ตอนที่ 101-2 ท่านหญิงหย่งจยา

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่า การบิดตัวก่อนนั่งบนหลังม้าเป็นการป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้ออักเสบเนื่องจากการเคลื่อนไหวกะทันหัน ถ้าทำตามที่เฉินจ้าวว่า ตนต้องค่อยๆ นั่งเบาๆ ลงบนอานม้า ค่อยๆ ออกแรง เพื่อไม่ให้ม้าตกใจว่ามันจะถูกขี่ออกไปอย่างฉับพลัน

 

 

พอขึ้นนั่งเรียบร้อย อวิ๋นหว่านชิ่นก็ดึงบังเ**ยน ให้ม้าเดินไปข้างหน้าและเลี้ยวกลับมา ปรับตัวให้คุ้นเคยในเบื้องต้น

 

 

ชาวต้าเซวียนแม้มิได้เชี่ยวชาญการขี่ม้าเหมือนชาวเหมิงหนูที่อยู่ทางตอนเหนือ แต่ก็ครอบครองดินแดนได้จากการขี่ม้า พรสวรรค์ในการบังคับม้าจึงอยู่ในสายเลือดชนิดสลัดไม่หลุด อย่าว่าแต่อวิ๋นหว่านชิ่นเคยขี่ม้ามาก่อน บวกกับเฉินจ้าวตั้งใจสอนอยู่ข้างๆ จึงไม่มีข้อจำกัดใดๆ  ไม่กี่อึดใจ ก็สามารถบังคับม้าให้วิ่งเหยาะๆ ได้แล้ว ลมพัดมาเบาๆ ปะทะใบหน้าระลอกแล้วระลอกเล่า สบายอุรายิ่ง

 

 

ไม่ถึงสองสามชั่วโมง เฉินจ้าวก็เห็นนางกล้าหาญขึ้นมาก ไหนเลยจะเหมือนกุลสตรีเมื่อครู่อีก จึงพลิกตัวขึ้นนั่งบนหลังม้า ขี่ม้าตามและจับตาดูนางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พลางเตือนเป็นระยะ

 

 

“จับบังเ**ยนให้แน่นๆ อย่าปล่อยมือล่ะ”

 

 

สักพักก็คอยสังเกตสายรัดอานม้าของนางว่าคลายตัวลงหรือไม่ นี่เป็นพฤติกรรมที่คนขี่ม้าคุ้นเคย เพราะพอม้าวิ่งไปได้สักระยะ สายรัดอานม้าที่ยึดเท้าผู้ขี่มักจะหลวม ทำให้ง่ายต่อการตกม้า จึงเป็นธรรมดาที่ผู้เชี่ยวชาญการขี่ม้าจะหยุดม้า เพื่อตรวจดูเป็นพักๆ

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยิ่งขี่ก็ยิ่งเร็ว ไม่รู้สึกว่าตนกำลังควบม้าอยู่บนพื้นหญ้าเรียบๆ ของสนามม้าที่กว้างใหญ่

 

 

ยังเห็นเงาสองจุดของเฉินจื่อหลิงกับอวิ๋นจิ่นจ้งด้วย จึงฟาดแส้แล้วดึงบังเ**ยน “ยยย่ะ…” ลากเสียงยาว ก่อนควบเข้าหา

 

 

ตอนเฉินจ้าวเห็นท่วงท่าการการขึ้นม้าของนางเมื่อครู่ ก็ได้แต่คิดว่าวันนี้คงต้องตามดูนางอย่างใกล้ชิดเสียแล้ว แต่ตอนนี้พอเห็นนางยิ่งขี่ก็ยิ่งชำนาญ กลับรู้สึกประหลาดใจในสัญชาติญาณของนางอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ต่อให้วางใจอย่างไร ก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาคำหนึ่ง “ชิ่นเอ๋อร์…”

 

 

ท่ามกลางเสียงลมหวีดหวิว อวิ๋นหว่านชิ่นหันแก้มแดงๆ ที่ถูกลมตีมาครึ่งหนึ่ง พลางพูดยิ้มๆ กับชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง “ไม่เป็นไร! พี่ใหญ่ยังไม่เชื่อใจข้าอีกหรือ!”

