ตอนที่ 162 เสี่ยงดวง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวยิ้มๆ ว่า “แน่นอนว่าต้องตอบรับอยู่แล้ว”

โจวเสาจิ่นพยักหน้า ไม่ได้ไล่ถามต่อไปอีก

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับเกิดความสงสัยขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “เจ้ากำลังคิดว่าในเมื่อเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ก็ควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันใช่หรือไม่”

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ

เมื่อครู่ตอนอยู่ที่จวนรอง ตั้งแต่ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนดึงรอยยิ้มกลับไปก็ทำให้นางรู้สึกเป็นกังวลใจอยู่ตลอดจนถึงตอนนี้

ประสบการณ์ของสองชาติภพทำให้นางเข้าใจความสำคัญของการอธิบายความให้กระจ่าง

นางจมอยู่กับความคิดที่ว่าจะต้องหาโอกาสอธิบายกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนให้ได้ว่าเพราะเหตุใดตนถึงปฏิบัติกับบรรดาสาวใช้ของจวนรองอย่างไม่เกรงใจเช่นนั้น

บางทีมันอาจจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเข้าใจไปว่านางเอาแต่ใจตัวเอง ด้วยเหตุนี้นางอาจจะสูญเสียความรักความเมตตาจากท่านยายไป แต่บางทีอาจจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเข้าใจว่านางไม่ใช่คนที่ ‘งามแต่เปลือกนอก’ อีกต่อไป นาง นำเหตุการณ์ที่พานพบมาไปคิดวิเคราะห์ต่อได้ ด้วยเหตุนี้ท่านยายอาจจะมองนางด้วยมุมมองใหม่ นางเองก็จะ เป็นเหมือนกับพี่สาว ที่ พูดให้ท่านยายกับท่านป้าใหญ่เชื่อถือได้

เป็นโอกาสแบบครึ่งต่อครึ่ง

มีความเสี่ยงยิ่งนัก

แต่นางก็ไม่อาจละทิ้งโอกาสที่จะเสี่ยงในครั้งนี้ไปได้

หากว่าแม้แต่ในจวนสี่นางก็ยังไม่อาจ หาวิธีทำให้ตัวเองมีสิทธิ์มี เสียงในการพูดได้ เช่นนั้นนางจะไปพูดต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้มีน้ำหนักได้อย่างไร!

เลวร้ายที่สุดก็แค่เหมือนกับชาติก่อนที่ถูกท่านยายตีตัวออกห่าง ไม่ให้ความสนิทสนมด้วยก็เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้นางถึงได้กล้าที่จะริเริ่มพูดถึงการคาดเดาของตัวเองออกมา

ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่นางจะได้ทั้งอธิบายการกระทำของตัวเองให้ท่านยายได้รับทราบ และได้ ลองหยั่งเชิงดูว่าจริงๆ แล้วท่านยายอยู่ฝ่ายใดกันแน่อีกด้วย

