อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองนาง พลางขมวดคิ้ว “เจ้ายิ้มอะไร ข้าแต่งไม่ออก เจ้าดีใจมากใช่ไหม”
“ยิ้ม? ไม่นี่ เจ้าตาลายแล้ว” เฉินจื่อหลิงขัด “แต่จะว่าไป เจ้าแต่งไม่ออก ข้าก็ต้องดีใจสิ จะได้ตามข้าไปบวชชีด้วยกันไง”
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวร่องอหาย ที่เฉินจื่อหลิงเป็นคนไร้ซึ่งหัวจิตหัวใจซะแบบนี้ สวรรค์ประทานใบหน้าที่ได้มาตรฐานมาให้นาง แต่นางกลับชอบใช้มีดใช้ดาบ ไม่สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของชายหญิง หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องจะตามพ่อกับพี่ชายไปชายแดนให้ได้ นิสัยแบบเด็กผู้ชายเช่นนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะเอานางอยู่
พอคิดถึงตรงนี้ ก็นึกถึงเรื่องในงานเลี้ยงสังสรรค์ ที่สนมเฉินจับพลัดจับผลู นำตนกับเฉินจื่อหลิง ‘มัดรวมกันแล้วขายทีเดียว’ เพื่อให้น้องสาวตนเป็นที่สนใจของผู้สูงศักดิ์ ตอนนั้นอวิ๋นหว่านชิ่นก็เห็นว่า มีชายหนุ่มหลายคนไปพูดคุยกับสาวใช้ของเฉินจื่อหลิงนี่ จึงทำปากยื่นปากยาว ก่อนล้อนางเล่น
“บวชชี? อย่าว่าแต่พ่อเจ้าไม่ยอมเลย สนมเฉินต้องฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ แน่ ได้ยินมาว่าหลังจากงานเลี้ยงสังสรรค์ คุณชายสี่แห่งสถาบันการศึกษาฮั่นหลิน กับหลานชายคนโตของบ้านนักการทูต เมื่อไม่กี่วันก่อนมาเยี่ยมเยียนที่จวนแม่ทัพนี่ คนเขามีแรงจูงใจแอบแฝง เจ้าก็ เลือกสักคนสิ”
เฉินจื่อหลิงยิ้มยิงฟัน ก่อนส่ายศีรษะ
“ไม่ต้องพูดละ! นั่นยังนับเป็นคนอยู่หรือ! ลูกชายเจ้าของสถาบันการศึกษาฮั่นหลินนั่น ผิวงี้ทั้งบางทั้งนิ่มกว่าข้าอีก พอเข้ามาในบ้าน ยังไม่ทันเดินอ้อมฉากกั้น ก็ถูกสุนัขตัวใหญ่สีดำของข้าเห่าในฐานะคนแปลกหน้าไปสองที แต่เขากลับตกใจฉี่ราด คล้องแขนพี่ใหญ่ไว้จนเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว ถ้าให้ข้าแต่งกับคนแบบนี้ มิสู้ให้ข้าตายเสียยังจะดีกว่า…ส่วนคุณชายที่เป็นหลานนักการทูตนั่น? ยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่ เจ้าทายซิว่า เขาทำอย่างไร เขาตามย่าของเขามาเยี่ยมแม่กับย่าข้า…เจ้าว่า นี่มิใช่ลูกแหง่หรอกรึ! โตขนาดนี้แล้ว ยังหดตัวอยู่แต่ด้านหลังฮูหยินบ้านนักการทูตอยู่ได้ ถามคำก็ตอบคำ อะไรต่อมิอะไรก็ล้วนฟังย่าหมด ยังไม่หย่านมแบบนี้ แต่งเมียได้ที่ไหนกัน! ขืนแต่งไป ข้ามิต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ทุกวันหรอกรึ!” ยิ่งพูดก็ยิ่งมีน้ำโห
แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับฟังจนหัวเราะท้องแข็งแต่แรก เหล่าคุณชายผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงที่อายุถึงเกณฑ์แต่งงานมีสักกี่คนที่ไม่เป็นแบบนี้บ้าง แต่ละคน ถ้าไม่ใช่ปฏิบัติตามประเพณีอย่างเคร่งครัด จนจวนเป็นตอไม้โบราณอยู่รอมร่อ ก็เป็นพวกถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม จนทนความยากลำบากไม่ได้ ถูกผู้ใหญ่ในบ้านตามใจ จนเอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัว ซึ่งมีอยู่มากมาย ตนมิใช่พบเจอมาคนหนึ่ง มู่หรงไท่นั่นปะไร
เฉินจ้าวจึงถือเป็นหนึ่งจุดแดงในหมู่ถั่วงอกหญ้าเน่า ที่ไม่เลวเลยทีเดียว หาได้ยากยิ่ง
แต่เช่นนี้ดูไปแล้ว มิน่าเล่าเฉินจื่อหลิงถึงมีข้อจำกัดในการเลือกคู่ครองแทบทุกด้าน!
