ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 126 เป็นใครกัน?

จอมศาสตราพลิกดารา

หลี่มู่ใจกระตุกวูบ

 

ห้องลับนี้ทางที่ดีอย่าให้ใครอื่นรู้เป็นดีที่สุด

 

ดังนั้นเขาจึงเดินตามบันไดออกมาเอง

 

“อามิตตาพุทธ ประสกทั้งหลาย อาตมาขอคารวะ”

 

เขายกมือไว้กลางหน้าอกข้างเดียว พลางเดินตามบันไดออกมาจากห้องลับทีละก้าวๆ

 

“นั่นใคร?”

 

“หยุดนะ!”

 

“ยืนอยู่กับที่ ห้ามขยับ”

 

อาวุธเป็นแถวชี้มายังหลี่มู่ มือปราบที่มือถือธนูสิบกว่าคนเล็งเป้าไว้ที่เขา รอผู้บังคับบัญชาออกคำสั่งก็จะยิงเณรน้อยที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องลับให้พรุนเป็นรังผึ้ง

 

“เจ้าเป็นใคร?” ชายกลางคนสวมชุดเกราะขั้นแปดที่น่าจะเป็นหัวหน้าจ้องหลี่มู่เขม็ง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน

 

หลี่มู่ถามกลับ “ทุกท่านดูไม่ออกหรือไร? ข้าเป็นนักบวช”

 

“นักบวช?” ชายวัยกลางคนคนนั้นหัวเราะเสียงเย็น “นักบวชไยจึงมาปรากฏตัวที่คฤหาสน์แห่งนี้ในยามวิกาล? เจ้าเป็นคนสังหารพวกหม่าซานใช่หรือไม่?”

 

“ไม่ใช่ มีสตรีชุดขาวคนหนึ่งสังหารคนที่นี่ อาตมาแค่ผ่านมาเท่านั้น” หลี่มู่เอ่ยนามพุทธองค์ ทำสีหน้าท่าทางสะท้อนใจ “ที่จริง อาตมามาที่นี่ แต่เดิมคืออยากจะมาชำระล้างพวกเขา น่าเสียดายที่ช้าไปก้าวหนึ่ง จึงมาไม่ทัน”

 

ในเมื่อก่อนจากกันสตรีชุดขาวไม่ได้ขอให้เขาเก็บความลับ คิดแล้วคงจะไม่กลัวทางการตรวจสอบ ดังนั้นหลี่มู่จึงไม่ได้มีใจเป็นพ่อพระจนถึงขั้นต้องช่วยแบกนางเอาไว้ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ปกปิดจุดประสงค์ที่มาที่นี่

 

‘อา นักบวชจะโกหกไม่ได้จริงๆ นะ

 

เราทำได้แล้ว’

 

หลี่มู่ชมตัวเองในใจ

 

ชายวัยกลางคนอึ้งไป

 

แต่เดิมเขาคิดว่าเณรน้อยต้องปฏิเสธเด็ดขาดแน่นอน ในเมื่อกฎหมายจักรวรรดิว่าไว้ว่า ฆ่าคนคือโทษหนัก คิดไม่ถึงว่าเณรน้อยผู้นี้จะไม่เล่นตามแบบแผน ถึงแม้ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ฆ่าคนพวกนี้ แต่กลับแสดงท่าทีให้เห็นว่าตนก็มาที่นี่เพื่อฆ่าคนเช่นกัน นี่ทำให้ชายวัยกลางคนตั้งตัวไม่ทัน

 

“หึ เป็นเจ้าที่ลงมือฆ่าคนจริงๆ ด้วย…เป็นนักบวชแต่กลับไม่มีใจเมตตา ลงมือสังหารผู้คน ทำผิดมหันต์นัก” ชายวัยกลางคนตั้งสติกลับมาได้ แค่นเสียงเย็นและกล่าวว่า “ข้าคือผู้ดูแลแห่งตำบลสุขสงบซ่งอี้ เณรน้อยเจ้าจะยอมจำนนแต่โดยดี หรือจะให้ข้าออกคำสั่งใช้กำลังจับเจ้า?”