ตอนนี้ถือว่าทุกอย่างเป็นใจอย่างยิ่ง

หลังจากนี้ก็แค่รอดูว่าคำตอบของนาง ทำให้ท่านยายพอใจได้หรือไม่ก็เท่านั้น

โจวเสาจิ่นมีอาการสั่นกลัวเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นางยังคงข่มความไม่สงบในใจเอาไว้ พยายามให้รอยยิ้มของตัวเองดูเป็นธรรมชาติและหวานหยดย้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้พลางกล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ ข้าคัดพระธรรมอยู่ที่เรือนหานปี้ซานมาหลายเดือน ถึงแม้จะไม่อาจ กล่าวได้ว่าเข้าใจในตัวฮูหยินผู้เฒ่ากัว แต่ก็พอจะสัมผัสลักษณะนิสัยของฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้บ้าง การจะเป็นผู้นำของตระกูลเฉิงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้พี่ชายสวี่อยู่ที่จิงเฉิง ทั้งมีท่านลุงใหญ่จิงคอยปกป้อง และมีนายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลักคอยดูแล ถือว่ามีข้อได้เปรียบทั้งในเรื่องของเวลา สถานที่ และการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ ซึ่งหากเขายังถูกพี่ชายสือที่จากบ้านไปไกลขโมยโอกาสสร้างชื่อเสียงไปได้ เช่นนั้นต่อให้เขาจะได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสให้ขึ้นเป็นผู้นำของตระกูลเฉิงได้ แต่เกรงว่าคง ไม่มีทางได้รับการยอมรับจากสังคมได้ เกรงว่าความตั้งใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวคือต้องการให้พี่ชายสือไปเป็นหินลับมีดให้พี่ชายสวี่ เพื่อดูว่าพี่ชายสวี่จะ แบกรับหน้าที่ผู้นำตระกูลได้หรือไม่มากกว่า”

“ไม่เลวๆ!” นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่ากวนเผยแววชื่นชมออกมาให้เห็นอย่างไม่ปิดบังเลยสักนิดเดียว “คิดไม่ถึงว่าเจ้าอายุน้อยเพียงนี้ ในยามปกติก็ไม่ส่งเสียงหรือออกความเห็นใด ทว่ากลับ แสดงความคิดเห็นเช่นนี้ออกมาได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนที่ชอบปล่อยเสือเข้าไปเลี้ยงในขุนเขา ตอนที่ลุงใหญ่จิงของเจ้ายังเด็กนั้นก็เคยติดตามนายท่านผู้เฒ่าของตระกูลกัวเดินทางไปที่ซีเตียนมาแล้ว ลุงรองเว่ยของเจ้าก็เคยถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวทิ้งให้อยู่ที่ชวนซีเป็นระยะเวลาหนึ่ง ส่วนน้าฉือของเจ้านั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ติดตามศึกษาตำรากับนายท่านผู้เฒ่าเซ่าตั้งแต่อายุยังน้อย หากว่า สอบผ่านบทเรียนที่กำหนดเอาไว้ไม่ได้ แม้แต่วันตรุษจีนก็ไม่ให้กลับมา คนที่ข้านับถือที่สุดก็เห็นจะเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวผู้นี้แล้ว ไม่ว่าจวนหลักจะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ตกต่ำเพียงใด นางก็ พลิกสถานการณ์กลับมาได้โดยไม่คร่ำครวญใดๆ…

…บางทีอาจเป็นเพราะว่าในรัชกาลก่อนมีการกำจัดอนุมากเกินไป ทำให้ที่ผ่านมาตระกูลเฉิงมีทายาทชายยากยิ่งนัก พวกเราต่างก็มักจะยกให้ลูกหลานเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ทว่ากลับไม่รู้ว่าบุตรนั้นหากไม่สั่งสอนก็ไม่อาจเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ ลูกหลานที่ไม่เป็นผู้เป็นคนไม่เพียงทำลายวงศ์ตระกูลเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นแล้วยังทำลายผู้อื่นอีกด้วย ในข้อนี้แล้ว พวกเราล้วนไม่มีผู้ใดสู้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้…

…เสาจิ่น ด้วยอายุขนาดเจ้าแต่ คิดได้ถึงเพียงนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว แต่เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี บุรุษเป็นใหญ่อยู่ภายนอกส่วนสตรีเป็นใหญ่อยู่ภายในบ้าน ภายในบ้านถือเป็นโลกของสตรี ต่อไปในภายภาคหน้านอกจากเจ้าจะต้องดูแลหน้าที่ต่างๆ ที่ภรรยาพึงกระทำแล้ว ยังต้องรับผิดชอบเรื่องการอบรมสั่งสอนบุตรชายหญิงอีกด้วย ต้องไม่ปล่อยให้ความรักความสงสารที่มีต่อพวกเขาเนื่องด้วยพวกเขาเป็นเลือดเนื้อของตนมาให้ท้ายพวกเขาจนเสียคน ต้องรู้ว่า พวกเขาไม่อาจมีชีวิตอยู่ภายใต้ปีกของเจ้าได้ตลอดไป ต้องมีสักวันที่เขาต้องไปใช้ชีวิตข้างนอก ไปมีปฏิ สัมพันธ์กับผู้อื่น ผู้คนด้านนอกไม่สนหรอกว่าเขาจะเป็นบุตรหลานของผู้ใด ยามอยู่ในบ้านยิ่งเจ้าเข้มงวดกับพวกเขามากเท่าไร ความรุนแรงจากแรงกดดันที่พวกเขาได้รับหลังจากที่ออกไปเผชิญโลกข้างนอกแล้วก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น นี่ต่างหากถึงจะเป็นการรักบุตรหลานที่จริงแท้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”

