ตอนที่ 193 คำขอของหลิงเซียว!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

“ใช่แล้ว ไม่ได้เจอกันนานมากจริงๆ เกือบจะสิบเจ็ดปีแล้วสินะ!” จอมพลทำหน้าหวนรำลึก หลิงเซียวเป็นอัจฉริยะปีศาจแห่งยุคที่เขาเลือกอบรมสั่งสอนด้วยตัวเอง เคยเป็นความภาคภูมิใจของเขา ตอนที่ได้ยินข่าวร้ายของหลิงเซียว เขาก็โศกเศร้าเสียใจมากจริงๆ

“หลิงเซียว เธอกลับมาโดยสวัสดิภาพในครั้งนี้ ทางกองทัพรับปากว่าจะจัดงานแถลงข่าวประกาศการกลับมาของเธอ  แล้วก็ยินด้วยที่เธอกลายเป็นนายพลคนที่เก้าของสหพันธรัฐเราอย่างเป็นทางการ นี่เป็นตำแหน่งและเกียรติยศที่เธอควรได้รับ!” จอมพลเกิดความรู้สึกประดังประเดเข้ามาพร้อมกัน หลังจากที่ตบบ่าขิงหลิงเซียวก็นั่งลงบนเก้าอี้นวมที่อยู่ด้านข้าง และทำสัญญาณให้หลิงเซียวนั่งลงพูดคุย

“ขอบคุณสำหรับคำชมเชยครับ ท่านจอมพล!” หลิงเซียวเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ แล้วค่อยนั่งลงบนโซฟาด้านข้าง เขาไม่ได้แสดงท่าทีลำพองใจหรือเหลาะแหละเพราะการเลื่อนตำแหน่งของตัวเอง นี่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ตรงข้ามกับรูปลักษณ์อ่อนเยาว์ของเขา และก็ทำให้จอมพลลอบผงกศีรษะในใจ ยิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกพอใจมากขึ้น

การฝึกฝนขัดเกลาอย่างยากลำบากสิบเจ็ดปีมานี้ของหลิงเซียวไม่ได้เปล่าประโยชน์ มันทำให้ทั่วทั้งร่างของหลิงเซียวดูสุขุมมั่นคง เขานั่งลงบนตำแหน่งสูงอย่างนายพลได้อย่างสมภาคภูมิน่าเลื่อมใสศรัทธา

“ส่วนเรื่องการมอบหมายงานของนาย…กองพลที่เจ็ดนั้น ถึงยังไงก็สร้างขึ้นใหม่มาสิบกว่าปีแล้ว แต่ละส่วนของกองพลก็เติบโตมาอย่างดี ไม่เหมาะต่อการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่”  จอมพลเอ่ยด้วยความระมัดระวังอยู่บ้าง เขารู้ดีว่ากองพลที่เจ็ดมีความหมายต่อหลิงเซียว เพียงแต่ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตอนนี้กองพลที่เจ็ดไม่มีที่ของหลิงเซียวแล้ว

“กองทัพคิดจะมอบหมายงานให้ผมยังไงครับ?” หลิงเซียวไม่ได้สนใจอย่างที่จอมพลคิดไว้ขนาดนั้น เขาเพียงแต่เอ่ยถามเรียบๆ เกี่ยวกับงานที่ทางกองทัพกำหนดให้เขา

“กองทัพเตรียมเกณฑ์พลทหารส่วนหนึ่งในแต่ละกองพลมาตั้งเป็นกองพลที่ยี่สิบสาม และทหารใหม่ปีนี้ก็จะได้รับสิทธิ์เข้ากองพลที่ยี่สิบสาม ส่วนเธอ หลิงเซียวก็จะเป็นผู้บัญชาการเพียงหนึ่งเดียวของกองพลที่ยี่สิบสาม เธอเลือกผู้ช่วยจากในแต่ละกองพลได้อย่างอิสระ”

จอมพลบอกการจัดเตรียมการที่กองทัพมอบให้เขา ในเมื่อหลิงเซียวกลายเป็นท่านนายพลที่เก้าของสหพันธรัฐ ก็ย่อมต้องให้เขานำทัพของตัวเอง เพียงแต่ตอนนี้แต่ละกองพลต่างมีผู้บัญชาการกันหมดแล้ว กองทัพไม่มีทางสับเปลี่ยนผู้บัญชาการสูงสุดของกองพลได้ง่ายๆ นอกเสียจากจะเกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง สุดท้าย ทางกองทัพจึงตัดสินใจตั้งกองพลใหม่ขึ้นมาโดยให้หลิงเซียวรับผิดชอบไป พวกเขายังให้อภิสิทธิ์และสิทธิพิเศษบางอย่างเพื่อปลอบขวัญหลิงเซียวด้วย

