ตอนที่ 63 การไล่ล่ากันกลางป่า

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฉินอวี้โม่ช่วยตระกูลเหล่ยสยบอสูรมายาจึงทำให้ระดับพลังของนางเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับขั้นดารา และนั่นก็เป็นผลให้ในเวลานี้นางอยู่ในขอบเขตนภมายาสองดาราแล้ว

แม้ว่าเหล่ยเจิ้นเทียนจะไม่พอใจนักที่คุณหนูบ้านนอกจากตระกูลคู่อริเป็นผู้สยบอสูรมายาระดับเทวะราชันเจ็ดดาราได้และยังได้ไข่ประหลาดที่ฟักเป็นตัวแล้วไปครอบครอง ทว่าการลงทุนลงแรงของตระกูลเหล่ยในครั้งนี้ก็ยังนับว่าไม่สูญเปล่า  เพราะพวกเขาได้อสูรเทวะเจ็ดและแปดดารามาทดแทน ซึ่งนั่นก็สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตระกูลของพวกเขาได้อยู่ไม่น้อย แม้แต่เหล่ยเจิ้นเทียนผู้นำในภารกิจเองก็ต้องยอมรับว่าเขาพึงพอใจกับการเดินทางครั้งนี้

“ผู้อาวุโสฉิน ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเราคงต้องขอลา ไว้พบกันใหม่โอกาสหน้า”

หลินซวงผู้อาวุโสแห่งสมาคมทหารรับจ้างกล่าวอำลาฉินอีเฟิงด้วยรอยยิ้ม เขาเหลือบมองฉินอวี้โม่อยู่ปราดหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินจากไป

“ชิงเฟิง กลับตระกูลพร้อมกับข้าเถอะ ท่านปู่ของเจ้าคิดถึงเจ้ามาก”

โอวหยางหมิงเอ่ยกับหลานชายอย่างอ่อนโยน ดูเหมือนว่าคุณหนูฉินเองก็ต้องการจะตามฉินอีเฟิงกลับตระกูลเช่นกัน ดังนั้นผู้อาวุโสสามแห่งตระกูลโอวหยางจึงไม่เชื่อว่าโอวหยางชิงเฟิงจะยังดื้อดึงไม่ยอมกลับพร้อมกับเขาในครั้งนี้

“ท่านลุงสาม ข้าจะกลับไปแน่นอน เพียงแต่ข้าให้สัญญากับสหายของข้าเอาไว้ว่าข้าจะพาพวกนางเที่ยวชมป่า ถ้าพวกนางไม่กลับ ข้าก็จะไม่กลับไป”

โอวหยางชิงเฟิงยังคงดื้อรั้นอย่างมาก แต่ก็นั่นก็เพราะเขาลั่นวาจาให้สัญญากับฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเอาไว้แล้ว เขาจะต้องพาพวกนางไปหาสถานที่ดี ๆ สำหรับฝึกวิชาภายในป่าแสงจันทร์ให้ได้  เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องทำให้เสร็จสิ้น

เมื่อเป็นเช่นนี้โอวหยางหมิงจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหันไปมองฉินอีเฟิงเป็นเชิงขอความช่วยเหลืออยู่กลาย ๆ

“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าก็ตามข้ากลับตระกูลเถอะ”

ฉินอีเฟิงยิ้มแย้มแล้วเอ่ยชักชวน ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ก็บอกกับเขาไว้ว่านางจะไปที่ตระกูลฉินในนครไปอวิ๋น หากนางเดินทางไปพร้อมกับเขา อย่างไรเสียก็ต้องดีกว่าเดินทางลำพัง

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะอย่างนอบน้อมแล้วกล่าวตอบ “ท่านลุงเจ็ด ข้าให้คำมั่นว่าจะกลับไปที่ตระกูลฉินแน่นอน เพียงแต่ในตอนนี้ข้าคิดว่ายังไม่ถึงเวลา”

เวลานี้ ไหน ๆ นางก็มาอยู่ใจกลางป่าแสงจันทร์ อีกทั้งระดับของนางก็เลื่อนขึ้นสู่นภมายาแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้นำทางแสนเชี่ยวชาญที่ยากจะหาได้อยู่ด้วย หากฉินอวี้โม่ไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อฝึกฝนพัฒนาตนเองและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก็ถือว่านางปล่อยโอกาสทองให้หลุดมือไป

สาวนักฆ่าในร่างคุณหนูคิดว่าสำหรับนางแล้ว การจะเป็นยอดฝีมือในขอบเขตนภมายาที่เก่งกาจก็ยังต้องการการฝึกฝนขัดเกลาอยู่อีกมาก ฉากการใช้วิทยายุทธ์อันแสนล้ำเลิศของเหล่าจอมยุทธ์นภมายาจากไป๋อวิ๋นในถ้ำอสรพิษทำให้ฉินอวี้โม่ตระหนักได้ถึงความสามารถของตน และตอนนี้นางเกิดความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะฝึกฝนขึ้นมาแล้ว

“เป็นเพราะเหตุใด ?”

ฉินอีเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำตอบของหลานสาว

ฉินอวี้โม่เล่าถึงสิ่งที่นางต้องการจะทำให้บุรุษผู้มีศักดิ์เป็นลุงฟังอย่างคร่าวๆ

ในที่สุดฉินอีเฟิงก็พยักหน้าตอบรับ เขาเข้าใจว่าฉินอวี้โม่เป็นคนรักอิสระ การเร่งรัดให้นางกลับไปที่ตระกูลฉินมากเกินไปอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ผู้อาวุโสเจ็ดตระกูลฉินคิดอย่างจนใจในเรื่องนี้และเลือกที่จะปล่อยให้นางทำตามใจ

“เช่นนั้น พวกเราจะขอกลับก่อน หากเจ้าไปที่นครไป๋อวิ๋นแล้วก็ให้มาพบเราที่ตระกูลฉินเป็นอันแรก อย่าลืมนะเสี่ยวอวี้โม่”

ฉินอีเฟิงกล่าวอำลาพร้อมทั้งฝากฝังย้ำเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะโบกมือลาหลานสาว

โอวหยางหมิงเองก็ได้แต่มองโอวหยางชิงเฟิงด้วยสีหน้าปลงใจ และสุดท้ายเขาก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา

“ลุงสาม ข้าให้สัญญาว่าข้าจะกลับไปพร้อมกับอวี้โม่”

โอวหยางชิงเฟิงยิ้ม เขาพยายามพูดให้ท่านลุงสบายใจขึ้น อีกทั้งเขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมากที่เขาไม่ยอมตามกลับตระกูล

โอวหยางหมิงพยักหน้าและหันหลังเดินจากไปพร้อม ๆ กับฉินอีเฟิง

ฉินอวี้โม่กับโอวหยางชิงเฟิงมองดูสองผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉินและตระกูลโอวหยางเดินจากไปจนลับสายตา

ตอนนี้ เนื่องจากทั้งฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงยังไม่มีแผนที่จะออกจากป่าแสงจันทร์ ทั้งสองและเสี่ยวโร่วจึงเลือกเดินผ่านผาทรนงและมุ่งต่อไปในป่าด้านหน้า

“อวี้โม่ จริง ๆ แล้วข้าเป็นทายาทตระกูลโอวหยาง แต่เป็นเพราะว่าข้าถูกบังคับให้แต่งงานกับคนผู้หนึ่งซึ่งข้าไม่อยากแต่งด้วย ข้าเลยหนีออกมาจากจวน”

โอวหยางชิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากเล่าเรื่องนี้ให้ฉินอวี้โม่ฟัง เขาไม่อยากให้นางเข้าใจเขาผิดเกี่ยวกับเรื่องที่เขาหนีออกจากบ้านและเรื่องที่เขาปิดบังตัวตนเอาไว้

ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบรับพร้อมกับแย้มยิ้ม นางไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองในเรื่องที่เขาปิดบังฐานะของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

โอวหยางชิงเฟิงเป็นบุรุษที่มีนิสัยสนุกสนานตรงไปตรงมาเหมือนเด็ก ๆ นางชื่นชอบคนผู้นี้จากใจจริง เขาเป็นบุคคลที่น่าคบหาและเป็นสหายที่ดีคนหนึ่ง ที่สำคัญตัวนางเองก็มีเรื่องที่ปิดบังอีกฝ่ายไว้เช่นเดียวกัน

“อวี้โม่ ที่คุณชายสามตระกูลเหล่ยพูดเป็นความจริงรึเปล่า ?”

