บทที่ 169: วิญญาณนอกอาณาเขต (1)
ในวินาทีที่ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณถูกสร้างขึ้น หลุมของเมฆที่ปกคลุมอยู่ด้านบนก็พลันปะทุขึ้นพร้อมกับเสียงฟ้าร้องที่ดังลั่น จากนั้นร่างสีทองที่ลอยอยู่บนฟ้าก็เริ่มเคลื่อนไหวในที่สุด
ราวกับเพิ่งตื่นขึ้นจากการหลับใหล มันมองลงมาด้านล่างและพุ่งลงมาที่ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณราวกับอุกกาบาตลูกใหญ่!
อาร์ทิสอธิบาย “ตราบใดที่ความปรารถนาสุดท้ายของเขาคือการถูกฝั่งอยู่ในบ้านเกิดของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงสถานที่ที่เขาเสียชีวิต เขาจะปรากฏขึ้นที่ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณของบ้านเกิดตัวเอง หากพวกเราไม่มีศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณ วิญญาณเขาก็จะทำอย่างที่ทำเมื่อครู่ คือลอยไปมาอย่างมึนงงไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไร แม้เขาจะรู้ดีแก่ใจว่านี่คือสถานที่ที่เขาจะต้องมาอยู่หลังจากที่ตัวเองตาย เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะลงมาด้านล่างได้อย่างไรหรือต้องไปที่ไหน”
ฉินเย่พยักหน้าและสูดหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่จ้องไปยังวิญญาณดังกล่าวด้วยดวงตาที่ลุกโชน
ในที่สุดมันก็มา!
อาร์ทิสเคยพูดไว้ว่าวิญญาณทุกตนที่สามารถกระตุ้นให้มีการใช้งานคำสั่งพิเศษได้นั้นคือผู้มีความสามารถที่สั่งสมบุญบารมีไว้มากในตอนที่ยังมีชีวิต
อาจจะเป็นระดับเขต ระดับนคร หรือบางที…ฉินเย่เลียริมฝีปากที่แห้งผากของคนอย่างคาดหวัง ถ้าหาก…เป็นระดับเมือง หรือระดับมณฑลล่ะ?
นี่เขาต้องสร้างห้องทดลองพิเศษสำหรับอีกฝ่ายหรือเปล่า? มันอาจจะเป็นปัญหาได้หากเขามีความเชี่ยวชาญในสายของศิลปะ…แล้วถ้าเขาเชี่ยวชาญในสายของเทคโนโลยีเครือข่าย เราก็อาจจะต้องสนับสนุนเขามากกว่าเดิมด้วยหรือเปล่า? หรือว่าเขาควรให้อีกฝ่ายเข้าไปทำงานในบริษัทก่อสร้างหยินก่อนดี?
ในความเป็นจริงแล้วร่างสีทองใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นในการพุ่งลงมา แต่สำหรับฉินเย่แล้ว…มันกลับรู้สึกนานอย่างบอกไม่ถูก วิญญาณดวงนั้นตกลงมาเร็วมาก ยิ่งเข้าใกล้ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณมากเท่าไหร่ แท่นหินปูนก็เริ่มเปล่งประกายแสงสีทองอร่าม และดอกบัวสีทองก็เริ่มเบ่งบานออกบริเวณกลางแท่นดังกล่าว!
แต่ทันใดนั้น–!
ครืดด เคล้ง!!
เสียงโซ่ที่น่าตกใจดังขึ้นกลางอากาศ อาร์ทิสและฉินเย่เงยหน้ามองขึ้นด้านบนทันที และทั้งสองก็พบว่า….
มีสายโซ่สีดำสนิทขนาดใหญ่ล่ามอยู่ที่บริเวณข้อเท้าของวิญญาณตนนั้น!
โซ่เส้นดังกล่าวรัดอยู่ที่ข้อเท้าของวิญญาณอย่างแน่นหนา ร่างสีทองอยู่ห่างจากแท่นรับวิญญาณอีกแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น แต่มันกลับไม่สามารถขยับเข้ามาใกล้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว!