สิ่งที่ท่านยายกล่าวมาล้วนเป็นคำพูดที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ

โจวเสาจิ่นน้อมรับด้วยความเคารพ

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มอย่างพึงพอใจ หมุนกายไปนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่น กล่าวเสียงนุ่มว่า “อย่างไรก็ตาม ต่อให้เป็นเช่นนั้น แต่สิ่งที่เจ้าปฏิบัติกับสาวใช้ของจวนรองผู้นั้นก็ออกจะรุนแรงไปสักหน่อย”

ใบหน้าของโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเรื่อเล็กน้อย

นับตั้งแต่นางรู้เรื่องบางอย่างของจวนรองแล้ว ก็ไม่อาจให้ความเคารพจวนรองได้อีก ฉะนั้นตอนที่สาวใช้ของจวนรองทำตัวกระด้างกระเดื่องกับนาง นางจึงทนไม่ได้ไปชั่วขณะ…

โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่ได้ซักไซ้เอาความถึงเรื่องนี้ต่อ เพียงแต่เอนตัวเล็กน้อย กล่าวด้วยท่วงท่าสง่างามว่า “เสาจิ่น เจ้าคัดพระธรรมอยู่ที่เรือนหานปี้ซานจึงได้ยินอะไรมาใช่หรือไม่”

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างครุ่นคิดพิจารณาว่า “บางอย่างข้าก็ได้ยินมา แต่บางอย่างข้าก็คาดเดาเอาเอง ก็ไม่รู้ว่าถูกต้องหรือไม่ ข้าจะเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง แล้วท่านช่วยข้าตัดสินใจด้วยเถิดเจ้าค่ะว่าต่อไปข้าควรจะทำตัวอย่างไรดี”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วก็ทำท่าทางส่งสัญญาณให้นาง เงียบเสียง ลงก่อน จากนั้นให้ซื่อเอ๋อร์ไปเชิญหวังมามาเข้ามา สั่งการหวังมามาว่า “ข้ามีเรื่องต้องการคุยกับเสาจิ่น เจ้าช่วยพวกข้าเฝ้าประตูเอาไว้สักหน่อย”

หวังมามาสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ขานรับเสียงขรึมว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นช่วยปิดประตูให้พวกนาง

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงชี้ไปที่ตั่งหลัวฮั่นที่อยู่ตรงหน้าของตน กล่าวขึ้นว่า “เจ้านั่งลงมาคุยกันเถิด”