โอวหยางชิงเฟิงมองดูฉินอวี้โม่และถามด้วยความสงสัย

ในตอนที่คุณชายสามตระกูลเหล่ยกล่าวว่าฉินอวี้โม่เป็นเพียงขยะไร้ค่าจากเมืองที่ห่างไกล แม้ว่าตัวเขาจะไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงแต่ก็ทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นมา และเขาก็อยากจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับนางมากขึ้น

“เรื่องนี้ เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อน วาจาร้ายกาจของคุณชายสามไม่ได้ทำให้นางกังวลแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้คุณหนูสี่ตระกูลฉินเป็นดั่งที่เขากล่าวไว้จริง ๆ แต่ตอนนี้สตรีนามฉินอวี้โม่ได้ผ่านพ้นจุดนั้นมาแล้ว และยามนี้ทุกอย่างก็ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

“ข้าก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกนะ แต่ดูเหมือนว่าที่เขาพูดมาจะเป็นเรื่องจริง”

โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะ หากมองจากสิ่งที่เห็นจากตัวตนของสตรีงดงามตรงหน้าเขาตอนนี้ เขาก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่านางจะเคยเป็นเพียงขยะไร้ค่ามาก่อน อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ว่าที่คุณชายตระกูลเหล่ยพูดมาคือเรื่องจริง และเหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะว่าฉินอวี้โม่ไม่เคยปฏิเสธเรื่องนี้เลย

เมื่อคิดถึงเรื่องของนาง โอวหยางชิงเฟิงก็รู้สึกปวดร้าวใจแทน หญิงสาวผู้นี้จะต้องลำบากลำบนและต้องพยายามหนักหนาเพียงใดกว่าจะเติบโตมาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้

เมื่อรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่หม่นหมองลงของโอวหยางชิงเฟิง ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มบาง ๆ และเอ่ย “ชิงเฟิง เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องไปคิดมาก ทุกอย่างมันผ่านไปหมดแล้ว ข้าเคยเป็นสตรีไร้ประโยชน์ เคยถูกเรียกว่าขยะไร้ค่าและถูกรังแกมาโดยตลอด แต่เรื่องเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว มีเพียงแค่ฉินอวี้โม่เท่านั้นที่มีสิทธิ์จะรังแกใครต่อใคร แต่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดมารังแกข้า !”

แม้ว่าจะร่วมทางกันมาได้ไม่นาน แต่ฉินอวี้โม่ก็ถือว่าโอวหยางชิงเฟิงเป็นสหายที่แท้จริง ในเมื่อนางนับว่าเขาเป็นเพื่อนจากก้นบึ้งของหัวใจแล้ว นางก็จะไม่ปกปิดอะไรเขา

“หากว่าต่อไปมีใครกล้ามารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้นะ ข้าจะช่วยเจ้าจัดการคนชั่วพวกนั้นเอง”

โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าแล้วให้คำมั่น เขาเองก็ถือว่าฉินอวี้โม่เป็นสหายที่แท้จริงเช่นกัน

“ชิงเฟิง เจ้าคิดหรือว่าจะมีใครรังแกข้าได้ ?”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้ายก่อนจะถามออกไป นางต้องการจะปรับอารมณ์ของสหายหนุ่มหน้ามน

คุณชายรองตระกูลโอวหยางส่ายศีรษะ ถ้าเป็นฉินอวี้โม่ในตอนนี้ เขามั่นใจว่าไม่มีผู้ใดรังแกนางได้แน่

“ถูกแล้วล่ะ งั้นเจ้ามาติดตามข้าดีกว่า พวกเรามารังแกพวกคนเลวด้วยกันเถอะ!”

ฉินอวี้โม่วางท่าใหญ่โต แล้วตบไหล่ของโอวหยางชิงเฟิงปุ ๆ อย่างสนิทสนม

โอวหยางชิงเฟิงที่ได้เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างขบขัน ตอนนี้สีหน้าของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว

เสี่ยวโร่วฟังบทสนทนาของคุณหนูของนางและคุณชายรองตระกูลโอวหยางมาเงียบ ๆ ตลอดทางโดยไม่กล่าวขัด ตอนนี้นางรู้สึกยินดีกับคุณหนูของนางที่ได้สหายดี ๆ

‘ถ้าคุณหนูมีความสุข เสี่ยวโร่วก็มีความสุข !’

