ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 125 ความลับที่น่าตื่นตะลึง

จอมศาสตราพลิกดารา

หลี่มู่ใจกล้ามากฝีมือ เดินตามบันไดสูงชันลงไปโดยไม่ลังเล

 

บันไดไม่ยาวเท่าใดนัก มีแค่ยี่สิบกว่าขั้นเท่านั้น เชื่อมทะลุไปยังห้องลับใต้ดินกว้างหลายหมู่[1]

 

พื้นที่ในห้องลับกว้างขวาง มีเสาหินค้ำยันเพดานอยู่หกต้น กำแพงทำไว้ไม่ได้ประณีตนัก แต่ก็แข็งแรงอย่างแน่นอน กำแพงอิฐดำหนาหยาบขรุขระ รอบกำแพงทั้งสี่ด้านมีคบเพลิงแขวนอยู่ สี่มุมของห้องลับมีรูระบายอากาศ ดังนั้นจึงไม่อบอ้าวเท่าใด อากาศข้างในยังพอจะมีความชื้นอยู่บ้าง

 

มองดูคร่าวๆ แล้ว หลี่มู่ก็ตัดสินได้ว่าห้องลับห้องนี้สร้างไว้ได้ไม่นาน

 

ในห้องลับเขายังเจอเงินทองของล้ำค่ามากมายและเครื่องหยกต่างๆ อย่างไม่ผิดความคาดหมาย

 

นอกจากนั้นยังมีชั้นอาวุธแต่ละประเภท วางอาวุธสงครามมากมายที่มองไปแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดาเอาไว้ มีดาบหอกกระบี่ศาสตราวุธต่างๆ มุมตะวันตกเฉียงเหนือของห้องลับมีกล่องไม้ขนาดใหญ่ที่ส่งกลิ่นน้ำมันออกมาวางอยู่อีกเกือบร้อยใบ ครั้นเปิดออกดู ข้างในเป็นอาวุธเหล็กกล้าชั้นดี มีดาบ กระบี่ และเสื้อเกราะเป็นหลัก ทั้งหมดลงน้ำมันเอาไว้ เก็บรักษาดูแลดีเป็นพิเศษ

 

“กล่องอาวุธสงครามเกือบร้อยกล่องพวกนี้ ติดตั้งให้กับกองทัพขนาดพันกว่าคนยังเหลือเลย หม่าซานเป็นแค่อันธพาลเท่านั้น ทำไมถึงมีของแบบนี้ได้ มันคิดจะเตรียมก่อกบฏรึยังไง?”

 

หลี่มู่ยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม

 

เขาตระหนักได้ว่าตนเองอาจเจออะไรเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว

 

สิ่งสุดท้ายที่ดึงความสนใจของหลี่มู่คือสิ่งก่อสร้างเล็กๆ คล้ายกับแท่นบูชาที่อยู่กลางห้องลับ

 

แท่นบูชาขนาดเล็กสูงเกือบหนึ่งจั้ง แบ่งเป็นหกชั้น ข้างบนใหญ่ข้างล่างเล็ก ใช้หินอ่อนก่อขึ้น รอบด้านมีบันไดเล็กๆ อีกทั้งบนหินอ่อนยังแกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ งานแกะสลักทำได้วิจิตรประณีตนัก แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่งานที่ช่างแกะสลักธรรมดาทำออกมา

 

เหนือสุดของแท่นบูชามีโต๊ะหยกตัวหนึ่ง บนนั้นมีเชิงเทียนและพวกของเซ่นไหว้วางไว้ แต่ก็ไม่ได้มีของอะไรพิเศษ

 

เขาถอยลงมา พิจารณาดูรูปหลากหลายบนชั้นหินของแท่นบูชาอย่างละเอียด

 

ทั้งหมดเป็นรูปวาดจำลอง แต่ไม่มีตัวอักษร วาดภาพสถานการณ์ต่างๆ เอาไว้ ส่วนมากเหมือนเป็นพิธีบูชาทางศาสนาอะไรสักอย่าง มีขั้นตอนเช่นการบวงสรวงฟ้า บูชายัญ พิธีการ ระบบค่อนข้างสมบูรณ์ และรูปวาดจำลองในภาพเหล่านั้น ส่วนมากจะมีรูปวาดทรงกลมสีดำมีหางสามหาง ดูแล้วเหมือนรูปสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง

 

นอกนั้นเขาไม่เห็นอะไรที่พิเศษ

 

ดูจากการตกแต่งทั่วทั้งห้องลับคร่าวๆ หลี่มู่รู้สึกว่าที่นี่เหมือนจะเป็นฐานลับย่อยของลัทธินอกรีตอะไรสักอย่าง

 

เพียงแต่ดูจากแท่นบูชาอย่างเดียว ก็ไม่สามารถพิจารณาอะไรออกมาได้

 

ความสนใจของหลี่มู่กลับมายังเงินทองของล้ำค่าและอาวุธสงครามในห้องลับอีกครั้ง

 

“ต้องหาทางเอาของพวกนี้กลับไปอำเภอขาวพิสุทธิ์ให้หมด”

 

ไม่ต้องคิดแม้แต่น้อย หลี่มู่ก็ตัดสินใจแล้ว

 

ไม่สนว่าพวกอันธพาลเตรียมอาวุธสงครามมากมายขนาดนี้เพื่ออะไร แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือต้องคิดอะไรไม่ซื่อแน่นอน หากพวกมันทำสำเร็จจริง สำหรับประชาชนทั่วไปต้องเป็นมหันตภัยอย่างแน่นอน ในเมื่อตอนนี้พวกอันธพาลก็ตายไปแล้ว เช่นนั้นก็จะต้อง ‘นำขยะกลับมาใช้ใหม่’ เอากลับไปอำเภอขาวพิสุทธิ์ไว้ปกป้องดูแลประชาชน ข้าวของใช้ให้เกิดประโยชน์ได้พอดี

 

เรื่องนี้ตกเป็นหน้าที่ของ ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยน

 

หลี่มู่ขบคิดในใจพลางนับของในห้องลับรอบหนึ่ง ในใจมีแผนการแล้ว

 

จากนั้นเขามายังแท่นบูชาขนาดเล็กกลางห้องลับอีกครั้ง ก้มมองต่ำลงมาสำรวจให้ละเอียดรอบหนึ่ง ดูว่ายังมีที่ใดตกหล่นหรือไม่

 

นับจำนวนอีกครั้ง ไม่มีตกหล่น

 

หลี่มู่มีแผนอยู่ในใจ คว้าเชิงเทียนมาถือไว้พลางชั่งน้ำหนักด้วยมือ แล้วกวาดตามองไปบนโต๊ะหินของแท่นบูชาโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง

 

เอ๋ บนโต๊ะหินก็มีภาพสลักเอาไว้ชุดหนึ่งเหมือนกัน

 

เปรียบเทียบกับรูปภาพบนแท่นบูชาก่อนหน้านี้ รูปชุดนี้ไม่ว่าจะเป็นงานแกะสลักหรือภาพฉากล้วนชัดเจนกว่ามาก รูปภาพที่แกะสลักเป็นภาพบวงสรวงฟ้าดิน ร่างที่สวมชุดสีดำประหลาดกำลังล้อมสัตว์โลหะตัวใหญ่พิลึกพลางหมอบเคารพ ลายเส้นเหมือนจริงยิ่ง ทำให้คนรู้สึกเหมือนมีชีวิต

 

รอบสัตว์โลหะมีของบูชามากมาย ไม่ใช่แค่วัวหรือแกะเท่านั้น แต่ยังมีสัตว์หายากที่หลี่มู่ไม่รู้จักหลายชนิดอีกด้วย เพียงดูก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา กระทั่งมีคนเป็นๆ เป็นเครื่องบูชายัญ ขนาดยิ่งใหญ่อลังการนักห

 

‘สัตว์ยักษ์โลหะตัวนี้น่าสนใจ ดูไปแล้วรูปร่างแปลกๆ ทำไมเหมือนกับทรานส์ฟอร์มเมอร์สเลย ฮี่ๆ…’

 

หลี่มู่ดูแล้วรู้สึกว่าสัตว์บนรูปที่คนชุดดำหมอบเคารพค่อนข้างคุ้นตา

 

อีกทั้งยิ่งดูก็ยิ่งคุ้น

 

เดี๋ยวนะ!

 

ของสิ่งนี้มัน…ทำไม…เหมือนจะเป็น…

 

หลี่มู่ตาเบิกกว้างทันที

 

เขาตื่นตะลึง เพราะสัตว์ยักษ์โลหะที่ว่านั่นยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนกับยานอวกาศ…ไม่สิ…พูดให้ถูกคือเหมือนกับยานสำรวจเทคโนโลยีขั้นสูงบางอย่าง

 

โครงร่าง แผงโซล่าเซลล์ เรดาห์ ตีนตะขาบเหล็ก!

 

WTF!

 

หลี่มู่เกือบร้องออกมาอย่างตกใจ

 

ไม่ใช่มั้ง เป็น…ยานสำรวจอวกาศจริงหรือ?

 

เขาไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเองจริงๆ

 

เพื่อรับประกันว่าตัวเองดูไม่ผิด เขาหยิบคบเพลิงจากกำแพงห้องลับลงมา แล้วยกคบเพลิงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ อย่างละเอียด

 

ไม่ผิด เป็นยานสำรวจอวกาศจริงๆ

 

อีกทั้งสามารถฟันธงได้ว่าเป็นยานสำรวจที่มาจากโลกอย่างแน่นอน

 

เพราะหลังจากที่หลี่มู่สำรวจอย่างละเอียด ก็เห็นว่าบนร่างของสัตว์ยักษ์โลหะในภาพบนโต๊ะมีตัวอักษรสี่ตัวที่เล็กมากแต่ก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี…NASA

 

NASA อักษรย่อขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติแห่งสหรัฐอเมริกา

 

บนโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่บังเอิญขนาดนี้แน่นอน

 

รูปร่างของสัตว์ยักษ์โลหะตัวนี้คล้ายกับยานสำรวจอวกาศก็ช่างเถอะ แต่บนนั้นดันมีอักษรภาษาอังกฤษสี่ตัวอีก ต่อให้เป็นอักษรภาษาอังกฤษหนึ่งตัว บางทียังมีโอกาสบังเอิญกันได้ แต่อักษรสี่ตัว แถมลำดับยังเหมือนกันเป๊ะๆ นี่ย่อมเป็นปัญหาแน่แล้ว

 

หลี่มู่มองให้ละเอียดอีกหลายสิบรอบ แน่ใจว่าตัวเองดูไม่ผิดพลาด

 

ดูจากอัตราส่วนขนาดของคนในรูป ยานสำรวจอวกาศลำนี้อย่างน้อยก็สูงถึงสิบกว่าเมตร เหมือนตึกหกเจ็ดชั้น ขนาดใหญ่มหึมา แน่นอนว่าหลี่มู่ทำได้แค่ประเมินยานสำรวจนี้จากภายนอกเท่านั้น แต่เป็นประเภทไหน บรรทุกคนมาหรือไม่ หรือพูดอีกขั้นหนึ่งคือเจ้าสิ่งนี้เป็นกระสวยอวกาศหรือยานสำรวจไร้คนขับ เขาไม่อาจยืนยันได้

 

อย่างไรเสีย ไม่มีใครรู้ว่าประเทศล้ำเทคโนโลยีบนโลกเหล่านั้นส่งยานสำรวจไปในอวกาศทั้งต่อหน้าและลับหลังเท่าไหร่ ยิ่งไม่รู้ว่าองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของอเมริกาทำเรื่องอะไรไปบ้าง

 

แต่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่หลี่มู่สนใจ

 

ตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจที่สุดคือ ทำไมเจ้าสิ่งที่เหมือนกระสวยอวกาศหรือยานสำรวจอวกาศนี่…ก็ได้ เรียกมันว่ายานอวกาศก่อนแล้วกัน ยานอวกาศลำนี้มาถึงดาวดวงนี้ได้อย่างไรกัน?

 

ลอยมาถึงเอง?

 

หรือว่าตอนลอยอยู่ในอวกาศก็ถูกดูดเข้าไปในอุโมงค์เวลาสักที่ แล้วมาตกอยู่ในโลกนี้พอดี?

 

คำถามนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับหลี่มู่

 

หากเป็นอย่างแรก นั่นหมายความว่าที่จริงโลกอยู่ไม่ไกลกับดาววิถียุทธ์ดวงนี้ มนุษย์บนโลกเข้าสู่ยุคส่งยานสำรวจอวกาศไปในอวกาศยังไม่เกินหนึ่งร้อยปี ต่อให้ยานสำรวจในรูปลำนี้เป็นหนึ่งในลำที่ส่งออกมานอกโลกรุ่นแรกๆ เช่นนั้นก็ล่องลอยอยู่ในอวกาศอย่างมากก็แค่หนึ่งร้อยปีเท่านั้น วิธีที่ล่องลอยไปในอวกาศตามกระแสคลื่นโดยสิ้นเชิงแบบนี้ ต่อให้ล่องลอยมาหนึ่งร้อยปีก็จะไปไกลได้สักเท่าใดเชียว?

 

สำหรับหลี่มู่แล้ว ยิ่งระยะห่างของดาววิถียุทธ์ดวงนี้ใกล้กับโลกเท่าไหร่ ความยากของการกลับไปโลกในวันข้างหน้ายิ่งน้อย ความหวังก็ยิ่งมาก

 

กลับกัน หากเป็นความเป็นไปได้อย่างที่สอง กระสวยอวกาศลำนี้ถูกดูดเข้ามาในกระแสกาลเวลา รอยแยกมิติ หรือหลุมดำตอนที่กำลังลอยอยู่ในอวกาศ จากนั้นจึงร่วงลงสู่ดาวดวงนี้ เช่นนั้นก็ไม่มีความหมายอะไรให้หลี่มู่อ้างอิงศึกษาแล้ว

 

ยังมีอีกคำถามหนึ่งที่ทำให้หลี่มู่รู้สึกสนใจเช่นกัน

 

คนชุดดำที่ใช้กระสวยอวกาศเป็นภาพสัญลักษณ์เคารพบูชามีฐานะอะไร?

 

คนบนโลกที่อยู่ในกระสวยอวกาศ?

 

หรือว่า…ชาวพื้นเมืองของดาวดวงนี้?

 

เสี้ยวขณะนี้ ในหัวของหลี่มู่มีความคิดไม่รู้ต่อเท่าไหร่ผุดขึ้นมา

 

แต่ความคิดสับสนต่างๆ นานากลับไม่สามารถทำให้จิตใจสงบลงได้เลย

 

ได้เห็นทุกอย่างในรูปบนโต๊ะหิน สำหรับเขาส่งผลกระทบอย่างมหาศาล แม้แต่ฝันหลี่มู่ก็ยังไม่กล้าฝันว่าจะได้เจอเบาะแสร่องรอยของโลกบนดาวดวงนี้

 

เขาถอยออกมาจากแท่นบูชา ดูให้ละเอียดอีกครั้ง ก็พบว่าวงกลมสีดำมีหางสามหางที่อัตราการปรากฏมากที่สุดบนชั้นหินของแท่นบูชาพวกนั้น ไม่ใช่รูปที่แสดงถึงดาวเทียมหรือยานสำรวจอวกาศหรอกหรือ?

 

หลี่มู่สูดหายใจลึก โคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ นั่งอยู่ชั้นบนสุดของแท่นบูชา และบังคับให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ลง

 

ก่อนอื่น ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร บนดาวดวงนี้ปรากฏร่องรอยอารยธรรมของโลกแล้ว นี่เป็นข่าวดี อย่างน้อยๆ ก็เป็นการบอกว่าระหว่างดาวสองดวงนี้ใช่ว่าจะไม่มีความเกี่ยวพันใดๆ กัน ยังมีพอมีความเกี่ยวพันเล็กๆ อยู่ ถึงแม้จะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ แต่กับหลี่มู่ที่ใจคิดอยากจะกลับโลกมาโดยตลอดล้วนเป็นเบาะแสที่ควรค่าให้ขุดคุ้ยดู

 

ต่อมา ภาพที่คนชุดดำหมอบเคารพยานอวกาศก็อธิบายว่า โลกวิถียุทธ์ดวงนี้ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนบ้า เป็นลัทธินอกรีต หรือเป็นคนรุ่นหลังของคนบนโลก แต่อย่างน้อยพวกเขาก็พอรู้เรื่องเกี่ยวกับอวกาศอยู่บ้าง

 

“จะต้องคิดวิธีตามหาคนชุดดำที่อยู่ในรูปให้เจอ”

 

หลี่มู่ตัดสินใจดังนี้

 

