บาดแผลบนตัวของเด็กชายมีมากเกินไป อีกทั้งไม่อาจทิ้งเขาอยู่ในหมู่บ้านหลีเจี่ยวคนเดียวได้ในสถานการณ์ตอนนี้ มิเช่นนั้นหลังจากที่ชาวบ้านรู้ตัวแล้ว เด็กคนนี้อาจไม่รอด ชางหยางจึงทำได้เพียงพาเด็กชายกลับไปยังหุบเขาหมอก่อน พร้อมทั้งกำชับลูกศิษย์ให้อยู่ต่อเพื่อสืบหาความจริง

อวิ๋นเจี่ยวตรวจดูบาดแผลทั่วร่างกายของเด็กชายอย่างละเอียด ก่อนหน้านี้พวกนางอยู่ในสถานการณ์คับขัน นางจึงทำได้เพียงตรวจดูบาดแผลภายนอกของอีกฝ่ายคร่าวๆ เมื่อมาตรวจดูเส้นชีพจรของเด็กชายอย่างละเอียด ถึงได้พบว่าเด็กคนนี้แตกต่างจากคนธรรมดา

ภายในร่างกายของเขามีบางอย่างที่คนธรรมดาไม่มี ภายในเส้นชีพจรหลั่งไหลไปด้วยพลังสีดำกลุ่มหนึ่ง สิ่งที่น่าแปลกคือพลังปีศาจที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์กลับไม่มีผลกระทบอะไรต่อเขาแม้แต่น้อย อีกทั้งพลังเหล่านั้นยังมาจากสัมปชัญญะของเขาอีกต่างหาก ราวกับนักพรตที่ฝึกฝนด้วยพลังลมปราณ เพียงแต่ภายในร่างกายของเขาเป็นพลังปีศาจ แต่ว่าอีกฝ่ายไม่เคยผ่านการฝึกฝน ดังนั้นพลังปีศาจจึงวนเวียนอยู่ระหว่างสัมปชัญญะและเส้นชีพจรของเขา ไม่อาจรวมตัวในตันเถียนได้ ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ปกติ เขาไม่มีทางใช้พลังปีศาจได้ มีเพียงเวลาฉุกเฉินเท่านั้น พลังปีศาจถึงจะหลั่งไหลออกมา

“เด็กคนนี้…เป็นใครกันแน่” ชางหยางเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาเคยพบเห็นคนมามากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พบร่างกายที่แปลกประหลาดเช่นนี้

จะบอกว่าเป็นปีศาจ แต่ร่างกายของอีกฝ่ายกลับเป็นร่างของมนุษย์ จะบอกว่าเป็นมนุษย์ แต่ภายในร่างกายของเขากลับหลั่งไหลไปด้วยพลังปีศาจ อีกทั้งพลังกลุ่มนี้ยังไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขาแม้แต่น้อย

ราวกับ…ร่างกายของเขาถูกเตรียมมาเพื่อกลายเป็นปีศาจโดยเฉพาะ!

ชางหยางมองไปยังอวิ๋นเจี่ยว “สหายอวิ๋น ทำอย่างไรดี”

เขาทำสีหน้าหนักใจ มองดูเด็กชายที่ผล็อยหลับไปตรงหน้า ก่อนหน้านี้กระดูกขาของเขาหักไป รักษาไม่ทันเวลา ดังนั้นจึงไม่อาจเดินได้ ตอนนี้ผ่านมาเป็นเวลานาน ทำได้เพียงตีให้หักแล้วต่อใหม่ กลัวเขาอดทนไม่ไหวจึงใช้ยันต์ให้เขาสลบไปก่อน เพียงแต่เมื่อนึกถึงพลังปีศาจก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ลังเลไม่กล้าลงมือ “ขาของเขาไม่อาจรอต่อไปได้ แต่ว่าพลังปีศาจบนร่างกายของเขา…” หากมันออกมาตอนที่พวกเขากำลังต่อกระดูก พวกเขาคงได้รับผลกระทบ