คณะเดินทางทั้งสามคนและอีกหลายตัวเดินทางตัดผ่านผาทรนงมาและล่วงเข้าสู่เขตป่าอีกด้านได้ก่อนที่ท้องฟ้าจะเริ่มมืด

“เราหาที่พักสำหรับคืนนี้กันก่อนเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางตัดสินใจจะหาที่พักสำหรับค้างแรมในคืนนี้

ขึ้นชื่อว่าพงไพร ไม่ว่าจะเป็นป่าแห่งใด ช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดก็คือยามค่ำคืน  หากว่าบังเอิญได้เผชิญหน้ากับอสูรมายาที่ทรงพลังและหากินกลางคืนแล้วนั้น ถึงแม้ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงจะไม่ได้อ่อนแอแต่ก็คงจะต้องรับศึกหนักหนาไม่น้อย

โอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ตอนนี้ทัศนวิสัยเริ่มลดลงไปมากแล้ว หากยังฝืนเดินทางต่อไป เกรงว่าจะไม่ปลอดภัยกันทั้งกลุ่ม

คนทั้งสามพบลานกว้างไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งหนึ่ง ที่ตรงนี้อยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่และแห้งพอที่จะใช้เป็นที่นอนได้  หลังจากนั่งลงเพื่อพักขาให้คลายจากความเมื่อยล้า ฉินอวี้โม่ก็นำของสิ่งหนึ่งออกมา… มันคือสิ่งที่ในศตวรรษที่ 21 เรียกกันว่า ‘เต็นท์’

ในช่วงที่พักอยู่ในบ้านพักที่ลั่วอวิ๋นจัดไว้ให้นั้น ด้วยความที่ฉินอวี้โม่คิดได้ว่าต่อไปนี้ทั้งนางและเสี่ยวโร่วคงจะได้นอนกลางป่ากลางเขากันอยู่บ่อยครั้ง ฉะนั้นนางจึงตามหาช่างฝีมือในเมืองเยว่กวาง แล้ววาดแบบแปลนพร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดให้ช่างฝีมือผู้นั้นให้สร้างมันขึ้นมา กว่าจะได้เป็นเต็นท์ที่มีความใกล้เคียงเต็นท์มากที่สุดอีกทั้งยังใช้งานได้จริงและคงทนถาวรนั้น เรียกได้ว่าทั้งช่างทั้งผู้ออกแบบต้องเหน็ดเหนื่อยไปไม่น้อย

“นั่นมันคืออะไร ?”

โอวหยางชิงเฟิงเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัยเมื่อเห็นสิ่งของประหลาดที่ฉินอวี้โม่นำออกมา

เหตุใดเขาถึงไม่เคยเห็นสิ่งที่ดูเหมือนกับ*‘บ้านหลังน้อย’* เช่นนี้มาก่อนเลย ?

“สิ่งนี้เขาเรียกว่าเต็นท์ หากว่าต้องอยู่กลางป่ากลางเขา การนอนในเจ้านี่ก็จะช่วยให้สะดวกสบายขึ้นมาก”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางรีบกางเต็นท์สองหลังอย่างคล่องแคล่ว

“เสี่ยวโร่ว เจ้ากับข้านอนในหลังนี้ ส่วนอีกหลังให้ชิงเฟิงนอน”

ฉินอวี้โม่ยิ้มให้เสี่ยวโร่ว ก่อนจะจัดสรรพื้นที่แต่ละเต็นท์ให้เหล่าสมาชิกในคณะเดินทางกลุ่มเล็ก ๆ ของนาง

สาวใช้น้อยพยักหน้าอย่างว่าง่าย  นางเคยเห็นมันมาก่อนจึงไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะให้คนสร้างเต็นท์ไว้สองหลังก็ตาม แต่ปกติแล้วเพื่อความปลอดภัยอดีตคุณหนูก็มักจะนอนกับสาวใช้ผู้เป็นเสมือนน้องสาวเสมอ

โอวหยางชิงเฟิงมองดูเต็นท์ที่ฉินอวี้โม่เพิ่งจะตั้งเสร็จด้วยความพิศวง  และด้วยความใคร่รู้ หนุ่มหน้าใสจึงก้มลงมองลอดเข้าไปภายในก่อนจะพบว่าเจ้าบ้านหลังน้อยนี่มันช่างน่านอนเป็นอย่างยิ่ง บุรุษหน้ามนทอแววตาหลงใหลในทันที

“อวี้โม่ เจ้าจะบอกวิธีการสร้างเต็นท์นี่ให้ข้าได้หรือไม่ ?”

