ตอนที่ 101-4 ท่านหญิงหย่งจยา

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ขณะกำลังเดา เสียงของซ่งลุ่ยก็ดังมา ทว่าได้ยินไม่ค่อยชัด

 

 

“…..ท่านหญิงหย่งจยา”

 

 

ท่านหญิงหย่งจยา? พอได้ยินคำๆ นี้ พวกอวิ๋นหว่านชิ่นทั้งสี่ก็เข้าใจในทันที

 

 

“ที่แท้ก็แม่ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบนี่เอง”

 

 

แม้เฉินจื่อหลิงไม่ค่อยได้พบเจอท่านหญิงหย่งจยา แต่กลับเคยได้ยินสนมเฉินพี่สาวพูดถึงนางตอนกลับมาเยี่ยมที่บ้านบ้าง ซึ่งทุกครั้งที่สนมเฉินพูดถึงท่านหญิงหย่งจยา เป็นต้องหยิกปากขมวดคิ้ว ทำเสียงจุ๊ๆ

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นก็เคยได้ยินเรื่องราวของนางมาคร่าวๆ เช่นกัน นางเกิดในจวนลี่หยางอ๋อง ลี่หยางอ๋องบิดานางเป็นน้องสิบสองของหนิงซีฮ่องเต้ แม้มิได้ถือกำเนิดจากเจี่ยไทเฮา แต่ก็อยู่ในกลุ่มเดียวกับหนิงซีฮ่องเต้มาแต่วัยรุ่น ทุ่มเททำงานเพื่อพี่ชายไม่น้อย จึงได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากหนิงซีฮ่องเต้มาก ต่อมาพอหนิงซีฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ก็ได้แต่งตั้งให้ลี่หยางอ๋องเป็นแม่ทัพใหญ่ มีศักดิ์เป็นขุนนางชั้นหนึ่ง และลี่หยางอ๋องก็ไม่ทำให้ทรงผิดหวัง ออกรบกี่ครั้ง ก็ได้ชัยมาตลอด เพียงครั้งสุดท้าย ขณะอยู่ในสนามรบ โชคไม่ดีถูกธนูยิงที่เท้าเข้า แม้ได้รับการช่วยชีวิต แต่หลังจากกลับมาอยู่ที่เมืองหลวงได้เกือบเดือน แผลที่เท้ากลับเปื่อยเน่า จนสิ้นพระชนม์ในที่สุด ตอนนั้นชายาเอกตั้งครรภ์อยู่ และได้ให้กำเนิดบุตรสาวของลี่หยางอ๋องในเวลาต่อมา ซึ่งก็คือท่านหญิงหย่งจยา

 

 

ชายาเอกเศร้าเสียใจกับการจากไปของสามีมาก จึงคลอดลูกสาวก่อนกำหนด และอีกไม่กี่วัน นางก็ตามสามีไป ทิ้งทารกที่ร้องกระจองอแงเพราะหิวนมไว้ เนื่องจากถือกำเนิดก่อนกำหนด ร่างกายจึงอ่อนแอกว่าทารกทั่วไป ผิวขาวใสจนแทบเห็นเส้นโลหิตด้วยซ้ำ ร่ำไห้เหมือนลูกแมวก็มิปาน จนผู้พบเห็นเวทนาจับใจ

 

 

ส่วนบุตรชายคนโตของลี่หยางอ๋องกับชายาเอก หลังจากสืบทอดบรรดาศักดิ์ ก็ตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในเมืองทางตอนเหนือ ประการแรก เพื่อทุ่มเทให้กับการปกป้องต้าเซวียน ประการที่สอง คิดล้างแค้นให้บิดา ส่วนหนิงซีฮ่องเต้ หลังจากสูญเสียน้องชาย ก็อนุญาตให้ไป ทว่าท่านหญิงหย่งจยายังเล็ก และคลอดก่อนกำหนด ถ้าตามพี่ชายไปอยู่ในที่ๆ อากาศหนาวเย็น ระหว่างทางไม่น่าจะทนไหว เสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

 

 

หลังจากหารือกัน หนิงซีฮ่องเต้ก็ให้ท่านหญิงหย่งจยาอยู่ในเมืองหลวง โดยให้ได้รับการเลี้ยงดูร่วมกับพระธิดาของพระองค์ รอให้โตอีกหน่อย ร่างกายแข็งแรงดีแล้ว ค่อยส่งไปอยู่กับพี่ชายที่ภาคเหนือ

 

 

เวลาผ่านไปสิบกว่าปี ท่านหญิงหย่งจยาเติบโตขึ้นเป็นเด็กสาวอวบอ้วน น่ารักและอ่อนโยน เป็นที่ชื่นชอบของเสด็จลุงฮ่องเต้มาก จึงทรงไม่รีบร้อนที่จะส่งท่านหญิงกลับ ซึ่งแม้นางได้ชื่อว่าท่านหญิง แต่ก็ได้รับการปรนนิบัติและทำตามข้อกำหนดต่างๆ แบบองค์หญิง เนื่องจากบิดาพลีชีพเพื่อต้าเซวียน และเป็นมือขวาของพระองค์ หนิงซีฮ่องเต้จึงรักและเอ็นดูนางมากกว่าพระธิดาส่วนใหญ่ของพระองค์เอง

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาถูกอุ้มเข้ามาในวังแต่ยังแบเบาะ ตั้งแต่เล็กจนโตถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม จึงรู้สึกว่าตนเป็นองค์หญิงจริงๆ มาตลอด มิได้คิดว่าตนเป็นบุตรีของอ๋องแต่อย่างใด

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยังจำได้ ชาวบ้านเคยลือกันว่า ตอนที่ท่านหญิงหย่งจยารู้ความนั้น คนในวังคนหนึ่งมาล้อ

 

 

นางเล่นว่า ญาติแท้ๆ ของนางอยู่ภาคเหนือ และนางต้องกลับไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง ทำให้ท่านหญิงหย่งจยาไม่กินไม่ดื่ม ไม่หลับไม่นอน ติดต่อกันสองวันเต็มๆ เอาแต่นั่งซึมกะทืออยู่ข้างหน้าต่าง หนิงซีฮ่องเต้ร้อนใจ จึงเสด็จมาเยี่ยมด้วยองค์เอง ท่านหญิงค่อยร้องไห้ออกมา บอกว่าตนคิดว่าพระองค์เป็นพระบิดาและพระราชวังเป็นบ้านมาแต่ไหนแต่ไร ขอทรงอย่าได้ไล่ตนไปเลย หนิงซีฮ่องเต้ต้องสั่งให้โบยคนในวังคนนั้น ท่านหญิงค่อยหยุดร้องไห้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เรื่องส่งท่านหญิงหย่งจยากลับไปอยู่กับพี่ชายที่จวนลี่หยางอ๋องทางเหนือ ก็ถูกผัดผ่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด และได้กลายเป็นอิฐสีทองในวังที่ขยับไม่ได้เสียแล้ว

 

 

ได้ยินองค์หญิงหลายท่านพูดคุยกันภายในว่า ท่านหญิงหย่งจยาดูเหมือนใสซื่อบริสุทธิ์ แต่จริงๆ แล้วเป็นจอมวางแผน นางคิดแล้วว่า อนาคตของตน ถ้าอยู่ในวัง อยู่ในเมืองหลวงต่อ ย่อมดีกว่าไปอยู่ในที่ๆ ห่างไกลความเจริญอย่างภาคเหนือเป็นไหนๆ จึงกอดขาฝ่าบาทไว้แน่นไม่ยอมปล่อย น่าอายจริงๆ แต่เพราะเสด็จพ่อรักและเอ็นดูหลานสาว พวกนางจึงพูดอะไรไม่ได้

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาก็ทำเป็นไม่ได้ยิน อยู่ในวังอย่างสุขสบายต่อ

 

 

ขณะอวิ่นหว่านชิ่นกำลังคิด เฉินจื่อหลิงก็ป้องปากพูดเสียงต่ำ

 

 

“เอ่อจริงสิ ในงานเลี้ยงสังสรรค์ เดิมทีท่านหญิงหย่งจยาต้องเข้าร่วมด้วย แต่เกิดเป็นหวัดขึ้นมาเสียก่อน จึงไม่ได้ไป ช่างบอบบางน่าทนุถนอมเสียจริง ขนาดเหล่าองค์หญิงพระธิดาของฝ่าบาทเองก็ยังเข้าร่วมเลย นางแค่เป็นหวัดนิดหน่อยก็เก็บตัวอยู่ในตำหนักเสียแล้ว…”

 

 

ขณะว่าไป สายตาของอวี้โหรวจวงที่เห็นทั้งสองแต่แรก ก็หันมามอง หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ก่อนหันไปพูดกับท่านหญิงหย่งจยาสองสามคำ แล้วทั้งสองก็เดินตรงเข้ามา

 

 

สีหน้าท่านหญิงคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง อวิ๋นหว่านชิ่นจึงคาดว่าอวี้โหรวจวงน่าจะแนะนำตนเองให้ท่านหญิงหย่งจยาฟัง

 

 

พอเห็นทั้งสองเดินมา พี่น้องสกุลอวิ๋นและพี่น้องสกุลเฉินก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ทำความเคารพท่านหญิง

 

 

อวี้โหรวจวงเชิดหน้ามองอวิ๋นหว่านชิ่นนิ่ง พลางพูดอย่างอ่อนโยน

 

 

“ท่านหญิงเพคะ ท่านผู้นี้ก็คือคุณหนูอวิ๋น ที่อีกไม่กี่วันก็จะตามเสด็จไปล้อมป่าฮู่หลงร่วมกับเรา บิดาคุณหนูอวิ๋นเป็นรองเจ้ากรมกลาโหม บ้านเกิดอยู่ไท่โจว ต่อมาขยันหมั่นเพียรและกระตือรือร้นจนสอบเข้าเป็นขุนนางได้ จึงมาอยู่เมืองหลวง แต่งงานกับลูกสาวพ่อค้าวานิช ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง แล้วจึงค่อยๆ ไต่เต้าจนได้เป็นขุนนางระดับสูง”

 

 

ชะงักเล็กน้อย ก่อนปิดปาก “อ้อ ข้าพูดผิดไป ตอนนี้เป็นเจ้ากรมกลาโหมแล้วต่างหาก การเลื่อนขั้นในครั้งนี้ รวดเร็วจริงๆ ต้องขอโทษด้วยที่ข้าพลั้งปากไปหน่อย ใต้เท้าอวิ๋นไต่เต้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ลูกสาวในบ้านจึงเนื้อหอมและปีนป่ายกันเก่ง”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเกือบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ทำไม นี่เป็นการประชุมชีวิตตนหรือไร อย่างไรไม่แนะนำประวัติความเป็นมาของตนไปด้วยเสียเลยล่ะ มิใช่อยากบอกว่าตนมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย มิใช่ผู้สูงศักดิ์โดยกำเนิดหรอกหรือ แต่ถึงบอกว่าตนเกิดมาจากขอทานแล้วไง

 

 

เฉินจื่อหลิงขมวดคิ้ว รู้สึกว่าอวิ๋นหว่านชิ่นอารมณ์ดีมีความอดทนสูง ถ้าเป็นนางล่ะก็ คงไม่อดทนฟังเสียงมุ้งมิ้งยุงบินเช่นนี้หรอก จึงทำเป็นไม่ได้ยินที่อวี้โหรวจวงพูด หันไปพูดทักทายท่านหญิงหย่งจยาแทน

 

 

“ที่แท้ท่านหญิงก็ร่วมตามเสด็จไปล่าสัตว์ในครั้งนี้ด้วย โอกาสที่จะได้ร่วมเดินทางไปกับท่านหญิงหายากมาก เมื่อปีก่อนเหมือนไม่เห็นท่านหญิงไปเลยนะเพคะ”

 

 

หย่งจยาแย้มยิ้ม ก่อนพูดอย่างผ่อนคลายและอ่อนโยน

 

 

“จ้า ปีนี้ข้าไปขอกับฝ่าบาทเองล่ะ” ก่อนหันไปอีกทาง ดวงตาสวยใสจ้องมองใบหน้าของอวิ๋นหว่านชิ่นพลางสำรวจมองเงียบๆ “คิดไม่ถึงว่า จะบังเอิญได้ร่วมเดินทางไปกับคุณหนูอวิ๋นด้วย”

 

 

ท่านหญิงหย่งจยานี่ ขนาดแดดก็ยังไม่ยอมตาก แสดงว่าต้องรักและถนอมผิวเอามากๆ น่าจะปฏิเสธการออกล่าสัตว์กลางแจ้งแทบไม่ทัน ทำไมถึงไปขอเข้าร่วมเองเสียล่ะ

 

 

แต่ที่ยิ่งทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัยก็คือ เหตุใดท่านหญิงหย่งจยาพบหน้าตนเป็นครั้งแรก กลับมีอัธยาศัยดีกับตนเช่นนี้

 

 

ตนกับนาง…ไม่ได้สนิทกันสักกะหน่อย!