ตอนที่ 194 รอดกลับมายาก?

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

“เป็นไปไม่ได้!” จอมพลปฏิเสธทันทีโดยไม่คิดเลยสักนิด

โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งของสหพันธรัฐเป็นจุดสนใจทั่วทั้งสหพันธรัฐ คนที่สามารถสอบเข้าไปในนั้นได้ต่างก็เป็นอัจฉริยะระดับสุดยอดที่สุดของสหพันธรัฐ ทุกคนต่างเพียงพอที่จะโดดเด่นเหนือคนอื่นๆ ทางกองทัพและรัฐบาลต่างฝ่ายต่างควบคุมตรวจสอบซึ่งกันและกัน ปฏิเสธอภิสิทธิ์จากความสัมพันธ์เก่าแก่ทุกอย่างในการเข้าประตูหลังด้วยความสุภาพนับตั้งแต่ที่ก่อตั้งโรงเรียนเพื่อที่จะขัดขวางเรื่องประตูหลังและรับนักเรียนเข้ามาอย่างมั่วๆ ซั่วๆ จนทำลายป้ายชื่อทองนี้ ต่อให้เขาอยากช่วยหลิงเซียวก็ไม่สามารถไปจัดการฝ่ายรัฐบาลได้หรอกนะ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีที่หนึ่งจอมเล่ห์คนนั้น

“ท่านจอมพล!” ทั่วทั้งดวงหน้าของหลิงเซียวดำทะมึนลง เขาจ้องเขม็งไปที่จอมพล แววตาดูไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาไม่มีทางถอยเด็ดขาดเพื่ออนาคตของลูกชายเขา

จอมพลเห็นหลิงเซียวเป็นแบบนี้ ในใจก็รู้สึกกลัดกลุ้มมาก ภายนอกหลิงเซียวดูเหมือนพูดคุยง่ายมาก แต่ความจริงแล้วในส่วนลึกของเขาเป็นคนที่หัวแข็งอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ถ้าหากไม่บรรลุถึงเป้าหมายก็จะไม่หยุดพักโดยเด็ดขาด

“ให้ตายสิ!” จอมพลอัดบุหรี่หนึ่งคำแรงๆ สูบไปจนถึงก้นบุหรี่ทันที เขาขยี้บุหรี่ในที่เขี่ยบุหรี่ของโต๊ะชาอย่างหนักหน่วง เอ่ยด้วยสีหน้าเดือดดาลว่า “ถ้าฉันช่วยเธอได้ ก็ต้องช่วยอยู่แล้ว แต่ว่าการเข้าไปในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งไม่ใช่สิ่งที่ฉันพูดแล้วคนอื่นต้องทำตาม อย่างน้อยที่สุด เธอก็ต้องจัดการนายกรัฐมนตรีที่หนึ่งของสภารัฐกิจให้ได้”

จอมพลกล่าวคำพูดนี้จบ อารมณ์ก็กลับมาใจเย็นลงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เอ่ยปลอบใจว่า “หลิงเซียว ต่อให้พวกเราได้รับอนุญาตแล้ว ลูกชายของเธอก็เข้าไปแล้ว แต่เธอเคยคิดหรือเปล่าว่า ร่างกายของลูกชายเธอไม่สามารถทนผ่านปีหนึ่งไปได้เลย ถ้าหากนี่ทำให้ร่างกายของเขาเกิดอาการบาดเจ็บถาวรอะไรขึ้นมาล่ะ เธอจะไม่เสียใจภายหลังเหรอ?”

“มีคุณอยู่ไม่ใช่เหรอครับ?” หลิงเซียวโยนคำถามใส่จอมพลทันที

“หมายความว่ายังไง?” จอมพลพบว่าเขาตามจังหวะของหลิงเซียวไม่ทันแล้ว

“ขอเพียงคุณอนุญาตเป็นพิเศษให้หลิงหลานยกเว้นการสอบของปีหนึ่งก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอครับ?” หลิงเซียวตัดสินใจนานแล้วว่า เมื่อหลิงหลานเข้าปีหนึ่งแล้วจะไม่เข้าร่วมการฝึกฝนอะไร ยังคงมุ่งมั่นกับการฟื้นฟูร่างกายต่อไป

“หลิงเซียว เธออย่ามากเกินไปนะ!” ความโกรธปะทุขึ้นในอกของจอมพลแล้ว โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งของสหพันธรัฐไม่ใช่กิจการที่บ้านเขาเปิดนะที่คิดจะทำอะไรก็ทำได้?