โจวเสาจิ่นขานรับ แล้วนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่นเพียงครึ่งก้น โน้มตัวไปกระซิบเล่าเรื่องที่ตนค้นพบนับตั้งแต่ย้อนเวลากลับมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนฟัง “…จวนหลักกับจวนรองขัดแย้งกันมาเป็นเวลานานแล้ว แต่เนื่องจากมีจวนสาม ฉะนั้นก่อนหน้านี้ทุกคนก็เลยดูไม่ออก…พี่ชายเจิ้งนั้นถือได้ว่าเป็นผู้คงแก่เรียนที่โดดเด่นผู้หนึ่งท่ามกลางหมู่พี่ชายทั้งหลาย แต่กลับไม่ได้เข้าร่วมการสอบขุนนางในลำดับที่สูงขึ้นต่อ ข้ามาพิเคราะห์ดูแล้วคิดว่าในปีนั้นอาจจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นก็เป็นได้ จวนหลักกับจวนรองก็เลยกดทับจวนสามมาโดยตลอด ไม่ให้จวนสามได้ประสบความสำเร็จในเส้นทางของการสอบขุนนาง ให้ทำได้เพียงต้องพึ่งพาจวนหลักและจวนรองสืบไป…แต่จวนสามก็ไม่เคยย่อท้อ คิดหาวิธีปลดปล่อยตัวเองออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้ ดังนั้นพี่ชายเจิ้งก็เลยยังครองตัวเป็นโสดตลอดมา…ที่เหลียงกั๋วกงเข้าเมืองหลวงในคราวนี้ เคยขอให้ท่านน้าฉือช่วยเหลือ แต่ท่านน้าฉือปฏิเสธ ต่อมาก็มีข่าวที่ว่าซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงถูกใจพี่สาวเจียปล่อยออกมา…ไม่แน่ว่าจวนเหลียงกั๋วกงอาจจะรู้เรื่องความขุ่นเคืองใจนี้…พวกเขาอยากจะเข้าใกล้ตระกูลเฉิงให้มากยิ่งขึ้น คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จวนสามจะตอบรับ ด้วยเหตุนี้ถึงได้ทำการสู่ขอพี่สาวเจีย ถึงแม้จะบอกว่าตระกูลเฉิงได้ทำการปฏิเสธไปแล้ว แต่เหลียงกั๋วกงกับซื่อจื่อยังอยู่ที่จิงเฉิง จึงเกรงว่าเรื่องนี้อาจจะยังไม่จบลงง่ายๆ…ตอนนี้จวนหลักรุ่งโรจน์ดั่งดอกไม้สดที่สวยสดและงดงาม มีผู้สืบทอดที่มีความสามารถถูกวางตัวเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด แต่จวนรองกลับเป็นเสมือน อาทิตย์อัสดง ไม่มีคนที่มีความสามารถพอจะมารับช่วงต่อได้ ซึ่งท่านผู้นำตระกูลจวนรองคงกังวลใจอย่างมากเป็นแน่เจ้าค่ะ…”

กล่าวถึงตรงนี้ นางก็หยุดไปชั่วครู่

ด้วยเหตุนี้ชาติก่อน พวกเขาถึงได้ต้องการทำลายเฉิงสวี่

เนื่องจากในบรรดาคุณชายรุ่นที่สี่ของจวนหลักนั้น กล่าวได้ว่านอกจากเฉิงสวี่แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดโดดเด่นอีกแล้ว

“ตอนที่ท่านพ่อกลับมานั้น ท่านผู้นำตระกูลจวนรองลดตัวลงมาอย่างไม่สงวนตัว เพื่อแนะนำพี่ชายสือให้ท่านพ่อของข้าด้วยตัวเอง…ตอนที่คนของตระกูลหมิ่นจากฝูเจี้ยนมาที่ตระกูลเฉิง ก็ถึงกับออกหน้ามาต้อนรับด้วยตัวเอง คงอีกไม่นานแล้วเจ้าค่ะที่ทั้งสองจวนจะเปิดศึกกันอย่างจริงจัง”

โจวเสาจิ่นประสานมือทั้งคู่เข้ากันแน่น กล่าวต่อว่า “ข้าคิดว่า วันใดที่จวนหลักกับจวนรองกลายเป็นอริกันแล้ว พวกเราอีกสามจวนที่เหลือล้วนไม่อาจหลีกเลี่ยงการเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยได้ ถึงเวลานั้น เกรงว่าความเอื้อเฟื้อที่คนหลายต่อหลายรุ่นเคยได้รับมาอาจต้องตอบแทนคืนกลับไปทั้งหมด”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก้มหน้าก้มตาลง ค่อยๆ หมุนสร้อยลูกประคำสิบแปดเม็ดในมือที่ไม่รู้ว่าถอดออกมาจากข้อมือตั้งแต่เมื่อไหร่เบาๆ โดยไม่ได้กล่าวอะไร