“แบบนี้ก็ดีเหมือนกันครับ!” หลิงเซียวคิดว่าการจัดการแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ถึงแม้ว่ากองพลที่เจ็ดจะมีความหมายต่อเขาเป็นพิเศษจริงๆ แต่ความหมายในที่นี้ไม่ได้อยู่ที่ชื่อเรียกของกองพลที่เจ็ด หากแต่เป็นบรรดาพี่น้องในกองพล

 ช่วงเวลาสิบเจ็ดปีเพียงพอให้ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่เพียงแต่ผู้คนเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่ายังมีชื่อกองพลที่เจ็ดอยู่ แต่ว่าพวกเพื่อนร่วมรบที่ร่วมเป็นร่วมตายกับเขาในนั้นต่างไม่อยู่แล้ว ดังนั้นอันที่จริงแล้วเขาจะไปกองพลที่เจ็ดหรือไม่ไปก็ได้ทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม หลิงเซียวไม่ได้เปิดเผยความคิดที่แท้จริงของเขา ให้พวกคนในกองทัพคิดว่าทำผิดต่อเขา เขาถึงจะยื่นคำขอที่เกินเลยบางอย่างได้อย่างเด็ดขาด

“เธอยังมีคำขออะไรอีกไหม? ขอเพียงฉันสามารถทำได้ ฉันจะช่วยเธอจัดการแน่นอน” เป็นอย่างที่หลิงเซียวคาดการณ์ไว้จริงๆ จอมพลที่หนึ่งตกหลุมเป็นคนแรก

หลิงเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดว่า “ผมอยากรู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสิบเจ็ดปีมานี้ของภรรยาและลูกผม หลานลั่วเฟิ่งกับหลิงหลาน ผมอยากจะชดเชยเวลาสิบเจ็ดปีที่สูญเสียไปนี้ให้กลับคืนมา”

จอมพลมองหลิงเซียวอย่างลึกซึ้งแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เขาให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการลับข้างกายนำเอกสารที่เตรียมเอาไว้แล้วชุดหนึ่งเข้ามา ความจริงแล้วพอเขารู้ว่าหลิงเซียวยังมีชีวิตอยู่และอยู่ในระหว่างทางกลับมา เขาก็เตรียมข้อมูลชุดนี้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว เขาที่เข้าใจหลิงเซียวดีย่อมรู้ว่าหลิงเซียวจะต้องขอข้อมูลชุดนี้กับเขาแน่นอน

เจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการลับส่งข้อมูลมา แววตาของเขาเผยความตื่นเต้นออกมาวูบหนึ่ง เขาตั้งสติแล้วค่อยยื่นมือไปรับ

หลิงเซียวเปิดเอกสารด้วยความร้อนใจ เขาดูส่วนเล็กๆ น้อยๆ ของตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมานี้ของหลานลั่วเฟิ่งคร่าวๆ เนื่องจากหลานลั่วเฟิ่งอยู่ในคฤหาสน์มาตลอด เนื้อหาจึงมีไม่มาก หลิงเซียวอ่านข้อมูลชุดนี้จบอย่างรวดเร็ว

เมื่อหลิงเซียวหยิบข้อมูลที่มีเขียนเกี่ยวกับหลิงหลาน เขาสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งก่อนถึงค่อยเปิดข้อมูลของหลิงหลาน สิ่งแรกที่เข้ามาในสายตาก็คือภาพนักเรียนลูกเสือของหลิงหลานตอนอายุสิบสาม ชุดเครื่องแบบลูกเสือสีแดงทำให้ทั่วทั้งร่างเขาดูองอาจมีชีวิตชีวา ดวงหน้าเล็กๆ ของเขาดูเคร่งขรึม มีรูปลักษณ์เหมือนผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ ที่ดูสำรวมจริงจัง ท่าทีเหมือนไม่ให้คนเข้าใกล้ทำให้หลิงเซียวรู้สึกว่าน่ารักมากๆ

นี่ก็คือหลิงหลานลูกชายของเขาเหรอ? เขาต้องเป็นการรวมตัวกันของจุดเด่นของเขากับหลานลั่วเฟิ่งอย่างแน่นอน! หลิงเซียวกลายเป็นคุณพ่อกตัญญูยี่สิบสี่ประการที่เทิดทูนลูกมากไปในชั่วพริบตา ไม่ว่ายังไงลูกของเขาก็ดีเลิศและยอดเยี่ยม