“ผมจำได้ว่า ขอเพียงกองทัพออกแผนการอบรมสั่งสอนพิเศษให้กับนักเรียนที่เป็นเป้าหมายก็จะสามารถเข้าควบคุมการจัดการฝึกสอนของนักเรียนได้ตลอดทั้งปีหนึ่งเลยนี่ครับ” หลิงเซียวคิดเอาไว้นานแล้ว อย่างไรก็ตามแผนการอบรมสั่งสอนพิเศษนี้จำเป็นต้องให้จอมพลเซ็นชื่อ ดังนั้นเขาถึงรั้งจอมพลอยู่ที่นี่เพื่อให้เขารับปาก

“ให้กองทัพออกแผนการอบรมสั่งสอนพิเศษปลอมๆ เนี่ยนะ? ไม่ได้ นี่ลากคนมาเกี่ยวพันมากเกินไป…” จอมพลคิดแล้วก็ส่ายหน้าตามสัญชาตญาณ

“ไม่ใช่ว่ากองพลยี่สิบสามของพวกเราสามารถเลือกทหารระดับกลางและสูงของกองทัพได้อย่างอิสระเหรอครับ? ผมสามารถออกแผนการอบรมสั่งสอนนี้ได้ อบรมหลิงหลานให้กลายเป็นแกนกำลังสำคัญของกองพลที่ยี่สิบสาม” เพื่ออนาคตของลูกชายแล้ว หลิงเซียวไม่สนใจว่าเขาจะใช้อำนาจในเรื่องส่วนตัว

“หลิงเซียว ที่ให้เธอดูแลกองพลที่ยี่สิบสาม ไม่ใช่ว่าให้เธอทำตัวเป็นเผด็จการนะ” จอมพลได้ยินหลิงเซียวเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งว่าจะใช้อำนาจในเรื่องส่วนตัวก็โมโหขึ้นมาทันใด เวรเอ๊ย สำรวมตัวต่อหน้าเขาสักนิดไม่ได้เลยหรือไง? จะดีหรือเลวยังไงเขาก็เป็นผู้บัญชาการของกองพลทั้งหมดที่ดูแลสหพันธรัฐนะ

“ท่านจอมพล อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับหลิงหลานเลยครับ อาศัยเพียงเนื้อแท้และพรสวรรค์ของหลิงหลาน ถ้าเกิดเขาไม่ได้โดนนักฆ่าที่ประเทศศัตรูส่งมาลอบสังหารเมื่อสามปีก่อน เขายังคงแข็งแรงละก็ ปีนี้เขาจะสอบเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้หรือเปล่าครับ?” ความเดือดดาลของจอมพลไม่ได้ทำให้หลิงเซียวลนลาน เขายังคงกล่าวด้วยความเยือกเย็น

จอมพลพยักหน้า พรสวรรค์ของหลิงหลานไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิงเซียวเท่าไหร่เลย ถ้าหากเขาเติบโตมาได้อย่างราบรื่นละก็ ต่อให้ไปไม่ถึงความสำเร็จของหลิงเซียว แต่การกลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาก็แทบจะไม่มีปัญหาอะไรเลย

“ถ้างั้น เวลานั้น เมื่อเขาจบการศึกษาจากโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง เขามีคุณสมบัติกลายเป็นแกนกำลังสำคัญของกองพลหรือเปล่าครับ?” หลิงเซียวถามอีก

จอมพลเอ่ยด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “ขอเพียงเป็นนักเรียนที่ออกมาจากโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง พวกเขาต่างก็เป็นเป้าหมายที่ทุกกองพลต่างแย่งชิง” ในคำพูดนี้ไม่ได้มีคำปฏิเสธเลย ถ้าไม่มีเหตุการณ์ลอบสังหารเกิดขึ้น อนาคตของหลิงหลานก็เป็นดั่งที่หลิงเซียวว่าไว้

“ดังนั้น สิ่งที่ผมทำไม่ใช่การใช้อำนาจในเรื่องส่วนตัว หากแต่รับผิดชอบในฐานะกองทัพครับ” สายตาของหลิงเซียวส่องประกายเต็มไปด้วยชีวิตชีวา “สาเหตุที่หลิงหลานถูกลอบสังหารสำเร็จเป็นเพราะศัตรูแฝงตัวเข้ามาในหน่วยทัพที่กองทัพเราส่งไปคุ้มครองนักเรียน พูดอีกอย่างก็คือ กองทัพต้องแบกรับความรับผิดชอบในเรื่องนี้อย่างแน่นอน”