โจวเสาจิ่นชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น

นี่เป็นสิ่งที่นางคิดพิเคราะห์ครั้งแล้วครั้งเล่าและกลั่นออกมาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาสองชาติภ พ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะถูกต้องหรือไม่

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฮูหยินผู้เฒ่ากวนดูเหมือนกับรูปปั้นดินเหนียวขององค์พระโพธิสัตว์รูปหนึ่ง ที่นั่งหมุนลูกประคำในมือนิ่งโดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

ภายในห้องเงียบเชียบจน ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มที่ร่วงลงบนพื้น

โจวเสาจิ่นพยายามนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ลำคอเริ่มตีบตัน กระดูกกระเดี้ยวตามร่างกายทั้งชาและปวดเมื่อย หวังให้มีใครสักคนเดินเข้ามาหรือไม่ก็มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นก็ได้ รำพึงอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ว่า หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางก็คงจะจัดที่นั่งของตนให้สบายกว่านี้แล้วค่อยเริ่มสนทนากับท่านยายตั้งแต่ต้นแล้ว

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร แล้ว สุดท้ายฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็เงยหน้าขึ้นมา

นางมองโจวเสาจิ่น ถอนหายใจยาวๆ ออกมาครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นใบหน้าที่ขมวดมุ่นก็ดูเหมือนจะดูดีขึ้นมาก “เจ้าเด็กคนนี้ จะให้ข้ากล่าวอะไรดี! คำพูดพวกนี้พูดกับยายแล้วก็ให้แล้วกันไป แม้แต่กับป้าใหญ่ของเจ้าก็อย่าได้เอ่ยขึ้นมาเชียว ป้องกันการเกิดปัญหาหากพลั้งปากพูดออกไป”

ท่านยายเชื่อแล้ว!

โจวเสาจิ่นรู้สึกได้ผ่อนคลายความกังวลลง

หากไม่ใช่เพราะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย นางก็คงจะกระโดดโลดเต้นอย่างยินดีไปแล้ว

“ข้าไม่พูดกับผู้ใด แน่นอนเจ้าค่ะ” นางรีบกล่าวคำสาบาน “…จะเก็บคำพูดพวกนี้เอาไว้ในท้องอย่างแน่นหนาเจ้าค่ะ”

“ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหลุดยิ้ม กล่าวต่อว่า “เรื่องที่เจ้ากล่าวมานี้คนรุ่นก่อนๆ ล้วนทราบกันดี แม้แต่คนรุ่นเด็กกว่า หากมีความใส่ใจมากสักหน่อยก็คงพอจะเดาออกอยู่บ้างเช่นกัน ข้าอยากจะพูดกับเจ้าด้วยอีกแง่มุมหนึ่ง เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจวนหลักจะ ยิ้มไปจนถึงวันสุดท้าย เจ้าลองคิดดู ด้วยเพราะจวนรองเป็นกังวลใจเรื่องของจื่อชวน อย่างน้อยภายในยี่สิบปีจึงไม่ยอมให้มีคนมารับช่วงต่องานของจื่อชวน ซึ่งก็เท่ากับเป็นการกำจัดจิ้นซื่อของจวนหลักไปได้คนหนึ่ง จวนหลักจึงไม่มีคนให้ใช้งานได้ และเมื่อเทียบกันในบางด้านแล้วเจียซ่านก็ยังเทียบโหย่วอี๋[1]ไม่ได้…ถ้าหากท่านผู้นำตระกูลจวนรอง มีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวสักหน่อย ก็ไม่แน่ว่าโหย่วอี๋จะไม่มีโอกาส นอกจากนี้ชาติกำเนิดของหงซื่อผู้เป็นสะใภ้ใหญ่อี๋ก็ไม่ธรรมดา หากว่าพวกเราเดินผิดทางไปจะทำอย่างไร”