โอวหยางชิงเฟิงถามอย่างสนอกสนใจ เขาเองก็อยากจะได้ ‘เต็นท์’ นี่สักหลัง และถ้าหากรู้วิธีก็จะได้หาคนสร้างให้ได้  ต่อไปเวลานอนในป่าเขาก็ไม่ต้องลำบากอีกแล้ว

“ถ้าเจ้าต้องการ หลังนั้นข้ายกให้เจ้า”

ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วเอ่ยปากยกเต็นท์ให้โอวหยางชิงเฟิงในทันที

ไม่ใช่เพราะนางไม่ต้องการบอกวิธีสร้างเต็นท์ให้สหายรู้ แต่นางแค่อยากจะให้การออกแบบออกมาในรูปแบบที่มั่นคงที่สุดก่อน  เพราะในอนาคตสาวจากศตวรรษที่ 21 คิดเอาไว้ว่าจะทำเต็นท์ออกมาเป็นสินค้าสำหรับขาย และเพื่อให้มั่นใจในคุณภาพสินค้ามากที่สุดนางก็ต้องพัฒนาระบบการผลิตให้ดีที่สุดเสียก่อน ฉะนั้นแม้ว่าฉินอวี้โม่จะเชื่อใจโอวหยางชิงเฟิง แต่มันก็ยังเร็วเกินไปที่จะบอกวิธีสร้างให้เขารู้ในตอนนี้

“จริงเหรอ ได้อย่างนั้นก็วิเศษเลย !”

โอวหยางชิงเฟิงยิ้มกว้างและพยักหน้าอย่างยินดี แท้จริงแล้วเขาเพียงแค่ต้องการเต็นท์สักหลังเท่านั้น ส่วนวิธีในการสร้างมันเขาไม่ได้สนใจ

ทั้งสามคนพูดคุยกันอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะกินอาหารค่ำแล้วแยกย้ายกันพักผ่อน

คืนนี้ม่อเสียผู้หายจากอาการซึมเศร้าแล้วขออาสาเฝ้าเวรยามอย่างกระตือรือร้น ซึ่งฉินอวี้โม่เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ ปกติแล้วนางมักจะให้อสูรมายาช่วยเฝ้าระวังภัยในยามค่ำคืนเสมอ การอาศัยอยู่ในป่าลึกจำเป็นต้องระแวดระวังความปลอดภัยตลอดเวลา ยิ่งเมื่อเป็นสตรีที่เดินทางกันสองคนเช่นนางและเสี่ยวโร่วก็ควรจะระวังมากกว่าผู้อื่น การมีเหล่าอสูรมายาคอยช่วยเหลือเรื่องนี้จึงช่วยให้อุ่นใจได้มาก

ในวันนี้ตัวนางและเสี่ยวโร่วพบเจอเรื่องราวมากมายหลายอย่างทำให้สาวใช้น้อยรู้สึกเหนื่อยล้ามาก สาวน้อยผู้เข้มแข็งผล็อยหลับไปในทันทีที่ล้มตัวลงนอน ฉินอวี้โม่จึงได้แต่ยิ้มและส่ายหน้าอย่างเอ็นดู

ในกลางดึกอันแสนเงียบสงัด หลังจากงีบหลับไปได้ครู่ใหญ่  สาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูก็สะดุ้งตื่นเพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันทรงพลังจำนวนมากในจุดที่ไกลออกไปกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง !  แท้จริงแล้วนี่เป็นเรื่องที่นางไม่สมควรจะไปยุ่งเกี่ยว… ทว่ามีกลิ่นอายหนึ่งที่นางรู้สึกคุ้นเคย

สาวงามค่อย ๆ ขยับตัวออกมาจากเต็นท์พักแรมและเห็นม่อเสียที่กำลังมองไปรอบทิศ  อสูรเทวะราชันขมวดคิ้วมุ่น ตาสองข้างหรี่ลงราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง

“นายหญิง ท่านเองก็สัมผัสกลิ่นอายพวกนั้นได้ใช่ไหม ?”