 ความจริงแล้วจอมพลก็รู้ดีเช่นกันว่า จริงๆ แล้วกองทัพต้องแบกรับความรับผิดชอบทั้งหมดในเหตุการณ์ที่หลิงหลานถูกลอบสังหาร เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของพวกเขาถึงทำให้ศัตรูแฝงตัวเข้ามาได้สำเร็จ สุดท้ายจึงเกิดเหตุการณ์น่าสลดนี้ขึ้นมา

“พวกเราแค่แบกรับความรับผิดชอบในการคุ้มครองเป็นเวลาหนึ่งปีเท่านั้นก็สามารถกู้อนาคตของอัจฉริยะกลับคืนมาได้หนึ่งคน ผมแค่ช่วยกองทัพชดใช้หนี้ที่กองทัพติดค้างอีกฝ่ายเท่านั้น” หลิงเซียวเอ่ยอย่างเป็นเหตุเป็นผล ราวกับว่าเขาไม่มีความคิดเรื่องส่วนตัวเลยสักนิดจริงๆ

คำพูดของหลิงเซียวทำให้ในใจของจอมพลหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ หลิงเซียวคนนี้ทำทุกวิถีทางเพื่อเป้าหมายจริงๆ แต่ว่าเขาชอบ เพราะว่าเหตุผลนี้เปิดเผยและยึดมั่นในคุณธรรมมากพอ

“ในเมื่อเป็นแบบนี้เธอก็ไม่จำเป็นต่องไปทำแผนการอบรมสั่งสอนนี้แล้ว ฉันจะจัดการให้” จอมพลไม่อยากให้หลิงเซียวแบกรับชื่อเสียงแย่ๆ ว่าใช้อำนาจในเรื่องส่วนตัว

หลิงเซียวไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงเลวร้ายเลย อย่างไรก็ตาม ในเมื่อจอมพลสนใจ เขาก็ไม่ฝืนเช่นกัน หลิงเซียวรู้ดีอย่างยิ่งว่าจะทิ้งความประทับใจดีๆ ไว้ในใจผู้บังคับบัญชาอย่างไร การเชื่อฟังคำสั่งอย่างเหมาะสมคือเรื่องที่จำเป็นมากๆ

จอมพลกล่าวคำพูดประโยคนี้จบก็พลันตระหนักได้ว่าเขาถูกหลิงเซียวพาออกนอกปัญหาสำคัญไปโดยไม่รู้ตัว “ทำไมจู่ๆ ก็พูดถึงตอนท้ายแล้วล่ะ? หลิงเซียว เธอต้องพูดโน้มน้าวนายกรัฐมนตรีที่หนึ่งก่อน ขอเพียงอีกฝ่ายเห็นด้วย ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว รวมถึงเรื่องในตอนท้ายด้วย ฉันช่วยจัดการให้เธอได้”

“ทำไมต้องไปพูดโน้มน้าวเขาด้วยครับ?” มุมปากของหลิงเซียวเผยรอยยิ้มออกมา ถึงแม้ว่ามันดูอ่อนโยนเหมือนปกติ แต่จอมพลรู้สึกมาตลอดว่าข้างในรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยร่องรอยความปลิ้นปล้อน

“ผมจำได้ว่าในกฎทหารของสหพันธรัฐมีกฎข้อนี้อยู่ เมื่อทหารกลายเป็นนายพลของสหพันธรัฐ บุตรชายเขาก็มีโควตาส่งเข้าไปเรียนในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเพื่อเป็นการสรรเสริญต่อการอุทิศตนของทหารมีต่อสหพันธรัฐ ขอเพียงผ่านการอนุมัติของจอมพลที่หนึ่งก็จะสามารถเข้าไปเรียนในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้ทันที ในเมื่อนี่เป็นอำนาจทางทหารของพวกเรา ระบบรัฐบาลไม่มีสิทธิ์ยื่นคำคัดค้านนะครับ…”

สหพันธรัฐเป็นประเทศแห่งการทหารที่อาณาประชาราษฎร์ล้วนเป็นทหาร ความดีความชอบด้านการทหารยิ่งใหญ่ที่สุด หน่วยงานรวมไปถึงบุคคลที่มีอำนาจใดๆ ต่างก็ขัดขวางผู้อุทิศตนเพื่อคุณูปการด้านการทหารใช้อภิสิทธิ์พิเศษไม่ได้

จอมพลเบ้หน้าทันทีขณะมองชุดเครื่องแบบนายพลบนตัวหลิงเซียว เขาพลันนึกเสียใจภายหลังเล็กน้อยว่าทำไมตัวเองถึงเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้?