 

 

เฉินจ้าวจึงคลายมือจากบังเ**ยน ปล่อยให้ม้าวิ่งช้าลง ทุกอากัปกิริยาควบม้าของหญิงสาวในสนามม้า เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณและพลังอย่างล้นเหลือ ทำให้เขาตะลึงงัน และระบายลมหายใจยาวๆ ออกจากปาก

 

 

นางไม่ใช่เด็กสาวอายุแปดขวบที่เอาแต่ร้องไห้เงียบๆ หลังสูญเสียมารดาไปในปีนั้นแล้วจริงๆ สิ่งต่างๆ ในอดีต ทั้งความอ่อนแอ ความเงียบ ความเครียด นึกถึงผู้อื่นก่อนในทุกๆ เรื่อง ความไม่เป็นธรรมที่ได้รับในหลายปีที่ผ่านมา เสมือนหนึ่งสายลมบนหลังม้า สลายหายไปในพริบตา!

 

 

เมื่อย่างเข้าฤดูหนาว ความเย็นก็ต้องมาคู่กับลมเป็นระลอก ยิ่งถ้าอยู่ในที่โล่งกว้าง ก็ยิ่งหนาวเย็น กระทั่ง

 

 

แดดเที่ยงก็ยังเอาไม่อยู่

 

 

ลมพัดจนผ้ากำมะหยี่บนอกเสื้อของหญิงสาวขยับไปมา ทำให้เห็นพลังตามธรรมชาติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ความรู้สึกเศร้าเสียใจเล็กน้อยก่อนเสียชีวิตในอดีตชาติ ที่เป็นปมตกค้างอยู่ภายในใจ ถูกพัดพาออกไปจนหมดสิ้น!

 

 

ธรรมชาติของหญิงสาวคือการออกจากห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ไปชื่นชมทิวทัศน์ในใต้หล้า ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่เหตุผลที่ดูเรียบง่ายนี้ กลับใช้เวลาทั้งชีวิตในการทำความเข้าใจ

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นดึงบังเ**ยนไว้ ให้ม้าวิ่งช้าลง

 

 

อวิ๋นจิ่นจ้งเพิ่งเคยแข่งม้ากับเฉินจื่อหลิง และถูกนางเอาชนะไปหลายรอบ แต่ยังไม่ยอมแพ้ เฉินจื่อหลิงจึงเกี่ยวแส้ม้ามา สะบัดกลางอากาศ แล้วว่า

 

 

“เด็กน้อย ตอนข้าหัดขี่ม้า เจ้ายังฉี่รดกางเกงอยู่เลย”

 

 

และในตอนนี้เอง ทั้งสองก็เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นขี่ม้ามา จึงหยุดรบกันชั่วคราว แล้วต้อนรับนางด้วยเสียงหัวเราะ

 

 

ทั้งสามจึงขี่ม้าเรียงแถวหน้ากระดานกลับที่เก่าด้วยกัน

 

 

ระหว่างทาง พอเฉินจื่อหลิงเห็นอวิ๋นจิ่นจ้งเผลอ ก็ขี่ม้าเข้าประกบม้าตัวขาวของอวิ๋นหว่านชิ่น ก่อนทำเสียงจิ๊จ๊ะ

 

 

“พี่ชายข้าตั้งใจสอนเจ้ามากกว่าสอนข้าอีก จนไม่รู้จริงๆ ว่าใครกันแน่ที่เป็นน้องสาวเขา”

 

 

“เจ้าอิจฉาล่ะสิ” อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งหลังตรง รวบบังเ**ยน แล้วยืดอก เห็นชัดว่าการฝึกฝนบ่อยๆ ทำให้เก่งกาจขึ้น ก่อนชำเลืองมองนาง