 

อะไรนะ?

 

หลี่มู่อึ้ง

 

‘เฮ้ยๆๆ แกได้ฟังฉันให้ดีๆ รึเปล่า ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้ฆ่า เอาคำว่าจริงด้วยมาจากไหนกัน

 

ขุนนางของจักรวรรดิตอนนี้ทำงานลวกๆ กันแบบนี้หมดเลยหรือ?’

 

“พูดแบบนี้ เจ้าก็คือผู้ดูแลของตำบลสุขสงบ?” สายตาของหลี่มู่หยุดมองที่ร่างของผู้ดูแลวัยกลางคนโดยละเอียดอย่างอดไม่ได้

 

แม่เฒ่าไช่เคยพูดไว้ว่า ผู้ดูแลซ่งเพิ่งจะมาประจำการในช่วงปีสองปีนี้ และหลังจากผู้ดูแลซ่งคนนี้มาถึง พวกอันธพาลหม่าซานก็ค่อยๆ ร่ำรวยขึ้น คนในตำบลล้วนซุบซิบกันลับหลังว่าที่หม่าซานกำเริบเสิบสานถึงขนาดนี้ก็เพราะผู้ดูแลซ่งคอยให้ท้าย

 

หากเป็นอย่างที่พูดมาจริงๆ ผู้ดูแลซ่งคนนี้น่าจะรู้ความลับของห้องลับ กระทั่งรู้ว่าในห้องลับมีอะไรอยู่

 

หลี่มู่อยากสืบประวัติและเบาะแสของยานอวกาศ บางทีควรจะเริ่มจากตัวของผู้ดูแลซ่งคนนี้

 

ใจของเขากำลังคิด แต่บนหน้าไม่แสดงสีหน้าใดๆ เพื่อไม่ให้แหวกหญ้าให้งูตื่น ทั้งยังแสดงท่าทีไม่เห็นด้วย “ที่แท้ผู้ดูแลซ่งก็อยู่ที่นี่ด้วย เช่นนั้นยิ่งว่าได้ง่าย พวกอันธพาลหม่าซานเป็นภัยต่อตำบล ช่วงชิงทรัพย์สินทำร้ายผู้คน เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ทำผิดมหันต์อย่างไม่อาจละเว้นได้ อาตมาจิตใจดีมีเมตตา ต่อให้ชำระล้างส่งวิญญาณพวกเขา ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎแห่งสวรรค์แล้ว มีความผิดอันใด?”

 

มือปราบที่อยู่ข้างๆ ทั้งหลายทนฟังต่อไปไม่ไหว

 

บทสนทนาของทั้งสองไม่ได้พูดในประเด็นเดียวกันเลย ต่างคนต่างพูดหรืออย่างไร?

 

อีกทั้งทำไมฟังๆ ไป เณรน้อยรูปนี้พูดข้างๆ คูๆ ยิ่งกว่าท่านผู้ดูแลเสียอีก

 

“หึ ช่างเจรจานัก ข้าจะปล่อยเจ้าพูดต่อไป แต่ตามกฎหมายของจักรวรรดิ ฆาตกรจะต้องตาย…ทหาร จับมันเอาไว้” ผู้ดูแลซ่งโบกมือ สั่งการด้วยสีหน้าเย็นชา

 

การแลกเปลี่ยนบางอย่างของเขากับหม่าซานผิดกฎหมาย ดังนั้นจึงร้อนรุ่มในใจ ไม่คิดจะมาถกเถียงเรื่องพวกนี้กับเณรน้อย จับตัวไว้ก่อนค่อยว่ากัน

 

มือปราบข้างหลังมือถือโซ่ตรวนเหล็กกล้า เดินมาคิดจะล่ามคอหลี่มู่เอาไว้

 

“ฮ่าๆ ใต้เท้าซ่ง น่ากลัวว่าวันนี้เจ้าจะจับข้าไม่ได้” หลี่มู่ไม่หลบหลีก ปล่อยให้เขาล่ามโซ่ตรวนไว้ที่คอของตน หัวเราะก่อนกล่าวว่า “เกรงว่าเจ้าจะแบกรับผลที่ตามมาภายหลังเอาไว้ไม่ได้”

 

“ฮ่าๆ น่าขันนัก ข้าจับฆาตกรคลุ้มคลั่งฆ่าคนเกือบร้อย นั่นคือการปฏิบัติตามกฎหมาย จะมีผลภายหลังอะไรกัน ข้าจะแบกรับผลลัพธ์ไม่ได้หรือ? เจ้าเป็นนักบวชกลับกล้าข่มขู่ขุนนางเช่นข้า ช่างแกว่งเท้าหาเสี้ยนจริงๆ” ผู้ดูแลซ่งอี้พูดด้วยสีหน้าเยาะหยัน

 

เขาไม่ทันได้สังเกตว่า คำเรียกแทนตัวของหลี่มู่เปลี่ยนจากอาตมาเป็นข้าแล้ว

 

หลี่มู่แค่หัวเราะ แต่ไม่พูดอะไร

 

ในตอนนี้เอง ที่ไกลๆ มีเสียงฝีเท้าดังลอยมา จากนั้นก็เห็นทหารชุดเกราะท่าทางเหมือนหัวหน้ามือปราบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วกระซิบอะไรข้างหูซ่งอี้อยู่สามสี่ประโยค

 

ซ่งอี้เปลี่ยนสีหน้าไปทันใด

 

เขาไม่สนใจเรื่องจับหลี่มู่ แต่รีบหมุนตัวเดินออกไปจากโถงใหญ่ทันที

 

หลี่มู่รู้ดี จึงไม่พูดอะไร และรอคอยอย่างอดทน

 

ไม่นานเท่าไหร่ ก็เห็นท่านผู้ดูแลที่ก่อนหน้านี้ยังเคร่งครัดทรงคุณธรรม นำเกี้ยวแปดคนหามสีแดงดำเดินกลับมามาถึงโถงใหญ่อย่างเนิบช้าด้วยท่าทางประจบประแจง หน้าตาท่าทางแบบนั้นเหมือนกับสุนัขพันธุ์ปักกิ่งที่กระดิกหางต่อหน้าเจ้านายอย่างไรอย่างนั้น

 

“คิดไม่ถึงว่าอาจารย์เจิ้งจะมาถึงตำบลสุขสงบของข้า ช่างเป็นเกียรติแก่พื้นที่เล็กๆ ของข้าแห่งนี้ยิ่งนัก” ซ่งอี้เอ่ยเสียงดัง

 

“อืม ผู้ดูแลซ่งลำบากแล้ว” เสียงของเจิ้งฉุนเจี้ยนดังออกมาจากเกี้ยวแปดคนหาม

 

หลี่มู่หัวเราะขบขัน

 

ฉายาของ ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ ช่างโด่งดังอยู่ในวงการขุนนางระดับต่างๆ ในเมืองฉางอันเสียนี่กระไร ครั้งนี้เขาพาเจ้านี่มาไว้ข้างกายด้วยนับว่าทำถูกต้องแล้ว อย่างน้อยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ก็ปล่อยให้เจ้าใจเหี้ยมคนนี้จัดการ ลดเรื่องยุ่งยากไปได้เยอะ

 

“ผู้ดูแลซ่ง ท่านนี้คือไต้ซือบ้าบอ แขกคนสำคัญของใต้เท้าเจ้าเมือง ต่อให้เป็นท่านเจ้าเมืองได้พบก็ต้องคำนับถอยให้สักสามส่วน ไม่ทราบว่าเหตุใดผู้ดูแลซ่งจึงล่ามโซ่ตรวนไต้ซือเอาไว้เช่นนี้?” เสียงของ ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนลอยออกมาจากเกี้ยว

 

ขาที่หลี่มู่ซัดจนหักยังไม่หายสนิทดี ขี่ม้าได้ แต่เดินยังไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่นั่งเกี้ยวมา

 

บทพูดแบบนี้ ก็เป็นคำพูดที่หลี่มู่กับเขาคุยกันเอาไว้ดีแล้วตอนอยู่ที่โรงเตี๊ยม

 

ซ่งอี้ได้ฟัง เหงื่อชื้นก็ไหลพลั่กออกมาทันใด

 

แขกสำคัญของใต้เท้าเจ้าเมือง?

 

มิน่าเล่าเณรน้อยรูปนี้จึงได้อวดดีเช่นนี้ ที่แท้ยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอยู่อีก

 

ครั้งนี้ก่อเรื่องใหญ่แล้วจริงๆ

 

ซ่งอี้มองหลี่มู่ด้วยสายตากล่าวโทษยิ่ง เอ่ยในใจว่าเจ้ามีที่มายิ่งใหญ่ขนาดนี้ก็รีบพูดมาสิ นี่ไม่ใช่ว่าจงใจรอให้ข้าไปล่วงเกินหรอกหรือ

 

หลี่มู่ใบหน้ายิ้มแย้ม สายตามองตอบไป ‘ถึงข้าบอกเจ้าไปแต่แรก เจ้าจะเชื่อหรือ?’

 

“ยังไม่รีบปลดโซ่ตรวนให้ไต้ซือบ้าบออีกรึ?” ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนเอ่ยปากเร่ง ในใจของเขาก็ร้อนรนเช่นกัน กลัวว่าจะทำให้หลี่มู่ไม่พอใจแล้วคลุ้มคลั่งขึ้นมา เกรงว่าขาของตนคงได้หักอีกรอบเป็นแน่

 

ซ่งอี้ไม่กล้าเมินเฉย เดินขึ้นไปปลดโซ่ตรวนให้หลี่มู่ด้วยตัวเอง

 

หลี่มู่หัวเราะพลางก้าวถอยหลังไป “ใต้เท้าซ่ง โซ่ตรวนนี้ยามใส่ง่ายนัก แต่คิดจะถอดมันออกไปก็ค่อนข้างยากแล้ว”

 

ซ่งอี้หน้าซีดเผือด ใจหล่นวูบ

 

มารดามันสิ เจ้าเณรนี่ทำไมจึงจัดการยาก และเจนโลกเหมือนกับพวกขุนนางแบบนี้

 

“อาจารย์เจิ้ง นี่…” ซ่งอี้หันหลับมามองทางเกี้ยว

 

เสียงเย็นเยือกเหี้ยมโหดที่เป็นเอกลักษณ์ของ ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนดังออกมาจากในเกี้ยว “ผู้ดูแลซ่ง เจ้าจัดการเอาเองก็แล้วกัน หากไต้ซือบ้าบอไม่พอใจ ตำแหน่งขุนนางของเจ้าก็รักษาเอาไว้ไม่ได้แน่ ส่วนอย่างอื่นนั้น…หึๆ”

 

อย่างอื่น ยังจะมีอะไรไปได้?

 

แน่นอนว่าต้องเป็นชีวิตน่ะสิ

 

ความนัยของคำพูดก็คือ ชีวิตของเจ้าจะรักษาเอาไว้ได้หรือไม่ก็ไม่แน่แล้ว

 

ซ่งอี้ถึงได้รู้สึกกลัวจริงๆ ขึ้นมาทันใด

 

เขานึกไม่ถึงว่าตำแหน่งของเณรน้อยในใจของใต้เท้าเจ้าเมืองจะอยู่สูงถึงระดับนี้ ฟังจากน้ำเสียงแล้ว แม้แต่เสียงของเจิ้งฉุนเจี้ยนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังยังหวาดเกรงเป็นอย่างยิ่ง นี่ตนเองไปล่วงเกินพุทธองค์องค์ใดเข้าแล้วกัน

 

“คือว่า…ไต้ซือบ้าบอ ข้า…” ซ่งอี้หันหน้ากลับมามองหลี่มู่ ท่าทางใกล้จะร้องไห้แล้วเต็มที นี่มันเคราะห์ร้ายมาเยือนชัดๆ เขาร้องอ้อนวอนว่า “ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ไต้ซือผู้ออกบวชจิตใจมีเมตตา ได้โปรดละเว้นชีวิตข้าน้อยด้วย ไม่ว่าไต้ซือมีข้อเรียกร้องอะไร ข้าน้อยจะตอบสนองความพึงพอใจของท่านแน่นอน”

 

หลี่มู่พูดหัวเราะฮิๆ กล่าวว่า “ผู้ดูแลซ่ง เจ้าแค่ตอบคำถามข้าสามสี่ข้ออย่างซื่อสัตย์ก็พอแล้ว หากคำตอบทำให้ข้าพอใจ ข้าจะไม่สืบสาวราวเรื่องอีก”

 

ซ่งอี้หยักหน้ารัวๆ

 

“ดี เช่นนั้นเจ้าตามข้ามา” หลี่มู่หมุนตัว เดินลงไปยังห้องลับใต้เก้าอี้ตัวใหญ่

 

ซ่งอี้ใจไม่เป็นสุข ตัวสั่นงันงก หลังลังเลครู่หนึ่งก็เดินตามลงไป

 

เสียงปะทุของคบไฟดังก้องขึ้นในโถงใหญ่ มือปราบทั้งหลายไม่กล้าเอ่ยปาก ชื่อเสียงของ ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยน ต่อให้เป็นพวกเขาก็เคยได้ยินมาก่อน สามารถหยุดทารกที่ร้องไห้ในยามค่ำคืนให้เงียบสนิทได้เลยทีเดียว อยู่กับบุคคลเช่นนี้ ต่อให้มีเกี้ยวกั้นอยู่ก็ยังทำให้พวกเขาอยากจะหมุนตัวหนีไป

 

เวลาผ่านไป

 

หลังจากนั้นประมาณหนึ่งก้านธูป

 

ทั้งสองคนเดินออกมาจากห้องลับโดยมีหลี่มู่นำอยู่ข้างหน้า ซ่งอี้อยู่ข้างหลัง

 

สีหน้าของซ่งอี้ราวกับกินหนูตายมา เหงื่อบนหน้าผากไหลออกมาไม่หยุด โซซัดโซเซอกสั่นขวัญหาย ดูจากสีหน้าของเขา ไม่อาจเดาได้เลยว่าหลี่มู่พูดอะไรด้วยกันแน่

 

ส่วนสีหน้าท่าทางของหลี่มู่นั้นตกอยู่ในห้วงภวังค์

 

“อาจารย์เจิ้ง” หลี่มู่เอ่ยปาก “ห้องลับข้างล่างข้าเก็บของบางอย่างเอาไว้ เจ้ากับใต้เท้าซ่งปรึกษาหารือกัน หาวิธีส่งมันไปที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ ลงมือให้เร็ว เรื่องนี้ต้องเป็นความลับ อย่าได้มีข้อผิดพลาดอะไร เข้าใจหรือไม่?”

 

“ไต้ซือบ้าบอโปรดวางใจเถิด” เจิ้งฉุนเจี้ยนรีบเอ่ยปาก “ขอแค่เป็นของของไต้ซือ ต่อให้เป็นเศษฝุ่นก็ไม่มีทางตกหล่น จะต้องส่งไปถึงยังอำเภอขาวพิสุทธิ์ภายในสามวันโดยสมบูรณ์แน่นอน” โดยปกติแล้วในห้องลับจะมีของอะไรไปได้ นอกจากพวกเงินทองของมีค่าที่พวกอันธพาลเหล่านี้กวาดค้นสะสมเอาไว้

 

หลี่มู่พยักหน้า

 

“เรื่องที่เหลือที่นี่ก็ให้ใต้เท้าซ่งจัดการแล้วกัน”

 

เขาหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก

 

เจิ้งฉุนเจี้ยนก็ไม่กล้าชักช้า รีบให้คนแบกเกี้ยวตามหลังไป

 

เห็นภาพนี้แล้วใจของซ่งอี้ก็สั่นสะท้านวูบหนึ่ง

 

ไต้ซือบ้าบอมีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ขนาด ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ ยังเชื่อฟังคำสั่ง ติดตามเหมือนกับบ่าวรับใช้ ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยได้ยินเรื่องบุคคลหมายเลขหนึ่งเช่นนี้กัน?

 

……………………………………………………