ที่แท้จอมพลฉวยโอกาสที่หลิงเซียวปรากฏตัวกลับมาอย่างกะทันหัน แนะนำให้เลื่อนขั้นหลิงเซียวเป็นยศนายพลในตอนที่ฝ่ายอื่นๆ ยังคงสับสนวุ่นวาย เนื่องจากความสามารถของหลิงเซียวไปถึงแล้ว ชื่อเสียงก็ไปถึงแล้ว กอปรกับพวกเขาถูกข่าวนี้โจมตีใส่จนสับสน หาข้ออ้างไม่เจอไปชั่วขณะ ส่วนทางรัฐบาลเองก็อยากอาศัยการกลับมาของหลิงเซียวโยกย้ายสายตาของผู้คนเพื่อที่จะรักษาความมั่นคงภายในรัฐบาลที่ช่วงนี้ไม่ค่อยสงบนักก็เลยให้การสนับสนุนอย่างกระตือรือร้น ดังนั้น การเลื่อนขั้นหลิงเซียวเป็นนายพลจึงไม่ได้สร้างการคัดค้านอย่างรุนแรง ผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่นภายใต้ความบังเอิญของเหตุการณ์ต่างๆ นานา

เนื่องจากกลัวว่าเรื่องราวจะเปลี่ยนไป จอมพลจึงลงชื่อในหนังสืออนุมัติตรงนั้นเลยเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นไป แต่เขาไม่นึกเลยว่าเวลานี้เจตนาดีของเขากลับกลายเป็นก้อนหินที่กระแทกเท้าของเขาไปเสียแล้ว ทำให้ตอนนี้เขาขี่หลังเสือยากที่จะลงมา

ควรรู้ไว้ว่าสหพันธรัฐมอบอภิสิทธิ์นี้ให้เป็นพิเศษเพื่อสรรเสริญการอุทิศตนของนายพลที่มีต่อสหพันธรัฐ แน่นอนว่าทุกคนต่างคิดว่านี่เป็นเพียงอภิสิทธิ์ทางชื่อเสียงเท่านั้น ไม่มีใครเคยใช้มาก่อน เนื่องจากมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่มีคนกลายเป็นนายพลโดยที่ยังอายุไม่ถึงหกสิบเจ็ดสิบ อายุเท่านี้อย่าพูดถึงลูกเลย กระทั่งหลานก็อาจจะแต่งงานมีลูกไปแล้ว ใครยังจะใช้อภิสิทธิ์ข้อนี้ได้เล่า

จอมพลตระหนักได้ว่าสหพันธรัฐมีสิทธิพิเศษของทหารหลายข้อในเวลานี้ที่เมื่อก่อนมีไว้เป็นตัวตนเพียงแค่ชื่อ แต่ไม่เคยมีคนสามารถใช้พวกมันได้เลย ทว่าตอนนี้ตัวตนของพวกมันได้เปิดประตูหลังให้หลิงเซียวอย่างชัดเจน…อายุของหลิงเซียวยังหนุ่มมากเกินไปจริงๆ

“ได้ ฉันรู้แล้ว” จอมพลกล่าวด้วยความจนใจ

เมื่อเห็นหลิงเซียวยังคงยืนตัวตรงอยู่เบื้องหน้าเขา เขาก็กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เธอยังอยากได้อะไรอีก?” ถ้าหมอนี่กล้ายื่นคำขออะไรอีกละก็ เขาจะไล่มันออกไปแน่นอน

“จดหมายตอบรับเข้าเรียนของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งครับ!” หลิงเซียวกล่าว

“หลิงเซียว เธอคิดว่าฉันเป็นเทพที่ทำได้ทุกอย่างจริงๆ หรือไงที่ขอปุ๊บก็ได้ปั๊บ หยิบจดหมายตอบรับมาได้ง่ายๆ? บัดซบเอ๊ย ไสหัวกลับบ้านเธอไป อดทนรอซะ!” จอมพลคำราม