 

 

“ปีนั้น ตอนอายุแปดขวบ ข้าก็นับถือเฉินจ้าวเป็นพี่ใหญ่แล้ว พวกเจ้าจะมาขี้โกง กลับคำไม่ได้นา! เขายังบอกด้วยว่า จะดูแลข้าไม่ให้ยิ่งหย่อนไปกว่าเจ้า แต่เราสองคนก็ไม่ค่อยได้พบเจอกัน ยากนักที่เขาจะสอนข้าขี่ม้าได้สักครั้ง ก็ต้องตั้งใจสิ! เจ้าอย่าขี้หวงนักเลย!”

 

 

ดวงตาเฉินจื่อหลิงทอประกาย กระพริบเล็กน้อยก่อนหยั่งเชิงดู

 

 

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นน้องบุญธรรมของพี่ข้า มาแย่งความรักจากข้า ข้าก็ต้องหวงเป็นธรรมดา นอกเสียจากว่า เจ้าจะคิดเป็นอย่างอื่น…ข้าก็ไม่ต้องหวงอีก ถึงตอนนั้นเกรงว่าอยากแย่งก็แย่งเจ้าไม่ได้”

 

 

หา? ลมแรง แล้วยังนั่งขึ้นๆ ลงๆ อยู่บนหลังม้า ทำให้คำพูดของเฉินจื่อหลิงลอยมาเป็นห้วงๆ อวิ๋นหว่านชิ่นฟังไม่ค่อยได้ยิน จึงไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่แล้วเฉินจื่อหลิงก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดแบบไม่ได้จงใจพูด เหมือนคุยสัพเพเหระกันตามปกติ

 

 

“จริงสิชิ่นเอ๋อร์ หลังจากงานเลี้ยงสังสรรค์ ได้ยินว่าวันรุ่งขึ้นก็มีลูกชายบ้านผู้สูงศักดิ์หลายบ้าน ส่งคนมารอรับเจ้ากลับจวนอยู่หน้าประตูวัง แล้วต่อมาเป็นไงบ้าง พวกเขามีมาหาถึงบ้านไหม”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดปิดบังอะไรเพื่อนสนิท จึงบอกไปตามตรง

 

 

“ไม่มีนะ ได้ยินก็แต่ว่า มีอยู่สองบ้านที่พ่อของพวกเขาเจอพ่อข้าในท้องพระโรง แล้วถามถึงข้าแค่สอง

 

 

สามคำ จากนั้นก็ไม่มีอะไรคืบหน้าอีก”

 

 

ฮู่ว…เฉินจื่อหลิงเป่าปากอย่างโล่งอก แต่สีหน้ายังคงตื่นเต้นอยู่บ้าง

 

 

“อ้อใช่ ครั้งก่อนตอนข้าไปบ้านเจ้า เจ้าบอกข้าว่า มู่หรงไท่นั่นเคยมาที่บ้านเจ้า ยังให้คนขนของขวัญเข้ามาสองลังอีก บอกว่าจะมาขอแต่งกับเจ้าใหม่ ยังไม่ทันได้ถามเจ้าต่อ ไม่มีเรื่องอะไรแล้วใช่ไหม”

 

 

มุมปากของอวิ๋นหว่านชิ่นปรากฎรอยยิ้มที่นิ่งและมั่นใจ

 

 

“ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก ไล่ไปเรียบร้อยละ! ขอแต่งใหม่เนี่ยนะ ถอนหมั้นไปแล้วมาขอแต่งใหม่ ดองแล้วแยก แล้วมาแต่งอีกที มีใครเขาทำกันบ้าง ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน! ม้าดีไม่กินหญ้าที่ผ่านพ้นไป คนที่ว่างจัดไม่มีอะไรทำ ถึงได้ทำแบบนี้!”

 

 

สีหน้าเฉินจื่อหลิงผ่อนคลายลง “ดีแล้วล่ะ”