น่าเสียดาย พวกอันธพาลหม่าซานที่อยู่ในคฤหาสน์คืนนี้ล้วนตายภายใต้คมกระบี่ของสตรีชุดขาวไปแล้ว ไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว มิฉะนั้นก็ยังพอจะได้เบาะแสจากปากของหม่าซานมาบ้าง

 

‘หม่าซานจะต้องเกี่ยวข้องกับคนชุดดำในรูปบนโต๊ะแน่ กระทั่งว่าบางทีอาจจะเป็นหนึ่งในสมาชิกคนชุดดำด้วย นี่อธิบายได้ว่าทำไมหม่าซานอันธพาลตัวเล็กๆ ถึงสามารถรวบรวมคนมายอมตายเพื่อมันได้ อีกทั้งยังมีคฤหาสน์แบบนี้ มีเงินทองทรัพย์สินและอาวุธชั้นยอดมากมายขนาดนี้’

 

หลี่มู่จัดระเบียบความคิดทีละนิด

 

‘ดังนั้น หากอยากจะหาเบาะแสของพวกคนชุดดำ จะต้องเริ่มหาจากคนที่มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหม่าซานอยู่บ่อยๆ’

 

‘ใช่แล้ว ท่านยายไช่เคยพูดไว้ ช่วงครึ่งปีมานี้หม่าซานเพิ่งจะร่ำรวยขึ้น หรือคือมันเพิ่งเข้าร่วมกลุ่มคนชุดดำในช่วงปีสองปีมานี้ ไม่ก็มีพวกคนชุดดำคอยสนับสนุน ขอแค่หาคนที่มันมักจะติดต่อใกล้ชิดอยู่บ่อยครั้งในช่วงปีสองปีนี้ได้ จะต้องขุดเบาะแสออกมาได้แน่นอน”

 

‘ได้ยินว่าขุนนางในตำบลมีคนให้ท้ายหม่าซาน หรือว่ากลุ่มคนชุดดำจะแฝงตัวอยู่ในพวกขุนนางด้วย?’

 

ดวงตาของเขายิ่งเปล่งประกาย

 

โลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรยาก ขอแค่คนมีใจมุ่งมั่น

 

ขอแค่หาให้ละเอียด จะต้องเจอเบาะแสอะไรแน่นอน

 

หลี่มู่ค่อยๆ คิดแนวทางได้

 

แต่ในตอนนี้เอง สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไป

 

โสตประสาทที่แสนเฉียบคมของเขา หากตั้งใจฟังให้ดี ต่อให้เป็นเสียงมดเดินไกลออกไปสามสิบกว่าจั้งก็แยกแยะออกได้ ถึงอยู่ในสภาวะที่ไม่ได้ตั้งใจฟัง เสียงลมพัดต้นหญ้าไหวใดๆ ในช่วงระยะแปดจั้งก็ได้ยินอย่างชัดเจน

 

ตอนนี้เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอกห้องลับได้ชัดเจน

 

และเสียงฝีเท้ากึกก้องไม่ได้มีแค่คนเดียว อย่างน้อยต้องสี่ถึงห้าสิบคน อีกทั้งยังได้ยินเสียงชุดเกราะเสียดสีกันอยู่แว่วๆ ในนั้นยังมีจอมยุทธ์ขั้นรวมปราณที่ฝีเท้าเบาอีกหลายคน ฟังจากเสียง มือปราบของทางการในตำบลน่าจะมาถึงกันแล้ว

 

“ปิดตายทั่วทั้งคฤหาสน์ ใครก็ห้ามเข้าออกทั้งนั้น”

 

“ค้น ค้นให้เจอ อย่าได้ปล่อยร่องรอยใดๆ ผ่านไป ใครมันเป็นฆาตกรกันแน่”

 

“ใต้เท้า ที่นี่มีทางเข้าห้องลับ?”

 

“มือธนูเฝ้าทางเข้าเอาไว้ ส่งคนลงไปดูข้างล่าง”

 

เสียงตะโกนและเสียงโหวกเหวกดังมาจากข้างบนบันไดห้องลับ

 

……………………………………………………

 

 

 

[1] หมู่ หน่วยวัดความกว้างของพื้นที่แบบจีน 1 หมู่เท่ากับประมาณ 666.67 ตารางเมตร