หลิงเซียวได้ยินคำพูดก็ยิ้มขึ้น เขาทำท่าวันทยหัตถ์ด้วยความเคารพ “ครับ ท่านจอมพล!” เขาหันกายจากไป เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู จู่ๆ เขาก็หันหน้ากลับมาพูดว่า “ท่านจอมพล อันที่จริง สิ่งที่ผมอยากได้ก็คือคำพูดนี้ของคุณนี่แหละ!” เขากล่าวจบก็เดินออกจากประตูท่ามกลางเสียงหัวเราะดังลั่น

“ไอ้เด็กเวร!” จอมพลอดสบถด้วยรอยยิ้มไม่ได้ และก็มีเพียงหลิงเซียวเท่านั้นที่กล้ากำเริบเสิบสานตรงหน้าเขา ขออะไรตั้งมากมาย นี่ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของหลานชายในครอบครัวไปชั่วขณะ นับตั้งแต่ที่เขากลายเป็นจอมพลที่หนึ่งของสหพันธรัฐ เขาก็สูญเสียบางด้านไปมากมาย

………………

เมื่อหลิงเซียวออกมานอกประตู พันตรีที่กำลังยืนรอคอยด้วยความอดทนอยู่ตรงหน้าประตูก็มีดวงตาเป็นประกาย เขารีบเดินเข้ามา เอ่ยแสดงความเคารพว่า “ท่านนายพล!”

“กลับไปกันเถอะ!” หลิงเซียวกล่าวแล้วก็เดินนำหน้าออกไปจากกองบัญชาการของกองพลที่หนึ่ง มายังหน้าประตูลานกว้าง

โฮเวอร์คาร์สีดำหรูหราชั้นยอดที่ปิดสนิททั้งหมดคันหนึ่งกำลังแล่นมา หลังจากนั้นก็จอดที่หน้าประตูช้าๆ ตำแหน่งของมันตรงมาก หลิงเซียวเดินลงบันไดแค่สามขั้นก็สามารถขึ้นรถได้เลย

พันตรีชิงเดินขึ้นหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งแล้วเปิดประตูรถ

หลิงเซียวก้าวเท้าเข้าไปนั่งแล้ว พันตรีค่อยปิดประตูรถ ส่วนตัวเองก็นั่งลงบนที่นั่งข้างคนขับ

โฮเวอร์คาร์คันนี้ไม่ได้ใช้ออปติคัลคอมพิวเตอร์บังคับ หากแต่ใช้คนขับ บนที่นั่งคนขับมีคนขับรถผู้หนึ่งนั่งอยู่เรียบร้อยแล้ว บนบ่าของเขาเป็นระดับพันตรีเช่นเดียวกัน รู้ได้ว่านี่ย่อมไม่ใช่คนขับรถธรรมดา

“กลับไปที่ค่ายทหารชั่วคราว!” พันตรีที่เพิ่งจะนั่งลงบนที่นั่งข้างคนขับเอ่ยกับคนขับรถ

คนขับรถพยักหน้า จากนั้นก็ค่อยๆ ขับโฮเวอร์คาร์ การขับรถของเขามั่นคงและมีความเร็วสม่ำเสมอ ทำให้คนที่นั่งอยู่บนรถไม่รู้สึกเลยว่ารถกำลังแล่นอยู่

ถึงแม้ว่าโฮเวอร์คาร์จะแล่นได้อย่างมั่นคงมาก แต่ความเร็วของมันไม่ได้เชื่องช้าเลย พริบตาเดียวมันก็หายไปที่ขอบฟ้า แล่นไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว

……….

เวลานี้ความรู้สึกของหลิงเซียวที่นั่งอยู่บนโฮเวอร์คาร์กลับสับสนอย่างยิ่งยวด

ต้องกลับบ้านแล้ว! ไม่รู้ว่าลั่วเฟิ่งจะให้อภัยเขาหรือเปล่า ถึงยังไงเขาก็ทิ้งพวกเธอแม่ลูกไปสิบเจ็ดปี!

หลิงเซียวคิดถึงตรงนี้ในใจก็รู้สึกขลาดเขลาอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้เหมือนกันว่า ถ้าเกิดเขากลับบ้านหลังจากการประกาศอย่างเป็นทางการละก็ หลานลั่วเฟิ่งจะต้องไล่เขาออกจากบ้านแน่นอน

ต้องรีบกลับให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้! หลิงเซียวไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงรู้สึกมาตลอดว่าการกลับไปคราวนี้จะรอดกลับมายากแล้ว…

…………………….