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงประเมินตัวเองว่า ไม่ควรเข้มงวดกับน้องชายจนเกินไป ต้องอบรมดูแลให้มีความเป็นชายในทางที่เหมาะสม มิฉะนั้นในอนาคต อาจถูกสาวๆ ดูหมิ่นได้
ขณะคุยกันไป อวิ๋นจิ่นจ้งก็เข้ามา สองสาวจึงไม่พูดมากอีก เพราะรู้สึกไม่ค่อยเหมาะสม ถ้าจะพูดเรื่อง
ส่วนตัวของผู้หญิง ต่อหน้าเด็กหนุ่มก็ไม่ใช่ ชายหนุ่มก็ไม่เชิงคนนี้
แดดแรงขึ้นเรื่อยๆ กำลังอยู่ในช่วงที่แดดแรงสุดของวันก็ว่าได้ แม้อากาศเย็นเล็กน้อย ทว่าหน้าผากของแต่ละคนก็มีเม็ดเหงื่อผุด ทั้งสามขี่ม้าคุยกันไป หัวเราะกันไป จนกลับมาถึงข้างสนามหญ้า ซึ่งเฉินจ้าวกลับมาถึงก่อนแล้ว และได้บอกให้บ่าวนำเก้าอี้กับน้ำชามาวางไว้ในกระโจมเรียบร้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นในตอนนี้รู้สึกร้อนมาก แต่ก็รู้สึกว่าการออกรอบบนหลังม้าของนางในครั้งนี้หมดจดงดงามดี นางจับบังเ**ยน เหยียบโกลน ลงจากหลังม้า แล้วจูงม้าไปให้ขันทีน้อยป้อนอาหาร ก่อนเดินตามเฉินจื่อหลิงไปนั่งดื่มน้ำพักผ่อนในกระโจมที่ถูกกางขึ้นชั่วคราว
แต่ก้นยังไม่ทันร้อน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งและเสียงทักทายของซ่งลุ่ย ดังมาจากทางน้อยหน้าประตูสนามม้า คล้ายมีคนมา
อวิ๋นหว่านชิ่นมิได้ใส่ใจอะไรมาก แต่กลับเห็นเฉินจื่อหลิงเอียงตัวมา พลางพูดเสียงต่ำ
“ชิ่นเอ๋อร์ อวี้โหรวจวงมาแล้ว”
สงสัยจะเป็นคู่ปรับกันจริงๆ คนที่ไม่อยากเจอ ถึงมักได้เจอ
อวิ๋นหว่านชิ่นอึ้ง แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญแต่อย่างใด เมื่อเหลืออีกสองวัน เหล่าคุณหนูก็ต้องมารวมตัวกันเพื่อออกเดินทางไปล้อมป่าฮู่หลงแล้ว แต่ละคนจึงต้องรีบมาสนามม้าเพื่อฝึกให้คุ้นเคยเสียหน่อย ไม่เหมือนเหล่าคุณชายลูกขุนนางฝ่ายบู๊ที่ไม่จำเป็นต้องมารวมตัวกัน เพราะปกติก็มีโอกาสขี่ม้ามากมายอยู่ ส่วนเหล่าคุณหนูนั้นตลอดทั้งปีมีโอกาสได้ออกจากบ้านอย่างอิสระ มาฝึกขี่ม้าเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น การพบเจอกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
อวิ๋นหว่านชินดื่มชาต่อ และดื่มอึกๆ ติดต่อกันลงไปเพื่อดับกระหาย ก่อนรับผ้าขนหนูจากขันทีน้อยมาเช็ดหน้าเช็ดตา แล้วจึงมองโลกในแง่ดี
“มาก็มาสิ นางมีขานี่ ข้าจะมัดนางไว้แล้วสั่งว่าต่อไปไม่ต้องมาปรากฏตัวให้ข้าเห็น ได้ด้วยหรือ”
สิ้นเสียง อวิ๋นจิ่นจ้งก็โผล่เข้ามา “พี่ ท่านดูที่ข้างกายนางสิ”
