่ต่อหน้านายหญิงผู้เฒ่าถัง นางค่อนข้างจะมีหน้ามีตาได้รับความเชื่อถืออยู่หลายส่วน

โจวเสาจิ่นเห็นนางชายตามองผู้อื่นด้วยหางตา รู้สึกไม่ชอบใจนัก ยิ้มบางๆ พลางกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ข้าได้เห็นกระถางเผิงจิ่งที่สูงยิ่งกว่าความสูงของคนวางรวมกันมากมายขนาดนี้ แล้วเหตุใดถึงไม่วางไว้ที่เรือนเพาะชำดอกไม้หรือ กระถางเผิงจิ่งนี้เป็นของที่เอาไว้เพื่อประดับตกแต่งให้คนได้ชื่นชม การที่เอาทั้งหมดวางกองรวมกันเช่นนี้ ข้านึกว่าไม่มีที่ให้จัดวางเสียอีก กำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจวนรองมีพี่ชายสือเพียงครอบครัวเดียว อีกทั้งยังครอบครองสวนชุนเจ๋อ และหอถงฮวาที่อยู่ด้านนอกอีก ในขณะที่จวนสี่ของพวกเรานั้นนอกจากพี่ชายเก้ากับพี่ชายอี้แล้ว ยังมีพวกข้าสองพี่น้องมาอาศัยอยู่ด้วยอีก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยู่แล้วแออัดแต่อย่างใด…”

หรือความหมายอีกนัยหนึ่งของคำกล่าวนี้ก็คือต้องการจะบอกว่าจวนรองนั้นไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติ แม้แต่กระถางเผิงจิ่งก็ไม่รู้ว่าควรต้องจัดวางอย่างไรบ้าง

อวี๋เอ๋อร์ทั้งอับอายและขุ่นเคือง ทันใดนั้นใบหน้าก็บึ้งตึงจนแดงก่ำ

เดิมทีที่นี่ก็ประดับกระถางเผิงจิ่งที่มีรูปทรงแปลกตาทว่างดงามเหล่านี้เพียงไม่กี่กระถางเท่านั้น แต่ผู้ที่มาเยี่ยมเยียนล้วนกล่าวชมว่ากระถางเผิงจิ่งเหล่านี้ปลูกได้ดีและดูแลได้งดงามยิ่ง ทำให้นายหญิงผู้เฒ่าถังมีความสุขเหลือแสน นางจึงตัดสินใจด้วยตัวเอง ค่อยๆ ย้ายกระถางเผิงจิ่งที่อยู่ในเรือนเพาะชำดอกไม้เอามาวางไว้ที่นี่ ผู้คนที่มาเยี่ยมเยียนต่างก็มักจะมองสำรวจกระถางเผิงจิ่งเหล่านี้หลายครั้งเช่นเดียวกับโจวเสาจิ่น นายหญิงผู้เฒ่าถังเองก็ไม่ว่าอะไร นางจึงรู้สึกภาคภูมิใจมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงว่ากลับถูกโจวเสาจิ่นดูแคลนเช่นนี้ได้

“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของคุณหนูรองยิ่งนักเจ้าค่ะ” เสียงพูดของโจวเสาจิ่นเพิ่งจะจบลง ก็มีสาวใช้รูปร่างสูงโปร่งผู้หนึ่งเลิกผ้าม่านขึ้นและเดินออกมา กล่าวขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “ข้าบอกนางหลายหนแล้ว แต่นางก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ตอนนี้ได้พบกับผู้เชี่ยวชาญแล้ว คงรู้สึกแล้วกระมัง”

ประโยคสุดท้ายนั้น เป็นการพูดกับอวี๋เอ๋อร์

สาวใช้ผู้นี้โจวเสาจิ่นเองก็เคยเจอมาแล้วหลายครั้งเช่นกัน

นางคือชิ่งเอ๋อร์ สาวใช้ข้างกายลำดับที่หนึ่งของนายหญิงผู้เฒ่าถัง

อวี๋เอ๋อร์ได้ยินชิ่งเอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ ก็เหลือบมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง

โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็ให้รู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ

ในสายตาของอวี๋เอ๋อร์ผู้นั้นถึงกับมีแววเกลียดชังสายหนึ่งวาบผ่าน

โจวเสาจิ่นจึงยิ่งรู้สึกไม่ชอบจวนรอง

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อสุดท้ายแล้วจวนรองกับจวนหลักก็จะต้องเป็นอริต่อกัน และตอนนี้นางช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวคัดพระธรรมอยู่ที่จวนหลัก ต่อให้นางไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยท่ามกลางเรื่องนี้ แต่ในสายตาของผู้อื่นนางก็คงถูกตีตราว่าอยู่ข้างจวนหลักไปเสียแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้นางก้มศีรษะร้องขอความเมตตาก็เกรงว่าจวนรองคงไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นอกจากนี้ การที่นางไม่มีจุดยืนยังอาจเป็นเหตุให้จวนหลักต้องเสียหน้าอีกด้วย

อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงหลานสาวฝั่งมารดาของจวนสี่ผู้หนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังแซ่โจวไม่ได้แซ่เฉิง อย่างมากที่สุดก็แค่ออกจากที่นี่ไปก็ได้แล้ว เหตุใดถึงกับต้องดูแม้แต่สีหน้าของสาวใช้เหล่านี้ด้วย บิดาปฏิบัติต่อนางดั่งนางเป็นแก้วตาดวงใจของเขา ไม่ใช่เพื่อให้คนเหล่านี้มาดูถูกเหยียดหยามนาง

“ไม่อาจกล่าวได้ว่าตัวข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญ” โจวเสาจิ่นเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่าน้ำเสียงกลับไม่อ่อนข้อให้เลยสักนิด “เป็นเพียงผู้ที่ชื่นชอบการจัดตกแต่งต้นไม้ดอกไม้ก็เท่านั้น เมื่อเห็นแล้วตัวข้าก็ให้รู้สึกอึดอัดใจนัก จึงอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจอีกสักหลายๆ ครั้ง ทำให้แม่นางทั้งสองได้เห็นเรื่องขำขันเสียแล้ว”

ชิ่งเอ๋อร์ประหลาดใจเล็กน้อย

นางเคยได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าคุณหนูรองตระกูลโจวของจวนสี่นั้นนิสัยขี้อายและหัวอ่อน คิดไม่ถึงว่าข่าวลือจะผิดพลาด ทำให้นางคำนวณผิดพลาดไปได้

“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของคุณหนูรองยิ่งนัก!” นางรีบเปลี่ยนท่าทีโดยพลัน ก้าวออกไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากวนอย่างนอบน้อม กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายหญิงผู้เฒ่าของพวกข้ากำลังรอท่านอยู่ในห้องโถงเจ้าค่ะ! อีกสักครู่ข้าค่อยพาอวี๋เอ๋อร์ไปกล่าวขอโทษคุณหนูรองอีกครั้งนะเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วก็หัวเราะร่าพลางกล่าว “เพียงเรื่องซุบซิบหยุมหยิมของพวกสาวใช้เด็กไม่รู้ความก็เท่านั้น เจ้ากลับไปอบรมสักหน่อยก็พอแล้ว ให้นางไปขอโทษเสาจิ่น หากเรื่องรู้ไปถึงนายหญิงผู้เฒ่าของพวกเจ้า เกรงว่าวันเวลาของนางจะลำบากไม่น้อย พวกเจ้าก็เป็นเสมือนพี่น้อง เจ้าเองก็ต้องดูแลนางสักหน่อยถึงจะถูก”

นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าขิงแก่ที่แท้จริง!

โจวเสาจิ่นรู้สึกนับถือยิ่งนัก

ชิ่งเอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนจะกล่าวเช่นนี้ออกมา ขณะที่กำลังตกตะลึงอยู่นั้นก็รีบกล่าวขึ้นอย่างยิ้มๆ ว่า “ยังคงเป็นนายหญิงผู้เฒ่าที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา อวี๋เอ๋อร์ ยังไม่รีบมาขอบคุณนายหญิงผู้เฒ่ากับคุณหนูรองอีก”

อวี๋เอ๋อร์เองก็เป็นหนึ่งในตัวละครของฉากนี้ นัยน์ตาทั้งคู่พลันคลอด้วยหยาดน้ำตา ก้าวออกมากล่าวขอโทษฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับโจวเสาจิ่น

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มให้อย่างมีเมตตา และเดินเข้าไปในห้องโถงโดยมีโจวเสาจิ่นช่วยประคอง

แต่พอเข้าไปถึงภายในห้อง รอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็มลายหายไป

โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตักอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งชิ่งเอ๋อร์เอ่ยรายงานเสียงดังว่า “นายหญิงผู้เฒ่าของจวนสี่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นจึงจำต้องเก็บซ่อนความคิดเอาไว้ในใจก่อน

ถึงแม้ว่าใบหน้าของนายหญิงผู้เฒ่าถังจะเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาเฉียบคมที่แสดงออกมาให้เห็นผ่านดวงตาทั้งคู่นั้นกลับทำให้นางดูเป็นคนดุดันอยู่เช่นเดิมเล็กน้อย

นางเห็นโจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากวนเข้ามาก็ยิ้มพลางเอ่ยเย้าแหย่ขึ้นว่า “ยังคงเป็นเจ้าที่โชคดียิ่งนักที่มีหลานสาว ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีคนไปเป็นเพื่อน ไม่เหมือนข้า จะเล่นไพ่ครั้งหนึ่งก็หาคนเล่นด้วยไม่ได้สักคน”

โจวเสาจิ่นยิ้มทว่าไม่ได้กล่าวอะไร

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วก็แตะที่มือของโจวเสาจิ่นเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “หลานสาวผู้นี้ของข้าถือว่าเป็นเด็กดีจริงๆ อย่างไรก็ตาม สะใภ้ใหญ่สือก็ไม่เลวเลยทีเดียว”

“เป็นเช่นนั้นๆ” นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวยิ้มๆ “ไม่กล่าวถึงอย่างอื่น เพียงข้าเห็นเหลนชายทั้งสองคนนั้น ใจข้าก็ละลายแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่านผู้นำตระกูล ทุกๆ วันต้องให้แม่นมอุ้มไปให้เขาดูสักหน่อยถึงจะพอใจ” ทั้งสองคนสนทนากันไปด้วย เดินเข้าด้านในไปด้วย “ได้ยินมาว่าเก้าเกอเอ๋อร์กับอี้เกอเอ๋อร์ของพวกเจ้าล้วนรั้งอยู่ที่ผูโข่วหรือ สำนักศึกษาของตระกูลพวกเรานั้น เมื่อพิเคราะห์ดูแล้วก็ถือได้ว่ามีชื่อเสียงเป็นลำดับต้นๆ ของทั้งเมืองจินหลิง”

ความหมายแฝงภายใต้คำพูดนี้ก็คือต้องการกล่าวว่าจวนสี่นั้นมีของดีอยู่ใกล้ตัวแล้วแท้ๆ กลับยังไปแสวงหาจากที่ห่างไกลอีก

“เก้าเกอเอ๋อร์นั้นเพียงติดตามมารดาของเขาไปทำความรู้จักญาติพี่น้องเท่านั้น” ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวนั้น ก็นั่งลงมาโดยมีสาวใช้เด็กคอยให้การรับใช้ กล่าวขึ้นอีกว่า “ท่านก็ทราบว่าอี้เกอเอ๋อร์ของพวกข้านั้นไม่ได้เชื่อฟังเหมือนพี่ชายของเขา ก็เลยให้เขารั้งอยู่ที่นั่น เรื่องเรียนถือเป็นเรื่องรอง หลักๆ แล้วต้องการดัดนิสัยของเขา”

นายหญิงผู้เฒ่าถังพยักหน้า “เด็กๆ เติบโตกันแล้ว จึงไม่อาจกักขังให้อยู่แต่ในบ้านเหมือนกับเจ้าวิหคตัวน้อย ควรจะออกเดินทางไปข้างนอกให้มากถึงจะใช้การได้ สือเกอเอ๋อร์ของพวกข้าเอง ข้าได้คุยกับท่านผู้นำตระกูลแล้ว ก็ต้องปล่อยให้ออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกบ้างถึงจะถูก”

เป็นไปได้หรือไม่ว่าต้องการให้ไปที่จิงเฉิง เพราะฉะนั้นก็เลยอ้างเทศกาลโคมไฟเพื่อเชิญนายหญิงผู้เฒ่าทั้งหลายมารับประทานอาหารด้วย?

ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็มาถึง

ท่วงท่าของนางสูงส่งสง่างาม มาพร้อมกับปี้อวี้และเฝ่ยชุ่ยสาวใช้ทั้งสองคน แค่ปรากฏกายขึ้นก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกประหนึ่งว่าการปรากฏกายของนางได้นำแสงสว่างมาสู่สิ่งมีชีวิตอันต้อยต่ำนี้แล้วก็ไม่ปาน

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ

ไม่ว่าเวลาใดฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็มักจะทำให้คนตาพร่าเช่นนี้อยู่เสมอ!

นางก้าวออกไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางประคองตัวนางเอาไว้ มองสำรวจตัวนางขึ้นลงครั้งหนึ่ง จากนั้นกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มๆ ว่า “เป็นเพราะข้าไม่ได้เจอเสาจิ่นมาหลายวันแล้วหรือเป็นเพราะหลังจากปีใหม่แล้วนางโตขึ้นอีกหนึ่งปีกันแน่ เหตุใดข้าดูแล้วถึงได้รู้สึกว่าดูเหมือนนางจะสูงขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว!”

จริงหรือ

ชาติก่อนโจวเสาจิ่นคร่ำครวญอยู่เสมอเรื่องที่ตนเตี้ยกว่าพี่สาว

นางก้มลงไปสำรวจเสื้อผ้าของตัวเอง

ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าก็ไม่ได้สั้นลงนี่นา!

โจวเสาจิ่นรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเห็นนางทุกวัน ก็เลยไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ท่านไม่ได้พบนางมาหลายวันแล้ว ก็คงจะสังเกตเห็นได้ชัดเจนกว่าข้าเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ

นายหญิงผู้เฒ่าหลี่ก็มาถึงแล้วพร้อมกับเฉิงเจีย

หลังจากที่ทุกคนทำความเคารพกันเรียบร้อยแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าทั้งหลายก็นั่งสนทนากันอยู่ที่นั่น

โจวเสาจิ่นยังดีหน่อย แต่เฉิงเจียนั้นนั่งไม่ติดที่ราวกับลูกลิงก็ไม่ปาน นายหญิงผู้เฒ่าหลี่กลัวว่านางจะสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น จึงเห็นดีให้นางกับโจวเสาจิ่นออกไปเดินเล่น “…ก็เป็นการดีให้พวกข้าได้คุยกันอย่างสงบสักหน่อย”

เฉิงเจียจึงดึงโจวเสาจิ่นออกจากห้องโถงไปอย่างไม่ต้องเกรงใจอีก

อวี๋เอ๋อร์กับสาวใช้อีกสองสามคนกำลังเคลื่อนย้ายกระถางเผิงจิ่งต้นสนเหล่านั้นกันอยู่

เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นออกมา นางก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและหันหน้าหนีไปทางอื่น

เฉิงเจียไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ ดึงโจวเสาจิ่นไปด้วยพลางวิจารณ์กระถางเผิงจิ่งเหล่านั้นไปด้วยว่า “…ด้านบนใหญ่กว่าด้านล่างจึงไม่น่าดู กระถางนั้นยิ่งน่าเกลียด ไม่รู้จักนำหินสักก้อนไปวางไว้ตรงบริเวณรากที่นูนขึ้นมาตรงนั้น ก็จะช่วยให้งดงามขึ้นมากประหนึ่งได้นั่งชมทิวทัศน์อันงดงามของเขาหนานซานแล้ว ยังมีกระถางนั้นอีก ถึงแม้จะวางหินไท่หูเอาไว้แล้ว แต่เหตุใดถึงไม่ปลูกต้นหญ้าเล็กๆ ด้วยอีกสักหน่อยเล่า”

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าที่ตนได้ชี้แนะพวกนางไปนั้นถือว่าเป็นการปล่อยจวนรองไปโดยง่ายแล้ว กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าสนใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อใดกันหรือ เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ข้าจะเปลี่ยนกระถางให้ดอกไม้ของข้า เจ้าอยากไปช่วยข้าดูสักหน่อยหรือไม่”

“ได้สิ!” เฉิงเจียกับโจวเสาจิ่นต่างก็ชื่นชอบต้นไม้และดอกไม้ แต่เฉิงเจียนั้นชอบเป็นคนบอกให้ผู้อื่นลงมือทำ ส่วนโจวเสาจิ่นนั้นชอบเป็นคนลงมือทำด้วยตัวเอง

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังสนทนาถึงเรื่องต้นไม้ดอกไม้กันอยู่นั้น หงซื่อผู้เป็นฮูหยินใหญ่อี๋ก็เดินเข้ามา

หลังจากที่นางกล่าวทักทายโจวเสาจิ่นและเฉิงเจียอย่างอบอุ่นสองสามประโยคแล้ว ก็เดินเข้าไปให้การรับใช้นายหญิงผู้เฒ่าทั้งหลายในห้องโถง

เฉิงเจียกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่สือจะมาหรือไม่ ข้าอยากจะเห็นหลานชายทั้งสองที่นางคลอดออกมา ช่างน่ารักน่าชังยิ่งนัก”

โจวเสาจิ่นไม่ได้กล่าวอะไร ครุ่นคิดว่าหากนางเป็นนายหญิงผู้เฒ่าถัง ที่ต้องการขอร้องให้จวนหลักช่วยแนะนำเฉิงสือให้กับขุนนางในเมืองจิงเฉิงแล้วล่ะก็ ย่อมไม่มีทางให้สะใภ้ใหญ่สืออุ้มบุตรทั้งสองคนเข้ามาทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวต้องระคายเคืองใจเป็นแน่

เป็นไปตามที่คาด ตลอดจนงานเลี้ยงเลิก สะใภ้ใหญ่สือก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาเลย กลับเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่หันกลับไปมองทางจวนรองพลางหัวเราะอย่างดูแคลนขณะที่กำลังเดินทางกลับ

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “นายหญิงผู้เฒ่าถังต้องการให้พี่ชายสือไปศึกษาที่สำนักศึกษาหลวงใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

“ข้าคาดเดาเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ถึงแม้จะกล่าวว่าอาศัยป้ายชื่อของท่านผู้นำตระกูลจวนรองก็ช่วยให้พี่ชายสือได้เข้าไปศึกษาที่สำนักศึกษาหลวงได้เช่นกัน แต่จริงๆ แล้วที่คุณชายใหญ่สือต้องการไปศึกษาที่สำนักศึกษาหลวงนั้นไม่ใช่เพียงเพื่อสอบให้ได้ตำแหน่งเท่านั้น ที่มากไปกว่านั้นกลับเป็นการคาดหวังว่าจะได้ผูกมิตรกับสหายที่มีอำนาจที่พอจะช่วยเหลือตัวเองได้ เป็นเหตุให้การแนะนำของท่านลุงใหญ่จิงของจวนหลักมีความสำคัญยิ่งนัก เมื่อครู่ตอนที่ข้าได้ยินนายหญิงผู้เฒ่าถังเอ่ยถึงพี่ชายสือนั้น เห็นท่านไม่ได้เอ่ยอะไร จึงคาดเดาว่านายหญิงผู้เฒ่าถังคิดใช้งานเลี้ยงในวันเทศกาลโคมไฟนี้ ถือโอกาสเอ่ยขอร้องเรื่องนี้กับฮูหยินผู้เฒ่ากัว”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนประหลาดใจ กว่าครู่ใหญ่ถึงจะกล่าวออกมาว่า “เสาจิ่น ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับคิดไปถึงเรื่องเหล่านี้ได้ เก่งกว่าพี่สาวของเจ้าเสียอีก! ตอนที่พี่สาวของเจ้าอายุเท่าเจ้าในเวลานี้ ยังรู้จักเพียงแค่ว่าใครดีกับข้าบ้าง ใครไม่ดีกับข้าบ้าง คนที่ดีกับข้าข้าต้องทำอย่างไรบ้าง และคนที่ไม่ดีกับข้าข้าต้องทำอย่างไรบ้างเท่านั้น…”

โจวเสาจิ่นละอายใจ

นั่นก็เป็นเพราะว่านางมีชีวิตมาแล้วสองชาติภพ ก็เลยดูเก่งกาจกว่าผู้อื่น!

“แล้วฮูหยินผู้เฒ่ากัวตอบรับหรือไม่เจ้าคะ” นางรีบเอ่ยถาม

………………………………………………………………….