“พลังปีศาจในสัมปชัญญะของเขาไม่เป็นอะไร” อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย ชางหยางมองไม่เห็น แต่นางสัมผัสได้ เมื่อกี้อาจารย์ปู่ได้ผนึกสัมปชัญญะของอีกฝ่ายเอาไว้ นอกจากอาจารย์ปู่เป็นคนแก้ผนึกออก มิเช่นนั้นพลังปีศาจนั้นไม่อาจหลั่งไหลออกมาได้ “ข้าใช้ยันต์ปิดสัมผัสทั้งห้าของเขาเอาไว้ สิ่งที่ยากคือพลังปีศาจที่หลงเหลืออยู่ในเส้นชีพจรของเขา…”

ในขณะที่นางกำลังจะเสนอให้เดินเข็มวางข่ายพลัง กำจัดพลังปีศาจให้หมดก่อนค่อยต่อกระดูกขาให้เด็กชาย นาทีถัดมานางกลับเห็นบางอย่างแวบผ่านไป ก่อนที่พลังสีดำอันเลือนรางรอบตัวของเด็กชายจะสลายไป

“เอ๊ะ?!” อวิ๋นเจี่ยวผงะไป เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว

“สหายอวิ๋น เกิดอะไรขึ้นหรือ” ชางหยางถาม

“พลังปีศาจในเส้นชีพจรของเขา…หายไปแล้ว!”

“อะไรนะ!” ชางหยางตกตะลึง เขายังไม่ได้เปิดตาทิพย์ จึงไม่ได้ไวต่อพลังปีศาจเท่านาง เขาลองจับเข้าที่ชีพจรของเด็กชาย ก่อนจะเบิกตากว้าง “นี่…ทำไมเป็นเช่นนี้”

อวิ๋นเจี่ยวสายตาเหลือบต่ำครุ่นคิด พลังสีดำเมื่อครู่ราวกับ…

นางก้มลงมองหน้าอกของอีกฝ่าย ดึงเศษผ้าบนหน้าอกของเขาออก พบหยกสีขาวชิ้นหนึ่งโผล่ออกมา หยกนั้นมีความแปลกประหลาดอย่างยิ่ง นางสามารถมองเห็นแสงเล็กๆ จากภายในนั้น อีกทั้งยังเคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะ

“นี่คือ…อาวุธ!” ชางหยางตะโกนออกมา บนตัวของเด็กชายในหมู่บ้านธรรมดา ทำไมถึงมีอาวุธของคนในเสวียนเหมินได้ อีกทั้งยังสามารถกำจัดพลังปีศาจบนตัวของเขาได้อีก นอกจากนี้…แม้แต่เขายังดูไม่ออกว่ามันคืออาวุธระดับไหน

“ไม่ ไม่ใช่อาวุธธรรมดา!” สีหน้าอวิ๋นเจี่ยวเคร่งเครียด ก่อนจะพูดขึ้น “มันคืออาวุธเทพ!” แสงสีขาวที่หลั่งไหลอยู่ด้านใน เหมือนกับอาวุธที่ไป๋อวี้หลอกมาจากอาจารย์อาทั้งสอง

“เทพ…” ชางหยางสีหน้าเหลือเชื่อ หากไม่ใช่อวิ๋นเจี่ยวเป็นคนพูด เขาคงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเล่น อาวุธเทพไม่ใช่มีเพียงในโลกสวรรค์หรือ ทำไมถึงมาอยู่บนตัวของเด็กคนนี้ได้!

“นี่…สหายอวิ๋น?” ชางหยางรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยจากเรื่องราวที่รับรู้ ตอนแรกเป็นเพียงแค่การรักษาโรค รักษาไปรักษามาเจอพลังปีศาจ เรื่องพัวพันกับพลังปีศาจก็น่ากลัวมากพออยู่แล้ว ตอนนี้ยังเกี่ยวข้องกับโลกสวรรค์อีก ทำไมมันยุ่งเหยิงเช่นนี้!

อวิ๋นเจี่ยวมีการคาดเดาภายในใจ แต่ยังไม่อาจมั่นใจได้ จึงพูดขึ้น “อาวุธเทพนี้ได้กำจัดพลังปีศาจในเส้นชีพจรของเขาแล้ว เรารักษาเขากันก่อนเถอะ!”

“อ่อ…อ่อ!” ชางหยางเดินขึ้นหน้าพร้อมความตกตะลึง เขาพยายามข่มเสียงกรีดร้องลงในใจ ก่อนจะลงมือต่อกระดูกให้เด็กชาย

เขาลูบคลำกระดูกของอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง หลังจากตรวจดูอาการกระดูกของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็แปลกใจ จากอายุของกระดูก เด็กคนนี้อายุน่าจะราวเจ็ดแปดขวบแล้ว แต่ร่างกายของเขากลับยังคงมีลักษณะราวสี่ห้าขวบ เมื่อนึกไปถึงชาวบ้านที่ต้องการให้เขาตายแล้ว ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เขาต้องทนลำบากมามากขนาดไหน ร่างกายถึงได้ผอมถึงเช่นนี้

ทันใดนั้นความรู้สึกสงสารก็เอ่อล้นออกมา เขาสงบใจและเริ่มลงมือรักษา

ชางหยางและอวิ๋นเจี่ยวใช้เวลากว่าหนึ่งคืน ถึงได้ต่อกระดูกของเด็กชายกลับมาได้ แต่บาดแผลบนร่างกายของเขาไม่ได้มีเพียงแผลภายนอก ต่อไปไม่รู้ต้องใช้เวลาในการรักษานานแค่ไหน

ทั้งสองคนเพิ่งได้พักหายใจ ชางผิงและลูกศิษย์คนอื่นที่ไปสืบหาตัวตนของเด็กชายก็กลับมาพอดี พวกเขาเล่าเรื่องราวของเด็กให้ชายแก่ทั้งสองคนฟัง ทั้งสองคนฟังแล้วล้วนตกตะลึง

“อะไรนะ! เจ้าบอกว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่คนของหมู่บ้านหลีเจี่ยว?” ชางหยางถามด้วยความตะลึง

“ใช่ อาจารย์!” ชางผิงตอบ “เมื่อเจ็ดปีก่อน เขาถูกคนในหมู่บ้านที่ชื่อว่าหลี่เฟิงอุ้มกลับมาเลี้ยง ตระกูลหลี่ไร้ทายาท จึงตั้งชื่อให้เขาว่าหลี่ไหลตี้ แต่วันรุ่งขึ้น หลี่เฟิงก็ตายไป ต่อมาพ่อแม่ตระกูลหลี่ก็ตายไป คนในหมู่บ้านล้วนคิดว่าเขาเป็นตัวอับโชค จึงไม่มีคนสนใจเขา” เขาอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว

“หมายความว่า ไม่มีใครรู้ว่าเด็กคนนี้มาจากที่ใด” คิ้วของชางหยางขมวดมุ่น

“ใช่” ชางผิงพยักหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ “นอกจากนี้…ตอนที่ศิษย์น้องเดินเยี่ยมเยียนภายในหมู่บ้าน เขาพบว่าตลิ่งทางใต้ของหมู่บ้านมีหลุมใหญ่ลึกปรากฏขึ้นมากมาย ได้ยินว่ามีคนเก็บทองได้ตอนที่ไปเดินเล่น ดังนั้นคนในหมู่บ้านมักไปขุดทรายบริเวณนั้น”

“ขุดทราย?” ชางหยางผงะ ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกศิษย์ถึงพูดเรื่องนี้

ชางผิงพูดต่อ “อาจารย์ หลายวันก่อนเกิดฝนตกขนาดหนักติดต่อกัน…”

ชางหยางผงะ ยังไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด “ฝนตกเกี่ยวอะไรกับ…” พูดไปได้เพียงครึ่งเดียวเขาก็หยุดชะงักลง ก่อนจะตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน “เหลวไหล!”