โหย่วอี๋หรือก็คือเฉิงสือของจวนรอง

คำถามที่ใหญ่ขนาดนี้ โจวเสาจิ่นเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรหรือใคร่ครวญอย่างไรดี

แต่นางรู้ว่า อีกสิบสองปีหลังจากนี้ ตระกูลเฉิงจะถูกตรวจสอบและกำจัดให้สิ้นซาก

เรื่องราวความรักความแค้นและอุบายเหล่านี้ล้วนพังทลายลงภายใต้อำนาจของราชสำนักได้อย่างง่ายดายราวขอนไม้ที่ผุพัง

มีเพียงเฉิงฉือกับเฉิงสวี่ที่หนีรอดออกมาได้

ควรจะกล่าวว่า เฉิงฉือช่วยเฉิงสวี่ออกมาเพียงคนเดียวต่างหาก

ชาติก่อน ตอนที่นางใช้ชีวิตอย่างเงียบเชียบประหนึ่งปลวกมดที่ไร้ตัวตนนั้น จวนหลักก็ยังคงเป็นผู้ชนะ

ชาตินี้ หากหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมของเฉิงสวี่ได้ รวมถึงมีคำเตือนของนางแล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดที่จวนหลักจะหลบเลี่ยงไม่พ้น

เมื่อคิดถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นก็สั่นสะท้านขึ้นมา

เหตุใดเฉิงฉือถึงช่วยแค่เฉิงสวี่คนเดียวเล่า

เป็นเพราะมีความสามารถไม่มากพอ หรือเพียงเพราะเฉิงสวี่เป็นหลานชายคนโตของจวนหลัก เป็นดั่งทายาทของตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ

นางนึกถึงความไม่แยแสของเฉิงฉือ ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาลางๆ

แต่ในเวลานี้ นางยังไม่อาจ ไปคิดถึงเรื่องนั้นมากได้

นางต้องการให้จวนสี่เดินตามจวนหลัก เช่นนั้นก็ต้องทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเชื่อว่าสุดท้ายแล้วจวนหลักจะเป็นผู้ชนะในศึกนี้

“ท่านก็รู้จักตระกูลหมิ่นที่ฝูเจี้ยนดี” โจวเสาจิ่นกล่าวเสียงขรึม “ฮูหยินหยวนต้องการสู่ขอคุณหนูของตระกูลหมิ่นให้พี่ชายสวี่เจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตะลึงงัน กล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่กล่าวว่าได้พบกับคุณชายจากตระกูลหมิ่นโดยบังเอิญหรอกหรือ”

“ในส่วนของรายละเอียดข้าเองก็ไม่ทราบ” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าเพียงได้ยินสิ่งนี้มาจากฮูหยินหยวนเท่านั้นเจ้าค่ะ” นางเล่าเรื่องที่เฉิงสือถูกคุณชายหมิ่นผู้นั้นบอกปฏิเสธให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนฟัง “ท่านลองคิดดู คุณชายหมิ่นผู้นั้นจะต้องการทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองใจโดยไร้เหตุผลไปเพื่ออันใดเจ้าคะ”

“หากเป็นเช่นนี้…” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวเสียงขรึม “จวนหลักคงจะมั่นใจแล้วว่าตนมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง กว่าจริงๆ…”

ตระกูลหมิ่นที่ฝูเจี้ยนเก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวจริงๆ หรือ

ฮูหยินหยวนคิดว่าการดองกับพวกเขาจะช่วยส่งเสริมให้เฉิงสวี่ เข้าสู่ราชสำนักได้ง่าย ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากวนเมื่อได้ยินว่าจวนหลักมีคนจากตระกูลหมิ่นคอยสนับสนุนก็รู้สึกว่าจวนหลักจะมีชัยชนะได้…โจวเสาจิ่นไม่ค่อยมั่นใจนัก

……………………………………………………………

 

[1] โหย่วอี๋ อีกหนึ่งชื่อเรียกของเฉิงสือ