เหลิ่งรั่วปิงตบโต๊ะ เอาเงินฟาดลงไป “ค่าอาหารมื้อนี้ฉันจ่ายเอง เธอไม่ติดค้างอะไรคุณ คราวหน้าไม่ต้องเจอกันอีก!”
พูดจบ เหลิ่งรั่วปิงดึงมือไซ่หย่าเซวียนเดินออกไป ไซ่หย่าเซวียนไม่เข้าใจ หันไปมองอวี้ไป่หันแวบหนึ่ง แล้วเดินตามไป
อวี้ไป่หันมองดูแผ่นหลังของทั้งสองที่เดินจากไป ถอนหายใจด้วยความจนปัญญา ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเจอผู้หญิงที่ทำให้เขาใจเต้นแรงแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะงดกิเลศ สำหรับเขาผู้หญิงพวกนั้นก็แค่ฆ่าเวลาในตอนที่เบื่อเท่านั้น เขาไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ที่เปลี่ยนผู้หญิงก็เพราะเปลี่ยนอารมณ์เท่านั้น เพราะเขาคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีวันเจอรักแท้แล้ว บนโลกใบนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนทำให้คนหวั่นไหว
ไม่ได้หมายความว่าบนโลกใบนี้ไม่มีผู้หญิงดีๆ เหลิ่งรั่วปิง เวินอี๋และอวี้หลานซีล้วนเป็นผู้หญิงที่ดี แต่ผู้หญิงดีๆ มักจะอยู่ในอ้อมกอดของคนอื่นเสมอ อวี้ไป่หันไม่เคยโชคดีได้เจอผู้หญิงดีๆ
ดังนั้น เขาไม่เคยคาดหวังและเพ้อฝันกับเรื่องความรัก
ทว่าวันนี้ จู่ๆ ความรักก็วิ่งเข้ามาชนเขา น่าเสียดาย ความปล่อยตัวในอดีตกลับเป็นกำแพงที่ขวางกั้นเขาเอาไว้
หลังจากเหลิ่งรั่วปิงและไซ่หย่าเซวียนเดินออกไป หนานกงเยี่ยเดินออกมาจากมุมหนึ่ง นั่งลงตรงข้ามอวี้ไป่หัน พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “เป็นอะไรไป คาสโนวาอันดับหนึ่งของเมืองหลง วันนี้หวั่นไหวแล้ว?” เขาฟังรายงานจากก่วนอวี้ บอกว่าเหลิ่งรั่วปิงรีบออกไปจากบริษัท เขาจึงรีบตามออกมา
อวี้ไป่หันผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด “คาสโนวาอันดับหนึ่งของเมืองหลง” ฉายานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกรังเกียจ “หนานกง แกไปพูดกับเหลิ่งรั่วปิงหน่อยสิ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะปรับตัวเป็นคนดี”
หนานกงเยี่ยกระตุกยิ้มเล็กน้อย สีหน้าของเขาอยากจะช่วยแต่จนปัญญา “แกก็เห็นแล้ว ตอนนี้ฉันยังเอาตัวเองไม่รอด แล้วจะไปสนใจเรื่องของแกได้ยังไง ฉันยังไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่เหลิ่งรั่วปิงถึงจะยอมอภัยให้ฉัน”
อวี้ไป่หันยิ้มเศร้า “คนที่ถูกลิขิตให้มีชีวิตรุ่งโรจน์อย่างพวกเรา ถูกสอนมาตั้งแต่เล็กจนโต ห้ามมีความรู้สึก ห้ามมีความรัก ไม่เข้าใจความรัก ไม่เข้าใจการรัก ดังนั้นตอนที่ความรักเข้ามาในชีวิต พวกเราจึงมักจะทำผิดพลาด พวกเราถูกลิขิตให้ทุกข์ทรมาน”