“นี่มัน…” สีหน้าของฉินเย่เคร่งขรึมกว่าเดิม เขาสัมผัสได้ถึงออร่าที่แผ่ออกมาจากโซ่เส้นนั้น…มันคล้ายกับวิญญาณแปลกประหลาดที่เขาเคยเผชิญหน้าที่ขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์เลย!
มันไม่มีรูปร่าง และการปรากฏตัวของมันจะสามารถตรวจจับได้ก็ต่อเมื่อมันเผยตัวออกมาเท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้ว มันชั่วร้าย เลวทราม และน่ารังเกียจ ราวกับว่าสวรรค์และโลกล้วนปฏิเสธมันอย่างสิ้นเชิง
“บังอาจนัก!!” เสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยวของหมิงซีหยิงดังขึ้นราวกับสายฟ้าจากเหนือประตูนรก “พวกมันกล้าดีอย่างไรถึงบุกเข้ามาในยมโลก?! พวกมันคิดว่านรกยังคงเป็นนครว่างเปล่าอยู่อย่างนั้นหรือ?! เจ้ารออะไรอยู่?! รีบฆ่ามันซะ!!”
อาร์ทิสสูดหายใจเข้าช้า ๆ และปิดเปลือกตาลง
“นี่มันบ้าอะไร?” ฉินเย่หันไปถามอาร์ทิส
“มันใช่…วิญญาณที่อยู่ในสำนักฝึกตนแห่งแรกหรือเปล่า?”
“แล้วมันมาอยู่ในยมโลกได้อย่างไร?”
อาร์ทิสไม่ตอบ
อย่างไรก็ตาม เสื้อผ้าที่นางสวมอยู่เริ่มกระพืออย่างรุนแรง ใบหน้าของนางปราศจากรอยยิ้ม ก่อนที่ร่างของนางจะค่อย ๆ ลอยขึ้นช้า ๆ
และเด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความโกรธเกรี้ยวที่พุ่งสูงขึ้นจนถึงขีดสุดของนาง
“อาร์…” ฉินเย่อ้าปากค้างและก้าวถอยหลังออกมา เขามีลางสังหรณ์ไม่ดีเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ คลื่นพลังหยินที่น่าสะพรึงกลัวก็พัดผ่านไปทั่วท้องฟ้า
ดวงตาสีแดงเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนลืมขึ้นจากทั่วทั้งท้องฟ้าที่ดำมืด
อาร์ทิสลืมตาขึ้น
“ดี…”
“นี่คือครั้งที่สาม…”
อาร์ทิสก้าวออกไปด้านหน้าเล็กน้อยและทั่วทั้งยมโลกก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง “ในที่สุดข้าก็เข้าใจ…ว่ามันเกิดอะไรขึ้น…”
“ยมโลกในประเทศอื่น ๆ ในอดีต พวกเจ้าพ่ายแพ้ให้แก่พวกเราที่ทะเลทรายในคาซัคสถาน แต่…พอขาดการตอบสนองจากยมโลกของแผ่นดินจีน ผู้นำของเจ้า…พยายามจะก่อให้เกิดสงครามระหว่างยมโลกอย่างนั้นหรือ?”