เฉินจื่อหลิงจึงหันมอง พลางขมวดคิ้ว “เอ๋ คนๆ นี้ดูคุ้นมาก…”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองตามไป วันนี้อวี้โหรวจวงมากับคนเป็นโขยงจริงๆ
ด้านหลังของนางมีสาวใช้ร่วมสิบสองคน ยืนกันเป็นสองแถวซ้ายขวา ทุกคนสวมชุดกระโปรงเนื้อดีสีเขียวอ่อน มวยผมแบบเดียวกัน เดินตามนางอยู่ไม่ห่าง
ซ่งลุ่ยอยู่หน้าสุด กำลังเดินนำทางอย่างระมัดระวัง
วันนี้อวี้โหรวจวงสวมชุดรัดกุมสีเขียว ทับด้วยเสื้อกั๊กสีแดงทับทิม ยังคงดูสวยสง่า โดดเด่นทุกมุมมอง คล้ายกลุ่มเมฆแดงเคลื่อนตัวเข้ามาเผาไหม้ นางฟังซ่งลุ่ยพูดอย่างเงียบๆ ยืดตัวตรงและมองไปข้างหน้า โดยไม่มองขันทีท่านนี้แม้เพียงหางตา
ข้างกายอวี้โหรวจวงมีลวี่สุ่ยคอยยืนกางร่มบังแดดให้ ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นหญิงสาวดูดีมีสกุลคนหนึ่ง อายุราวสิบสี่สิบห้า รูปร่างผอมไปนิด บอบบางชนิดลมพัดมาอาจเปราะและแตกหักได้ หน้าตานางงดงามดุจอัญมณีล้ำค่า ผิวพรรณขาวใสไร้ที่ติ แทบไม่เหมือนคนในความเป็นจริง ดูออกว่าปกติแล้ว ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แม้แต่แดดก็ไม่ค่อยได้ตาก นางสวมเสื้อกระโปรงเนื้อหนาสีขาวลายอักษร สี่ (ความสุข) ชนกันสี่ตัว พันผ้าพันคอขนมิงค์ คลุมผ้าคลุมทอลายยาวจรดเท้า สวมหมวกแบบมีผ้าบังหน้า แต่งกายเสียจนมิดชิด ข้างกายยังมีบ่าวสองคนกางร่มบังแดดให้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กะไม่ให้โดนแดดสักนิดกันเลยทีเดียว
ท่าทางของหญิงสาวดูใหญ่โตกว่าอวี้โหรวจวงอยู่บ้าง
พอเดินไปได้ครึ่งทาง หญิงสาวก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดแก้มอมชมพู ขมวดคิ้วบางสวย แล้วว่า
“วันนี้อากาศไม่เหมือนทุกวัน ทำไมย่างเข้าหน้าหนาวแล้ว ยังร้อนขนาดนี้”
บ่าวทั้งสองที่ยืนถือร่มอยู่ด้านข้างคล้ายตกใจอยู่บ้าง รีบขยับร่มให้เข้าไปใกล้อีกหน่อย ด้วยเกรงว่านายจะโดนแดด จึงยิ่งบังและคลุมจนหญิงสาวไม่มีทางแปดเปื้อนมลพิษจากโลกมนุษย์
อวี้โหรวจวงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่เหมือนน้ำเสียงดูแคลนที่มักใช้พูดกับคุณหนูลูกสาวขุนนางในวันก่อนๆ
“จริงด้วย วันนี้แดดแรงอยู่บ้าง”
อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจในทันที สาวใช้ที่เดินตามอยู่ด้านหลัง ไม่ใช่คนของอวี้โหรวจวง แต่น่าจะเป็นผู้ติดตามของหญิงสาว
หึ น่าสนใจเหมือนกัน ในงานเลี้ยงสังสรรค์ ตนไม่เห็นว่าอวี้โหรวจวงจะเห็นคุณหนูลูกสาวขุนนางท่านใดอยู่ในสายตา หญิงสาวนางนี้เป็นเทพเซียนมาจากไหน ถึงทำให้อวี้โหรวจวงที่มักใหญ่ไฝ่สูงเทียมฟ้าพูดอย่างนิ่มนวลด้วยได้