หนานกงเยี่ยเงียบ ถูกต้อง ตั้งแต่เล็กจนโต เขาได้รับการฝึกทักษะต่างๆ ได้เรียนรู้หลายด้าน ทว่ามีเพียงแค่เรื่องของความรักเท่านั้นที่ไม่เคยได้เรียนรู้ ในเรื่องความรัก เขาเหมือนคนโง่ คนที่คอยทำผิด คนที่ต้องทุกข์ทรมาน คนที่ไม่เคยเข้าใจ คนที่คอยลังเลกับมัน แต่พอถึงตอนที่เข้าใจทุกอย่างแล้ว กลับต้องแลกด้วยความเจ็บปวดและสูญเสีย
แต่ว่า คนเราเติบโตขึ้นท่ามกลางความเจ็บปวด โตเป็นผู้ใหญ่ท่ามกลางความทุกข์ทรมาน เข้าใจหลักการที่แท้จริงท่ามกลางความโศกเศร้า ความเจ็บปวดเหล่านี้ทำให้เขายิ่งเข้าใจความรักมากขึ้น ยิ่งรู้จักเห็นคุณค่า
บนรถแท็กซี่ ไซ่หย่าเซวี่ยนถามเหลิ่งรั่วปิงด้วยความไม่เข้าใจ “หนิงซยา ทำไมเธอต้องทำแบบนี้ มันแย่มากเลยนะ คุณอวี้เป็นคนที่ดีมาก”
เหลิ่งรั่วปิงยังคงไม่หายโมโห “เธอเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่รู้จักใคร แล้วจะไปรู้เรื่องอะไร” ตวัดสายตามองไปที่ไซ่หย่าเซวียน แววตาเต็มไปด้วยความคำเตือน “ฉันจะบอกอะไรให้เธอฟัง อวี้ไป่หันคือคาสโนว่าตัวพ่อที่มีชื่อเสียงของเมืองหลง มีผู้หญิงนับไม่ถ้วน ไม่เคยมีมุมมองด้านความรักที่บริสุทธิ์ เขามายุ่งกับเธอก็แค่มาหลอกเธอเล่นๆ เท่านั้น เธอถ้ายังกล้าคบค้าสมาคมกับเขา ฉันจะให้คุณไซ่ตี้จวิ้นพาเธอกลับไป
“ไม่เอาๆๆ หนิงซยา ฉันจะเชื่อฟังเธอนะ” ไซ่หย่าเซวียนเพิ่งมาถึงเมืองหลง ทุกอย่างยังแปลกใหม่สำหรับเธอ เธอไม่อยากถูกลากกลับไปแบบนี้ อีกทั้งเธอจะฝึกฝนความอดทนของฉู่เทียนรุ่ย รอให้ฉู่เทียนรุ่ยคิดถึงเธอแล้วมารับเธอ
*****
หลายวันที่ผ่านมานี้ เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกสบายใจมาก
ไซ่หย่าเซวียนเชื่อฟังเธอเป็นอย่างดี ตั้งแต่เรื่องวันนั้น เธอสงบเสงี่ยมขึ้นมาก อวี้ไป่หันโทรหาเธอหลายครั้ง พยายามชวนเธอออกไป แต่ไซ่หย่าเซวียนก็หาข้ออ้างแล้วปฏิเสธไปทุกครั้ง
ตั้งแต่ไซ่หย่าเซวียนมาพักที่นี่ หนานกงเยี่ยเองก็ทำตัวดีขึ้น ไม่มาป่วนที่คอนโดของเหลิ่งรั่วปิงอีก อย่างมากสุดก็แค่เรียกเธอไปคุยที่ห้องทำงานเล็กน้อยเท่านั้น
เวลาผ่านไปราวกับน้ำรินไหล ถึงสิ้นปีอย่างรวดเร็ว คืนวันที่ยี่สิบเก้าเดือนธันวาคม บริษัทหนานกงจัดงานเลี้ยงประจำปี เพื่อให้รางวัลกับพนักงานดีเด่น และแจกอั่งเปา
งานเลี้ยงประจำปีที่ผ่านมานั้น น้อยครั้งที่หนานกงเยี่ยจะมาร่วมงาน โดยมากล้วนให้ก่วนอวี้มาเป็นตัวแทนเจ้าภาพ แต่ปีนี้เขากลับมาด้วยตนเอง ทั้งยังให้รางวัลและอั่งเปากับพนักงานดีเด่นด้วยตนเอง
การมาของเขา ทำให้พนักงานทุกคนต่างพากันดีใจ สำหรับพนักงานในบริษัทหนานกง การที่ได้เห็นผู้บริหารของบริษัท ก็เหมือนกับได้เห็นฮ่องเต้ ต่อให้เขาไม่ได้เป็นคุณชายหนานกง เป็นเพียงแค่พนักงานธรรมดา แต่หน้าตาที่หล่อเหลาแบบนี้ เพียงแค่ได้เจอก็ทำให้คนจิตใจชุ่มฉ่ำแล้ว
เหลิ่งรั่วปิงสวมชุดเดรสสีดำ นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่ง เธอมองดูหนานกงเยี่ยที่อยู่บนเวที เขาหล่อ มาดมั่น มีสง่า ความเย็นชาของเขาแผ่ออร่าของราชันย์ออกมา ชุดสูทตัดเย็บพอดีตัวสีดำที่อยู่บนตัว ทำให้เขาดูเหมือนรูปแกะสลักหินโบราณของเทพสงคราม ดูยิ่งใหญ่ ความเผด็จการของเขาทำให้ผู้หญิงทุกคนในงานต่างหลงใหล
พิธีแจกของรางวัลจบลง ตามด้วยเต้นรำ ชายหญิงแต่ละคู่ค่อยๆขึ้นไปบนฟลอร์เต้นรำ และหนานกงเยี่ยจะเชิญใครมาเต้นรำ กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนในงานให้ความสำคัญ
เพราะรู้ว่าหนานกงเยี่ยจะปรากฏตัวในงานเลี้ยงคืนนี้ พนักงานใหญ่ที่ยังโสดหลายคนต่างก็แต่งหน้าทำผมแต่งตัวมาเป็นอย่างดี คาดหวังว่าจะได้รับความชอบจากเขา เป็นหงส์ที่บินขึ้นฟ้า แม้ว่าเขาจะไม่ใช่หนานกงเยี่ย ไม่ได้มีฐานะที่โดดเด่นแบบนี้ แต่ถึงอย่างไรการถูกผู้ชายหน้าตาดีเลือก ก็เป็นเรื่องที่มีความสุขเป็นอย่างมาก ดังนั้น ตอนที่สายตาของเขากวาดมองมา ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขา ความคาดหวังและโหยหาที่จะได้เป็นคู่เต้นเต็มไปทั่วทั้งงานเลี้ยง
ภายใต้สายตามากมายที่กำลังจับจ้อง หนานกงเยี่ยเดินไปทางเหลิ่งรั่วปิงที่นั่งอยู่ตรงมุม ยื่นมือขวาออกไป “โปรดเต้นรำกับผมสักเพลงหนึ่งได้ไหมครับ”
เหลิ่งรั่วปิงอยากจะปฏิเสธ แต่จอมเผด็จการอย่างหนานกงเยี่ย พูดคำว่าโปรด แต่ท่าทีกลับไม่ได้เป็นการเชิญชวนแม้แต่น้อย ไม่รอให้เธอตอบคำถาม เขาก็ดึงมือเธอ พาเธอลุกขึ้นเดินไปตรงฟลอร์เต้นรำ
เหลิ่งรั่วปิงจนปัญญา ทำได้เพียงเต้นตามเขา
หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เพราะไซ่หย่าเซวียน พวกเขาจึงมีโอกาสในการอยู่ด้วยกันอย่างส่วนตัวน้อยมาก หนานกงเยี่ยอดทนจนรู้สึกทรมาน เขาจะตามจีบเธอ ให้เธอกลับมาอยู่ข้างกายเขาอีกครั้ง แต่ดูเหมือนกลับเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
การกอดที่แนบสนิท ใกล้ชิดแนบแน่น กลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนดอกเบญจมาศในตัวเธอที่แสนคุ้นเคย ลอยฟุ้งมาที่จมูกของเขา ปลุกความรู้สึกทั้งหมดของเขาจนตื่น สายตาและลมหายใจแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน “พรุ่งนี้หยุดปีใหม่แล้ว วันสิ้นปีคุณคิดจะฉลองยังไงครับ”
เหลิ่งรั่วปิงแตะไหล่เขา พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ฉันจะฉลองกับไซ่หย่าเซวียนค่ะ”
หนานกงเยี่ยผิดหวังเป็นอย่างมาก เขานึกถึงวันสิ้นปีเมื่อปีที่แล้ว เขากับเธอดูพลุด้วยกัน นั่นเป็นครั้งแรกที่เขายอมรับว่าชอบเธอ อยากได้หัวใจของเธอ แต่เธอบอกว่า เธอไม่ให้หัวใจใครง่ายๆ ถ้าให้แล้วชีวิตนี้อาจจะไม่มีวันเอากลับมาอีก แต่หัวใจของเขากลับไม่อาจชอบเธอได้ชั่วชีวิต ดังนั้นหัวใจของเธอ เขาอาจจะรับมันไว้ไม่ได้
ตอนนี้ เขาอยากจะบอกกับเธอว่าเขารักเธอไปชั่วชีวิตได้แล้ว แต่เธอยินดีที่จะให้โอกาสกับเขาไหม
“ฉู่หนิงซยา ฉลองกับผม?”
“คุณหนานกง ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะฉลองกับคุณค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงไม่ยอมมองตาหนานกงเยี่ย “น้องสาวว่าที่สามีของฉันอยู่ที่นี่ ถ้าฉันไม่ฉลองกับเธอแล้วไปฉลองกับคุณ มันเสียมารยาทมากไม่ใช่เหรอคะ”
หนานกงเยี่ยเงียบครู่หนึ่ง “อันที่จริง ไป่หันหวั่นไหวกับไซ่หย่าเซวียนแล้ว เขา…”
เขาอยากบอกว่า อวี้ไป่หันกลับตัวเป็นคนดีแล้วจริงๆ เพื่อจะมีสิทธิ์ในการตามจีบไซ่หย่าเซวียน เขาเปลี่ยนเป็นคนละคน แน่นอน หนานกงเยี่ยไม่เพียงแต่ขอร้องแทนอวี้ไป่หัน เขาทำเพื่อตนเองด้วย ถ้าไซ่หย่าเซวียนคบกับอวี้ไป่หัน เช่นนั้นเขาก็จะได้มีโอกาสได้อยู่กับเหลิ่งรั่วปิง
แต่เห็นอย่างชัดเจนว่าเหลิ่งรั่วปิงไม่ให้โอกาสหนานกงเยี่ยในการพูด “คุณหนานกงเยี่ยอยากจะบอกว่า คุณอวี้กลับตัวกลับใจกลายเป็นคนดีแล้ว เขาไม่สนใจผู้หญิงคนไหนอีก ดังนั้น จึงมีสิทธิ์จีบไซ่หย่าเซวียน?”
หนานกงเยี่ยพยักหน้าด้วยความลำบากใจ เขารู้ดีว่าเหลิ่งรั่วปิงดูถูกอวี้ไป่หันเป็นอย่างมาก เธอเป็นคนที่ยึดมั่นในความถูกต้อง ไม่ยอมที่จะโอนอ่อนไปทางที่ไม่ถูกไม่ควร
“หึ!” เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะในลำคอ “ทำไมเขาไม่ไปตามจีบ ผู้หญิงที่นั่งอยู่ในตู้กระจกมาหลายปีและเป็นคนดีล่ะคะ”
มองดูสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเหลิ่งรั่วปิง หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปม “พอแล้วครับ เราไม่คุยเรื่องของเขาแล้ว ถ้าคุณไม่เห็นด้วยผมก็ไม่พูดแล้ว อย่าโกรธเลยนะ หืม?” เขาไม่อยากทะเลาะกับเธอเพราะอวี้ไป่หัน
“ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่อยากเต้นรำแล้วค่ะ”
“ครับ ไม่เต้นรำแล้ว”
ถึงแม้หนานกงเยี่ยจะบอกว่าไม่เต้นรำแล้ว แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยมือเหลิ่งรั่วปิง เขาจับมือเธอ พาเธอเดินออกไปนอกงานเลี้ยง “ผมพาคุณไปกินข้าวนะ”“ไม่ต้องค่ะ ฉันจะกลับแล้ว ไซ่หย่าเซวียนอยู่บ้านคนเดียว คงจะเหงามาก”
หนานกงเยี่ยไม่อยากปล่อยมือเหลิ่งรั่วปิง พูดด้วยน้ำเสียงปรึกษา “ปีนี้ก็ใกล้จะจบลงแล้ว คุณกินข้าวกับผมสักมื้อไม่ได้เหรอ”
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ไม่มีเขาที่คอยมาตามตอแยทั้งวัน ทำให้เหลิ่งรั่วปิงใจเย็นลงไปมาก ดังนั้นเธอจึงปฏิเสธเสียงหนักแน่น “คุณเคยบอกว่า ฉันเป็นตัวแทนของเธอ แค่อยู่นิ่งๆ ให้คุณมองก็พอแล้ว คุณจะไม่บีบบังคับให้ฉันทำอะไร”
หนานกงเยี่ยจับมือเหลิ่งรั่วปิงแน่น “ฉู่หนิงซยา ถ้าคุณคือเหลิ่งรั่วปิง คุณจะให้อภัยผมไหม คุณจะยอมเริ่มต้นกับผมใหม่ไหมครับ”
“ไม่ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ฉันจะให้อภัยคุณ แต่ไม่มีวันเริ่มต้นใหม่กับคุณ”
แววตาของหนานกงเยี่ยไม่ได้เสียใจเพราะคำพูดนี้ หรือหม่นหมองลง ในทางกลับกันแววตาของเขาค่อยๆ นิ่งงัน มีความเผด็จการและความเป็นนักล่าแล่นผ่าน เขาเป็นราชา ไม่มีวันยอมถ่อมตัว ในเมื่อร้องขอแล้วไม่ได้ เขาก็จะแสดงความเผด็จการที่อยู่ในตัวออกมา หนานกงเยี่ยยินดีที่จะจับเธอมาขังไว้ข้างตัวเขา จนกว่าเธอจะรักเขาอีกครั้ง
เหลิ่งรั่วปิงรู้จักคนอย่างหนานกงเยี่ยเป็นอย่างดี แววตาของเขาทำให้เธอหวาดกลัว “คุณหนานกงเยี่ย ทุกอย่างบนโลกใบนี้เราฝืนครอบครองได้ แต่หัวใจคนมันทำไม่ได้หรอกนะคะ ตอนนั้นคุณเป็นฝ่ายทิ้งความรักไปเอง ดังนั้นคุณไม่มีโอกาสบีบบังคับให้มันกลับมาได้หรอกค่ะ”
“ผมไม่ได้ทิ้งความรักไป ผมปรารถนาที่จะได้มาโดยตลอด เพียงแต่เกิดเรื่องเข้าใจผิดขึ้น ผมทำผิดพลาดไปแล้ว ชีวิตนี้ขอเพียงแค่เธอให้โอกาสผมอีกครั้ง ครั้งนี้ ผมจะมอบรักที่ดีที่สุดให้กับเธอ”
เหลิ่งรั่วปิงหลุบตาลง “คุณหนานกงเยี่ย คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอคะ ถ้าเราให้ความรักในตอนที่อีกฝ่ายต้องการ นั่นถึงจะทำให้หัวใจอบอุ่น แต่ถ้าให้ในตอนที่อีกฝ่ายไม่ต้องการแล้ว มันเรียกว่าการบังคับ มันจะทำให้คนอึดอัด” ตอนนี้เธอไม่อยากกลับไปแม้แต่น้อย ในเมื่อหมั้นกับไซ่ตี้จวิ้นแล้ว ก็จะต้องดำเนินต่อไป
หนานกงเยี่ยเงียบอยู่นาน ความหมายของเธอเขาเข้าใจแล้ว ตอนนี้เธอไม่ได้ต้องการความรักจากเขาแล้ว แม้ว่าเขาจะควักหัวใจออกมาให้เธอ เธอก็ไม่ต้องการมันแล้ว
“คุณชายเยี่ยครับ คุณคงไม่ถือสาถ้าผมจะรับคู่หมั้นกลับไป?”
เสียงทุ้มต่ำราวกับน้ำตกบนภูเขาของชายหนุ่ม ดังขึ้นตรงทางเดินที่ว่างเปล่า ทำลายความเงียบ