ฉินเย่มึนงงเป็นอย่างมาก
มันเหมือนกับมีสายฟ้าผ่าลงมากลางใจของเขา และเขาก็เข้าใจทุกอย่างในทันใดนั้นเอง
เขารู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติหลังจากที่ได้เห็นศพที่แห้งเหี่ยวของนักเรียนเมื่อวันก่อน แต่เมื่อเขาลองคิดเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน เขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าความผิดปกติที่รู้สึกนั้นอยู่ตรงไหน ทว่าทันทีที่ได้ยินคำพูดที่อาร์ทิสเอ่ยออกมาด้วยความโกรธเมื่อครู่ ชิ้นส่วนปริศนาทั้งหมดก็รวมเข้าด้วยกันอย่างลงล็อก และเขาก็เข้าใจทุกอย่างทันที
ศาสตราจารย์และอาจารย์ทั้งหมดต่างเห็นพ้องต้องกันว่าสภาพศพของโม่จวินนั้นไม่ใช่วิธีการของวิญญาณที่อยู่ในแผ่นดินจีน
มือทั้งสองข้างของเขาถูกจับไขว้ไว้เหนืออก และการแสดงออกทางสีหน้าของเขาก็เรียบนิ่ง ร่างกายได้รับการชำระล้างด้วยน้ำเปล่า ท้องถูกผ่าออกและเครื่องในทั้งหมดถูกควักออกมา….
นี่ไม่ใช่ฝีมือของภูตผีในแผ่นดินจีนอย่างแน่นอน
แต่มันคือภูตผีจากประเทศอื่น!
ตอนที่ฉินเย่สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติก่อนหน้านี้ มันคือสุนทรียศาสตร์ในแง่ของวิธีการและรูปแบบทั้งหมด
หัวสมองของเขาเริ่มตื้อชาเมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ เพราะมันหมายความว่า…ไม่ใช่เพียงจีนเท่านั้นที่มียมโลก แต่ชาติอื่น ๆ ก็มียมโลกของตนเองเช่นกัน!
“ไม่…มันอาจจะไม่ใช่เรื่องของประเทศชาติ หรือแม้แต่นิกาย!” เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนขณะที่ยกมือขึ้นนวดขมับของตน “การล่มสลายของนิกายใหญ่ ๆ ล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของจ้าวแห่งนรก…ใช่ พวกเขาอาจจะไม่ได้เรียกพวกนั้นว่าจ้าวนรกด้วยซ้ำ…เฮดีส? หรือเทพแห่งความตาย? แต่ไม่ว่าจะเรียกมันว่าอะไรก็ตาม พวกนั้นก็ไม่ได้อยู่ในแผ่นดินจีน! นี่คือเหตุผลว่าทำไมแม้แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างโจวเซียนหลงก็ไม่สามารถรับรู้ถึงพลังหยินที่เล็ดลอดออกมาจากร่างของพวกมันได้!”
เด็กหนุ่มไม่กล้าคิดอะไรไปมากกว่านี้ ไม่แปลกใจเลย…ไม่แปลกใจเลยที่อาร์ทิสและหมิงซีหยินพูดว่าการที่เขาไม่รู้เรื่องพวกนี้จะเป็นการดีต่อตัวเขามากกว่า หากพูดกันตามตรง เขาเองก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองอยากก้าวลงจากตำแหน่งจ้าวนรก และหนีเข้าไปในช่องแคบของภูเขาและเปลี่ยนเป็นฤๅษีแทนแล้ว
มียมโลกในชาติอื่นเช่นกัน แต่ว่าแล้วมันหมายความว่าอย่างไรกันล่ะ?
การหายไปของยมโลกที่อยู่ในแผ่นดินจีนหมายความว่ายมโลกที่อยู่ในประเทศอื่น ๆ ต่างก็หันมาให้ความสนใจที่นี่เช่นเดียวกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ประเทศจีนก็มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สามของโลก และนั่นก็หมายความว่าในประเทศของเขามีวิญญาณอย่างต่ำอยู่ 1,000 ล้านดวงที่กำลังเร่ร่อนอยู่บนแดนมนุษย์ในตอนนี้ ดังนั้นที่นี่จึงกลายเป็นเหมือนกับบุฟเฟ่ต์อาหารที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าของกลุ่มคนตะกละจำนวนมาก!!
เราจะต้องคุยกันเรื่องนี้ในภายหลัง…แต่สำหรับตอนนี้ เขามองขึ้นไปบนฟ้า อาร์ทิสค่อย ๆ ลอยขึ้นไปยังจุดสูงสุด และมองไปรอบ ๆ
เหล่าวิญญาณที่อยู่โดยรอบทั้งหมดต่างยืนเงียบ ๆ พวกเขายังคงตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อครู่
สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่อาร์ทิส มีบางตนที่เริ่มกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล ในขณะที่วิญญาณที่ขลาดอีกหลายตนรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของตนไร้เรี่ยวแรงจนแทบจะล้มลงกับพื้น
บนท้องฟ้าในยามนี้ปรากฏ ดวงตาสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วน ร่างสีทองของวิญญาณพิเศษ โซ่สีดำสนิท และสุดท้าย…ตุลาการนรกผู้ยิ่งใหญ่
ไม่มีสิ่งใดที่ไม่บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ และความน่าเกรงขามของยมโลกเลยสักนิด
อาร์ทิสเอื้อมมือออกไปด้านหน้าอย่างช้า ๆ
ทันใดนั้น เปลวไฟนรกที่น่ากลัวนับหมื่นลูกก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของนาง ทว่าก่อนที่ทุกคนจะทันสังเกตลูกไฟพวกนี้อย่างละเอียด มันก็กลายร่างเป็นวิญญาณสีเขียวหยกจำนวนนับไปถ้วนที่พุ่งไปที่โซ่สีดำเส้นนั้นอย่างบ้าคลั่ง
เคร้ง เคร้ง! โซ่สีดำเส้นดังกล่าวบางมาก มันไม่ได้หนาเท่าเส้นรอบวงของนิ้วโป้งได้เลยด้วยซ้ำ และภายใต้การจู่โจมของเหล่าวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน มันก็เริ่มส่งเสียงดังเคร้งที่ทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกเย็นยะเยือกไปตามกระดูกสันหลังออกมา
“เป็นเพียงวิญญาณนอกอาณาเขตแต่กล้าดีอย่างไรถึงมาประพฤติตัวต่ำทรามในที่แห่งนี้?!” อาร์ทิสยิ้มเยาะและตะโกนออกมา “ลงมาที่นี่เดี๋ยวนี้!”
เคร้ง!
สายโซ่บนท้องฟ้าถูกดึงจนตึงทันที
แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ
“อย่าเสียแรงเปล่า…” เสียงของหญิงสาวดังให้ได้ยินจากบนฟ้า “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของเจ้า แต่…ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าตัวเองจะสามารถต้านสมบัติที่เฮดีสเป็นผู้มอบให้ด้วยตัวเองได้?”
รูม่านตาของอาร์ทิสหดตัวลง แต่ก่อนที่นางจะเอ่ยจบ กระจกส่องกรรมก็ปล่อยลำแสงออกมา และโซ่ตรวนวิญญาณคู่หนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยพลังหยินที่สามารถทำลายล้างโลกได้ก็พุ่งขึ้นไปบนฟ้าและตรงไปที่สายโซ่สีดำ!
“?παινο? Θε?ν!” เสียงแหลมของผู้หญิงดังขึ้นทันทีที่โซ่ตรวนวิญญาณปรากฏขึ้น โซ่สีดำตรงหน้าก็ปะทุและปล่อยคลื่นแสงสีดำขนาดใหญ่ออกมา และวิญญาณพิเศษ…ไม่สิ ไม่มีใครมีเวลาตอบโต้กับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งนั้น วิญญาณพิเศษถูกดึงเข้าไปในกลุ่มเมฆภายในชั่วพริบตา หลังจากนั้น หลุมเมฆก็ปิดลงท่ามกลางเสียงคำรามบนฟ้า
เร็วมาก
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีด้วยซ้ำ
ฉินเย่เห็นเพียงภาพที่พร่าเลือน และทันใดนั้นทุกอย่างก็หายวับไป
ดวงตาสีแดงก่ำหลายคู่ที่อาร์ทิสเรียกขึ้นมาบนฟ้าไม่สามารถทำอะไรได้ และพวกมันก็ค่อย ๆ จางหายไปในความมืด
“เซราพิส…[1]” นางมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเย็นยะเยือก “และประโยคก่อนหน้านี้ก็คือ…ภาษาของอาร์โกส สำหรับ ‘การบูชาเทพแห่งความตาย’”
ฉินเย่ไม่ได้ตอบอะไร เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ และถ่ายเทพลังหยินของตนไปที่ประตูนรก ส่งผลให้เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทุกมุมของยมโลก “พวกเจ้ามองอะไรกัน? งานของพวกเจ้ามันทำด้วยตัวเองได้หรืออย่างไร? จะมาอยากรู้อยากเห็นเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ทำไม? ไม่เคยได้ยินหรือว่าความอยากรู้อยากเห็นสามารถฆ่าคนได้น่ะ?!”
กึก….วิญญาณทั้งหมดชะงักและตัวสั่นเทากับเสียงตะโกนของฉินเย่
“กลับไปสนใจงานตรงหน้า ผู้ใดที่มัวแต่เสียเวลาเพราะเรื่องนี้…” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง “ก็จงลืมชีวิตหลังความตายในยมโลกของตัวเองไปได้เลย”
วิญญาณทั้งหมดมองหน้ากันและกันก่อนจะแยกย้ายกันไปอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก
จากนั้น ทันทีที่อาร์ทิสลงมาถึงพื้น ฉินเย่ก็คว้าแขนเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้และจ้องลึกเข้าไปในตาของนาง “ทีนี้ ท่านยังคิดจะไม่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับข้าอีกหรือไม่?”
ครั้งนี้ อาร์ทิสไม่ได้เอ่ยปฏิเสธออกมา
ถึงกระนั้น มันก็ใช้เวลาสักพักก่อนที่นางจะรวบรวมสติได้ในที่สุด “เจ้าอาจจะพอเดาเรื่องเกือบทั้งหมดได้แล้ว ต่อให้ข้าไม่ต้องบอกอะไรเลยไม่ใช่หรือ?”
“ข้าต้องการความจริง!” ฉินเย่กัดฟันกรอด “ยังมีอีกเรื่องที่พวกท่านยังปกปิดข้าอยู่? ท่านไม่คิดจะบอกเรื่องทั้งหมดให้ข้าได้รู้เลยหรืออย่างไร? ข้าต้องการรู้ทุกอย่าง! ตอนนี้เลย!!”
อาร์ทิสสลัดมือออกจากเกาะกุมของเด็กหนุ่ม จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “ตามข้ามา”
ทั้งสองไม่ได้เดินเข้าไปในประตูนรก แต่กลับเดินวนอยู่รอบนอกของยมโลกแห่งใหม่ โดยไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาสักคำ
สายลมของยมโลกพัดผ่านเบา ๆ อาร์ทิสยกมือทัดผมของตนไว้ที่หลังหู หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ขณะที่ฉินเย่เริ่มจะทนไม่ไหว นางก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แหบพร่า “ที่นี่คือโลก”
“และแผ่นดินจีนก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของโลก ยมโลกเองก็เช่นกัน”
“ยมโลกทุกแห่งไม่สามารถมีอาณาเขตใหญ่เกินประเทศที่ตนดำรงอยู่ได้”
หลังจากเกริ่นนำออกมา นางก็เอ่ยต่ออย่างใจเย็น “ที่พวกเราไม่ต้องการบอกเรื่องนี้ให้เจ้ารู้ก็เพราะว่าเราไม่อยากให้เจ้าต้องคิดมาก การรู้เรื่องพวกนี้ในเวลานี้จะไปมีประโยชน์อะไร? ตอนนี้…พวกเราไม่สามารถรับมือกับกองกำลังของอีกฝ่ายได้ด้วยซ้ำ แทนที่จะเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ไม่สู้ให้เจ้าความสนใจเรื่องสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่ไม่ดีกว่าหรือ? เพราะเจ้าคงไม่สามารถต่อสู้กับศัตรูชนะได้ ในขณะที่ฐานที่มั่นของเจ้ายังไม่มั่นคงด้วยซ้ำได้หรอกนะ”
โดยไม่ปล่อยให้ขาดช่วง อาร์ทิสเอ่ยต่อ “และมันก็เป็นเพราะว่ายมโลกไม่สามารถมีขนาดที่ใหญ่กว่าประเทศของตนได้ ดังนั้น…อย่างที่เจ้าคงพอจะเดาได้แล้ว เราไม่ได้เป็นยมโลกแห่งเดียวในโลก”
“ญี่ปุ่นก็มี รัสเซียเองก็มี ตะวันออกกลางก็มี ยุโรปและยูโซเนียเองก็มียมโลกของพวกเขาเช่นกัน ย้อนกลับไปในสมัยที่ยมโลกยังคงรุ่งโรจน์ ยมโลกแห่งเก่าได้รับการจัดอันดับให้เป็นยมโลกอันดับแนวหน้าของโลก ร่วมกันกับยมโลกของยุโรปและยูโซเนีย”
“พวกเขาไม่ได้มันว่ายมโลก แต่พวกเขาเรียกมันว่าโลกใต้พิภพ ข้าจำได้ว่าจ้าวนรกของพวกเขา หรือเทพแห่งโลกใต้พิภพของพวกเขาถูกเรียกว่าเฮดีส เทพแห่งความตายของตะวันออกกลางคือเซราพิส และก็ยังมีพระอิศวรของฮินดูสถาน…ทั้งหมดนี้คือยมโลกที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสี่แห่ง และมันก็ยังมียมโลกที่ขนาดเล็กลงมาอีกจำนวนนับไม่ถ้วน”
นางลอบถอนหายใจออกมาเสียงเบา “การล่มสลายของยมโลกในแผ่นดินจีน…พูดได้เพียงว่าไม่ได้มีแค่ราชาผีทั้งสามเท่านั้นที่เริ่มกระสับกระส่าย แต่ยมโลกนอกอาณาเขตประเทศเราจะสามารถต้านทานความยั่วยวนของสิ่งนี้ได้อย่างไร? ระยะเวลาที่ผ่านไปทำให้ความอดทนของพวกเขาหมดลงในที่สุด”
สีหน้าของฉินเย่นิ่งสงบอย่างผิดปกติ
หลังจากนั้นเขาก็แค่นหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น จากนั้นจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกับถอนหายใจออกมา
นี่มันอะไรกัน?
เขาสามารถหลบหลีกภัยคุกคามจากราชาผีทั้งสามได้โดยการซ่อนตัวอยู่ภายใต้ปีกของเมืองเป่าอัน แต่…ต่อให้ราชาผีทั้งสามยืนหยัดต่อสู้กับยมโลกแห่งอื่น พวกเขาจะยังมีพลังที่จะสามารถหยุดอีกฝ่ายได้หรือไม่?
เฮดีส อานูบิส…ทั้งหมดนี้คือบุคคลในตำนานและยืนอยู่ต่อหน้าของเขา เป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริง ไม่…บางที นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะยกลงรับหน้าที่สร้างยมโลกแห่งใหม่แล้ว
เช่นเดียวกับความหลากหลายของผู้คน ประเพณีและสังคม ยมโลกเองก็แตกต่างกันออกไปเช่นกัน
[1] เซราพิสคือเทพลูกครึ่งซึ่งเกิดจากการผสมผสานกันระหว่างเทพโอซิริส เทพแห่งโลกหลังความตาย วัวเอพิส สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แสดงถึงความแข็งแกร่งและความอุดมสมบูรณ์ เฮดีส ดิมิเทอร์ เทพแห่งการเก็บเกี่ยวและเกษตรกรรม และไดโอนีซุส เทพแห่งการมึนเมา