เขาพลิกหน้าต่อไปอย่างอารมณ์ดีสุดขีด ด้านในเริ่มอธิบายข้อมูลทุกอย่างตั้งแต่ที่หลิงหลานเกิดมา เมื่อเห็นตระกูลหลิงพยายามแตะต้องสิทธิ์สืบทอดบำเหน็จความชอบของหลิงหลาน แววตาของเขาก็เย็นเยียบลง เดิมทีเขาก็กังวลว่าพวกคนโลภมากในตระกูลจะนำปัญหามาให้หลานลั่วเฟิ่งสองแม่ลูก ไม่นึกเลยว่าความอยากของพวกเขาจะมากมายขนาดนี้ คิดจะแย่งชิงของที่เขาทิ้งไว้ให้ลูกโดยตรง เขาจะต้องให้บทเรียนพวกมันสักหน่อยแล้ว

จากนั้นพอเห็นว่าหลานลั่วเฟิ่งใช้กองทัพและรัฐบาลขับไล่ตระกูลหลิงออกไปจากโดฮาทั้งตระกูล เขาก็อดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ เขารู้ว่าหลานลั่วเฟิ่งไม่ได้อ่อนแอเหมือนที่แสดงออกขนาดนั้น

อย่างไรก็ตาม อารมณ์ดีๆ ของเขาก็หายไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เนื่องจากเขาเห็นหลิงหลานถูกคนลอบสังหารระหว่างทางที่เข้าเรียนวันแรก ไม่เพียงเท่านั้น กระทั่งผู้คุ้มกันของหลิงหลานก็มีคนทรยศโผล่ขึ้นมาด้วย…หลิงเซียวอ่านถึงตรงนี้ความโกรธก็ปะทุขึ้นที่อก เขาตัดสินใจแล้วว่ากลับไปคราวนี้จะต้องจัดการเก็บกวาดผู้คุ้มกันของตระกูลหลิงให้หมด ไม่ให้มีอันตรายซ่อนอยู่ข้างกายหลิงหลานโดยเด็ดขาด

ทว่าข้อมูลต่อจากนั้นทำให้โทสะของหลิงเซียวสงบลงช้าๆ เมื่อเขาเห็นว่า หลิงหลานมักจะยอมแพ้เองในช่วงเวลาสุดท้ายของศึกจัดอันดับทุกครั้ง เห็นได้ชัดว่าความสามารถของเขากดนักเรียนร่วมชั้นได้แต่กลับไม่ยอมทำตัวเด่น ท้ายที่สุดเลยกลายเป็นราชาไร้มงกุฎของชั้นปี ความรู้สึกมากมายประเดประดังขึ้นมาในใจ ลูกชายของเขาเลือกเดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างจากเขา เขาเป็นผู้แข็งแกร่งมากที่สุดมาโดยตลอด เป็นจุดสนใจของผู้คนเสมอมา แต่หลิงหลานกลับเลือกปกปิดไว้ เพียงแต่วิธีการปกปิดของเขาดูหยาบไปบ้าง คนที่ตั้งใจมองต่างก็มองออกได้ทั้งนั้น

ในข้อมูลเขียนถึงความสำเร็จอันน่าประทับใจของหลิงหลานในสถาบันลูกเสือไว้เต็มไปหมด โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าการต่อสู้ประจัญบานที่ฝุ่นจับไปร้อยปีถูกหลิงหลานริเริ่มขึ้น เขาก็พลันรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา! นี่ก็คือหลิงหลาน ลูกชายของเขา!

อารมณ์ตื่นเต้นภาคภูมิใจของหลิงเซียวก็มาถึงแค่ตรงนี้เท่านั้น เนื้อหาส่วนต่อมาทำให้เขาหน้าถอดสีไปทันที

ไม่นึกเลยว่าจะมีสายลับของประเทศศัตรูปลอมตัวเป็นอาจารย์พยายามสังหารหลิงหลานในการต่อสู้ประจัญบาน โชคดีที่ดูเหมือนว่าหลิงหลานจะถูกมู่สุ่ยชิงยอดฝีมือระดับเขตเทวะช่วยเอาไว้ แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หลิงหลานก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายแทบจะถูกทำลาย

“บัดซบ!” หลิงเซียวเดือดดาล นิ้วมือกำแน่น เขาบีบกระดาษแผ่นนั้นจนกลายเป็นผุยผงกระจายไปในอากาศทันใด

การกระทำนี้ทำให้หลิงเซียวกลับมาเยือกเย็นลง เขามองกระดาษขาวที่หายไปแผ่นนั้นด้วยความเจ็บปวดใจ ให้ตายสิ ยังมีบางส่วนที่เขายังไม่ได้อ่านเลยนะ….

หลิงเซียวได้แต่ข้ามไปที่หน้าสุดท้ายด้วยความจนใจ แต่ก็พบว่าไม่มีแล้ว…

“ท่านจอมพลครับ หลิงหลานลูกชายผมได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนอายุสิบสามแล้ว หลังจากนั้นเขาเป็นยังไงบ้างครับ?” หลิงเซียวร้อนใจอยากรู้สภาพของหลิงหลานในตอนนี้จึงเอ่ยปากถามจอมพล

จอมพลได้ยินคำถามของหลิงเซียวก็รู้ว่าหลิงเซียวไม่ได้อ่านเนื้อหาช่วงหลังแน่นอน เขาจึงตอบว่า “เพราะว่าหลิงหลานได้รับบาดเจ็บหนักมากเกินไป หลังจากที่ให้หมอเฉพาะทางวินิจฉัยแล้ว เขาต้องพักฟื้นสามถึงสี่ปีถึงจะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของร่างกายได้ เขาเลยไม่สามารถทำการเคลื่อนไหวหนักๆ อะไรได้ในช่วงเวลานี้ ไม่อย่างนั้นจะยิ่งเพิ่มอาการบาดเจ็บมากขึ้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะทิ้งปัญหาแฝงถาวรไว้ที่ร่างกายเขา”

จอมพลกล่าวถึงตรงนี้ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ไม่ว่าจะพูดยังไงหลิงหลานก็โดนลอบสังหารในสถาบัน พวกเขาที่เป็นคนระดับสูงของกองทัพที่เกิดจากระบบสถาบันเหล่านี้ต่างต้องรับผิดชอบ เขาส่งสัญญาณให้เลขาจุดบุหรี่ให้เขา หลังจากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “เนื่องจากสภาพเช่นนี้ หลิงหลานเลยทำการหยุดเรียนกลับบ้านมาพักฟื้นร่างกายสามปี และรอกลับมาที่สถาบันลูกเสือเพื่อสมัครสอบเข้าสถาบันต่างๆ ในการทดสอบประเมินผลครั้งสุดท้ายของปีสุดท้าย”

“พูดแบบนี้หมายความว่าตอนนี้ร่างกายของเขาฟื้นฟูดีแล้วใช่ไหมครับ?” แววตาของหลิงเซียวแฝงไปด้วยความคาดหวัง

จอมพลอัดสูบบุหรี่เข้าไปลึกๆ หนึ่งคำ แล้วพรูออกมาช้าๆ “ไม่! จากข่าวล่าสุด ร่างกายของหลิงหลานบาดเจ็บหนักมากเกินไป เวลาสามปีไม่พอให้เขาฟื้นกลับมาแข็งแรง หมอวินิจฉัยว่าอย่างน้อยที่สุดยังต้องการอีกหนึ่งปีถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะหายดีเป็นปกติ”

ทั่วทั้งใบหน้าของหลิงเซียวเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ริมฝีปากของเขาหุบสนิท สองมือกำหมัดแน่น กระดูกนิ้วมือส่งเสียงกรอบแกรบเนื่องจากบดขยี้แรงมาก….

จอมพลกล่าวต่อว่า “หลายวันก่อนเป็นช่วงเวลาสมัครสอบเข้าสถาบันต่างๆ ของหลิงหลาน ลูกชายของนาย นายเองก็รู้ว่าเงื่อนไขของโรงเรียนทหารเคร่งครัดมาก โดยเฉพาะปีหนึ่ง สิ่งที่เน้นฝึกฝนเป็นอย่างหนักก็คือความสามารถทางร่างกาย นักเรียนที่ไม่สามารถไปถึงมาตรฐานได้จะถูกไล่ออกจากโรงเรียน ฉันไม่รู้ว่าสุดท้ายหลิงหลานจะเลือกสมัครสอบเข้าโรงเรียนไหน แต่คาดว่าไม่น่าจะสมัครสอบเข้าโรงเรียนทหารพวกนั้น”

“ตอนนี้ตรวจสอบดูได้หรือเปล่าครับ?” หลิงเซียวเอ่ยถาม

จอมพลมองไปที่เจ้าที่ฝ่ายเสนาธิการลับ จากนั้นเจ้าที่ฝ่ายเสนาธิการก็รีบผงกศีรษะกล่าวว่า “ท่านจอมพล สามารถตรวจสอบได้แล้วครับ”

หลิงเซียวไม่ได้มองไปยังเจ้าที่ฝ่ายเสนาธิการ หากแต่จ้องมองไปที่จอมพล รอคอยคำตอบของจอมพล

“ยอมเธอแล้วจริงๆ นิสัยยังดื้อรั้นเหมือนเดิม!” ท่าทีของหลิงเซียวที่จะไม่ไปจนกว่าจะรู้ผลทำให้จอมพลส่ายศีรษะด้วยความจนปัญญา เขาได้แต่ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการลับของเขาไปตรวจสอบผลการสมัครสอบสุดท้ายของหลิงหลาน

เจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาเหลือบมองหลิงเซียวแวบหนึ่งด้วยสีหน้าแปลกประหลาดสุดขีด อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ลังเล อย่างไรก็ตาม เขายังคงจำสถานะของตัวเองไว้ได้มั่น ข่มกลั้นไม่ให้พูดอะไรออกมาแล้วส่งข้อมูลในมือที่เขาตรวจสอบมาให้กับหลิงเซียว

“อะไรนะ หลิงหลานสมัครสอบเข้าสถาบันบำรุงรักษาหุ่นรบจุยเฟิงของดาวหมิงหวง? นี่มันสถาบันอะไร ทำไมผมไม่เคยได้ยินมาก่อน?” ข้อมูลตรงหน้าทำให้หลิงเซียวตะลึงงันเซ่อซ่าไปทันที ต่อให้ไม่สามารถสมัครสอบเข้าโรงเรียนทหารได้ สหพันธรัฐก็ยังมีสถาบันรวมของรัฐที่มีชื่อเสียงมากมายเพียงพอให้หลิงหลานเลือก

“นั่นเป็นสถาบันเอกชนแห่งหนึ่ง มีระดับอยู่ที่ระดับ Fครับ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการอธิบายเสียงเบา ระดับ F เป็นสถาบันระดับต่ำที่สุด แทบจะไม่มีสถาบันไหนด้อยไปกว่ามันเลย เมื่อเขาเห็นข้อมูลนี้ก็อึ้งไปเหมือนกัน ดังนั้นจึงไปตรวจสอบระดับและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถาบันบำรุงรักษาหุ่นรบจุยเฟิงเป็นพิเศษ

“ฮะ ลูกชายของหลิงเซียวตกระกำลำบากจนเข้าสถาบันเอกชนระดับ F เนี่ยนะ…ท่านจอมพล ผมคิดว่าคุณควรมีคำอธิบายให้ผมแล้ว” ทั่วทั้งร่างของหลิงเซียวถูกข่าวนี้โจมตีจนย่ำแย่แล้ว เขาไม่มีความเคารพเหมือนในตอนแรกอีกต่อไปแล้ว คำพูดคำจาไม่มีความสุภาพเลยสักนิด มีคนบางคนและเรื่องบางเรื่องที่เป็นเกล็ดย้อนของเขา ซึ่งเขาไม่อนุญาตให้ใครแตะมัน ก่อนหน้านี้คือหลานลั่วเฟิ่ง ตอนนี้ก็เป็นหลิงหลาน

แน่นอนว่าจอมพลไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ความจริงแล้วนี่ก็เป็นเพราะหลิงเซียวเห็นเขาเป็นผู้อาวุโสที่ตัวเองรักเคารพ ดังนั้นถึงได้พูดตรงไปตรงมาเช่นนี้ เขานวดหว่างคิ้วด้วยความกลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี

เมื่อเขาเห็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการเดินเข้ามาด้วยใบหน้าสับสน ก็รู้ว่าเรื่องราวท่าจะไม่ดีแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแบบนี้จริงๆ

“งั้นเธอบอกมาว่าเธออยากทำยังไง?” เขาติดค้างหลิงเซียวเอาไว้มากมายจริงๆ จอมพลไม่สามารถปฏิเสธได้

“ผมอยากให้ลูกชายของผมเข้าไปเรียนที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งของสหพันธรัฐครับ!” หลิงเซียวกล่าวอย่างเด็ดขาด ในใจเขามีเพียงสถานที่แห่งนั้นที่มีคุณสมบัติให้ลูกชายของเขาเข้าไปเรียน

………………………………………………..