ม่อเสียนั้นเป็นอสูรเทวะราชันที่แข็งแกร่งในระดับที่แม้ฉินอวี้โม่จะใช้อาวุธต่อสู้ตัวต่อตัวกับมันก็ยังเอาชนะได้ยาก ทันทีที่กลิ่นอายเหล่านั้นปรากฏหมีดำเทวะราชันจึงรู้สึกตัวในทันที

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและกล่าว “ม่อเสีย ข้าจะไปดูหน่อย เจ้ารออยู่ที่นี่ ถ้าทุกคนตื่น บอกพวกเขาว่าเดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา”

เนื่องจากมีกลิ่นอายที่นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก อดีตนักฆ่าสาวจึงอยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

ตัวเธอนั้นมาอยู่ยังดินแดนแห่งนี้ได้ไม่นานนัก คนที่จะทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายได้ก็แสดงว่าเธอจะต้องเคยเจอคนผู้นั้นมาหลายครั้งแล้ว

ม่อเสียพยักหน้าตอบรับ “นายหญิง ท่านก็ระวังตัวด้วย”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าให้อสูรมายาของนางอีกครั้ง จากนั้นนางก็พุ่งหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืด สตรีงดงามมุ่งหน้าผ่านป่าด้วยความเร็วเสียงเพื่อตรงไปยังกลิ่นอายเหล่านั้นอย่างเงียบเชียบ

ณ เขตป่าลึก ในจุดที่ไม่ไกลจากใจกลางป่าแสงจันทร์มากนัก กลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังไล่ล่ากันอยู่อย่างดุเดือด !

ผู้ที่นำหน้ามาเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ คนผู้นี้สวมชุดสีดำสนิท ใบหน้าเย็นชาราวกับฉาบไว้ด้วยน้ำแข็ง  บนร่างของเขามีบาดแผลเล็กใหญ่กระจายอยู่ทั่ว ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย  อย่างไรก็ตาม บุรุษชุดดำผู้นี้กลับเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่สูงเป็นอย่างมาก คล้ายกับว่าบาดแผลเหล่านั้นไม่ได้มีผลกระทบใด ๆ ต่อตัวเขาเลย

ที่ด้านหลังบุรุษชุดดำมีกลุ่มคนสวมหน้ากากสีดำจำนวนนับสิบไล่ตามมา

เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนสวมหน้ากากเหล่านี้มีระดับพลังที่สูงส่งไม่ธรรมดา และหลายคนในกลุ่มนั้นก็เป็นถึงจอมยุทธ์ในขอบเขตนภมายา  พวกเขาดูเหมือนบุคคลที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี  ทุกคนกำลังไล่ล่าเป้าหมายอย่างมุ่งมั่น โดยไม่มีวี่แววว่าจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดรอดไปได้

“บ้าเอ๊ย !”

จู่ ๆ บุรุษผู้ถูกไล่ล่าก็สบถเสียงดัง ดูเหมือนว่ากลุ่มคนสวมหน้ากากดำเริ่มเข้าใกล้เขามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

“เอาล่ะ มาดูกันว่าเจ้าจะทนไปได้อีกนานแค่ไหน ?!”

ชายผู้หนึ่งที่อยู่ในกลุ่มคนสวมหน้ากากดำเปล่งเสียงขึ้นอย่างเย็นชา เขาจ้องมองเหยื่อที่กำลังหนีอยู่ด้านหน้าตาไม่กะพริบพลางเร่งความเร็วเต็มฝีเท้าเพื่อไล่ตาม

ฉินอวี้โม่เคลื่อนไหวเข้าไปใกล้คนกลุ่มนั้นจากด้านข้าง อดีตสาวนักฆ่าปกปิดกลิ่นอายของตนเอาไว้ และใช้วิชาตัวเบาค่อย ๆ เร้นกายในความมืดเพื่อขยับเข้าไปใกล้อย่างเงียบที่สุด จากนั้นก็หาสถานที่เหมาะสมแห่งหนึ่งเพื่อซ่อนตัว

นางต้องการจะดูให้แน่ชัดก่อนว่ามีสิ่งใดขึ้น หากเข้าใจในสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว อดีตมือสังหารค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป

ในตอนที่ฉินอวี้โม่เพิ่งจะซ่อนตัวได้ไม่นานนัก ร่างของคนผู้หนึ่งก็เคลื่อนที่เข้ามาใกล้จุดที่นางอยู่ ฉินอวี้โม่สัมผัสถึงกลิ่นอายคุ้นเคยของคนผู้นี้ได้อย่างเลือนราง

และในชั่วอึดใจต่อมา อดีตคุณหนูก็มองเห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้นได้อย่างชัดเจนเมื่อเขาเคลื่อนที่ผ่านหน้า และเป็นตอนนั้นเองที่หัวใจของสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูเกิดอาการสั่นไหวรุนแรง พร้อมกันนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน