ตอนที่ 62 ข้อเสนอของตระกูลเหล่ย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เหล่ยเจิ้นเทียนมองดูฉินอวี้โม่ที่ไม่เพียงแค่สยบอสูรเทวะราชันแต่ยังได้ลูกอสูรมายาศักยภาพสูงไปครอบครองอีกตัวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

แม้ว่าตระกูลเหล่ยกับตระกูลฉินจะเป็นปรปักษ์กันมาช้านานและมักจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันอยู่บ่อยครั้ง  ทว่าเพื่อไม่ให้เสียภาพลักษณ์ดีงามของตระกูลยิ่งใหญ่โดยเปลือกนอกแล้วพวกเขาจึงต้องรักษามารยาทไว้บ้าง

“ยินดีกับผู้อาวุโสฉินด้วย หากผู้นำตระกูลฉินทราบว่าท่านตามหาคุณหนูฉินอวี้โม่จนเจอและยังพบด้วยว่านางถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีจนคุณหนูมีพรสวรรค์อันโดดเด่นมากมายเพียงนี้ เขาก็คงจะชื่นชมท่านยกใหญ่เป็นแน่”

เหล่ยเจิ้นเทียนกัดฟันกล่าวอย่างกล้ำกลืน เขาต้องทนกดความรู้สึกรวดร้าวเอาไว้ในหัวใจเพื่อออกปากแสดงความยินดีกับฉินอีเฟิง

“ฮ่า ๆ ๆ ขอบคุณมาก ผู้อาวุโสเหล่ย ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเหล่ยมาช่วยพวกเรารับมือกับราชาอสรพิษเก้าเศียร พวกเราก็คงไม่ประสบความสำเร็จขนาดนี้ !”

ฉินอีเฟิงยิ้ม สิ่งที่เขากล่าวเป็นเรื่องจริง หากไม่ได้เหล่ยเจิ้นเทียนและตระกูลเหล่ยของเขามาช่วย พวกเขาก็จะไม่สามารถสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรและได้ไข่อสูรเทวะราชันมาโดยง่ายเช่นนี้

“ฮ่า ๆ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว งั้นข้าขอตัวก่อน !”

เหล่ยเจิ้นเทียนพยายามยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเอ่ยลา ผู้อาวุโสอายุน้อยผู้กำลังเจ็บช้ำใจรีบพาคนจากตระกูลเหล่ยของเขาเดินออกไปทันที

ฉินอีเฟิงและโอวหยางหมิงหันมองหน้ากัน สองผู้อาวุโสจากตระกูลพันธมิตรยกยิ้มให้กันอย่างรื่นรมย์ก่อนจะนำคนของพวกเขาเดินออกจากถ้ำอสรพิษ

ฉินอวี้โม่เดินเคียงคู่กับราชาอสรพิษเก้าเศียร นางสังเกตเห็นว่าราชาอสรพิษระดับเทวะราชันเกือบจะฟื้นฟูร่างกายกลับมาเหมือนเดิมแล้ว

“เจ้าอยากจะเดินไปกับข้า หรือจะเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรก่อน ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ในช่วงนี้ข้าขอเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรก่อน…”

แม้ว่ามันจะได้รับประโยชน์จากฉินอวี้โม่จนได้เลื่อนระดับ แต่ราชาอสรพิษเก้าเศียรก็ยังคงอารมณ์ไม่ดีที่ต้องกลายเป็นอสูรมายาของมนุษย์ อสรพิษผู้ยิ่งใหญ่จึงอยากจะขอสงบสติอารมณ์ให้ได้ก่อน

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและส่งอสูรเทวะราชันผู้ซึมเศร้าเข้าไปภายในมิติเชื่อมอสูร

ต้องบอกเลยว่าหลังจากที่ฉินอวี้โม่ก้าวเข้ามาอยู่ขอบเขตนภมายา มิติเชื่อมอสูรของนางก็กลายเป็นช่องมิติที่มีขนาดกว้างขึ้นมาก และทำให้นางสามารถเก็บอสูรมายาเข้าไปไว้ภายในนั้นได้มากขึ้น

ส่วนมังกรทองห้าเล็บตัวกระจิริดที่เกาะอยู่บนไหล่บาง ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจส่งมันเข้าไปภายในมิติเชื่อมอสูรพร้อมกันกับราชาอสรพิษด้วย

แม้ว่าฉินอีเฟิงกับโอวหยางหมิงอาจจะยังไม่ถามอะไรนางในตอนนี้ แต่นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูเชื่อว่าพวกเขาคงมีเรื่องสงสัยอยู่มากมาย

เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่พวกเขาได้เห็นในวันนี้ก็แปลกประหลาดมากเกินไป ไม่มีผู้ใดเคยเห็นมาก่อนว่ามีอสูรมายาที่เพิ่งจะฟักออกจากไข่แล้วพูดได้ในทันที ! นี่ไม่ใช่เรื่องปกติเป็นแน่ และไม่ใช่สิ่งที่อสูรมายาทั่ว ๆ ไปจะทำได้เลย

“อวี้โม่ ยินดีด้วย ต่อไปนี้ใครมารังแกข้า เจ้าก็ช่วยปกป้องข้าด้วยนะ”

โอวหยางชิงเฟิงเอ่ยวาจาหยอกล้อฉินอวี้โม่ เขาไม่ได้หดหู่หรือรู้สึกย่ำแย่แต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันกลับคล้ายว่าการที่ฉินอวี้โม่ได้อสูรมายาที่ทรงพลังไปสองตัวเป็นเรื่องที่ทำให้ตัวเขาเองก็มีความสุขมากด้วยเช่นกัน

เมื่อฉินอวี้โม่ได้ยินถ้อยคำหยอกล้อของโอวหยางชิงเฟิง นางก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ไม่ต้องเป็นห่วง ต่อไปข้าจะปกป้องเจ้าเอง”

ตอนนี้นางยอมรับโอวหยางชิงเฟิงเป็นสหายจากก้นบึ้งของหัวใจ  อดีตคุณหนูผู้งดงามไม่มีความหวาดระแวงต่อหนุ่มหน้าใสผู้นี้อีกแล้ว

โอวหยางชิงเฟิงยิ้มแย้มอย่างมีความสุข

เมื่อเสี่ยวโร่วเห็นกิริยาท่าทางของโอวหยางชิงเฟิงที่มีต่อคุณหนูของนาง สาวใช้น้อยก็รู้สึกสะกิดใจในความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง ทว่านางก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา

แต่กระนั้นเด็กสาวก็ยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่  ถ้าหากว่ามีโอกาสหรือจังหวะเวลาเหมาะๆ ที่ได้อยู่กับคุณหนูตามลำพังสองคนในสถานที่เงียบๆ เสี่ยวโร่วน้อยก็ตั้งใจไว้ว่าจะพูดคุยเรื่องนี้กับคุณหนูของนางแน่นอน

ในเวลานี้คุณหนูผู้งดงามของนางกลายเป็นที่หมายปองของบุรุษมากมาย ทั้งชื่อเซียว ลั่วอวิ๋น และโอวหยางชิงเฟิง ต่างก็ดูจะมีใจให้กับคุณหนูอยู่ไม่น้อย  แม้พวกเขาจะเป็นคนดีแต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าพวกเขาจะมีรักแท้ให้กับคุณหนูตลอดไป  ถึงเสี่ยวโร่วจะยังเด็กแต่นางก็เคยได้ยินได้เห็นเรื่องราวความรักมามากมาย ในเรื่องความรักคุณหนูน่าสงสารมาโดยตลอดเพราะมีเพียงความรักจากมารดาคอยเติมเต็ม คนอื่น ๆ ก็เป็นแต่รังแกคุณหนูของนาง หากคุณหนูจะมีคนรักก็ขอให้เจอชายผู้รักจริงไม่ทำให้คุณหนูเจ็บช้ำ

และเพราะฉะนั้น เด็กน้อยเพิ่งพ้นวัยสาวมาหมาดๆ จึงมุ่งหมายใจเอาไว้ว่า นางจะต้องหาโอกาสเตือนสตรีผู้ที่นางรักเสมือนพี่สาวในเรื่องนี้ให้ได้ และถ้าหากคุณหนูจะเลือกผู้ใดมาเป็นคู่ครองก็จะต้องเลือกอย่างระมัดระวัง อย่าบุ่มบ่ามเป็นอันขาด

หากว่าฉินอวี้โม่ล่วงรู้ในสิ่งที่เสี่ยวโร่วกำลังนึกคิดอยู่ตอนนี้ นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็คงจะขำพรืดออกมาแน่ เสี่ยวโร่วอายุน้อยกว่านางเสียอีก อันที่จริงสาวน้อยอายุน้อยกว่าเธอเป็นสิบปี แต่เหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้เอาแต่คิด *‘เรื่องพวกนี้’*แทนนางจนสับสนไปหมด

หลังจากออกจากถ้ำอสรพิษแล้ว ฉินอีเฟิงก็ตั้งใจไว้ว่าจะพาคณะเดินทางกลับไปยังตระกูลฉิน

ทันทีที่ออกจากถ้ำได้ ผู้อาวุโสเจ็ดก็ถามไถ่สถานการณ์ด้านนอกกับฉินขุย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเจออสูรเทวะอยู่หลายตัว  และมีระดับเทวะราชันเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้นอีกทั้งยังเป็นตัวที่มีขั้นดาราต่ำ อย่างไรก็ตาม เมื่อมันได้เห็นความแข็งแกร่งของกลุ่มคนที่เฝ้าปากทางเข้าถ้ำอยู่มันก็ถอยหนีไป

“ผู้อาวุโสเจ็ด ข้าเห็นผู้อาวุโสชวี่เดินกลับออกมา ใบหน้าถมึงทึง ท่าทางเกรี้ยวกราด ผู้ใดก็เข้าหน้าไม่ติด ใครเข้าไปทักทายก็ไม่สนใจ มันเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ ?”

ฉินขุยที่รับหน้าที่เฝ้าอยู่ด้านนอกสอบถามในสิ่งที่สงสัยออกไปทันที แม้ว่าเขาจะเป็นบุรุษร่างใหญ่โต แต่ทว่ากลับมีจิตใจละเอียดรอบคอบ บุรุษกำยำผู้นี้ใส่ใจในทุกรายละเอียด แม้แต่เรื่องที่ผู้คนคิดว่าหยุมหยิมเล็กๆ น้อยๆ เขาก็ไม่เคยมองข้าม

ฉินอีเฟิงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านในให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ และนั่นเองที่ทำให้ฉินขุยอดไม่ได้ที่จะหันไปมองคุณหนูสี่ตระกูลฉินแห่งหลิงซีตาโต  บุรุษร่างใหญ่แต่มีหัวใจละเอียดอ่อนมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเทิดทูนศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม

ฉินอวี้โม่เริ่มทำตัวไม่ถูก อดีตนักฆ่าสาวในร่างสตรีโฉมงามกำลังรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อเห็นสายตาของฉินขุย  เธอคิดว่าตัวเองไม่เหมาะจะเป็นที่จ้องมองของผู้ชายตัวใหญ่กำยำแบบนั้น*… ‘ถูกผู้ชายร่างกำยำมองอย่างเทิดทูนบูชาแววตาเปล่งประกาย* อ่าไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสักนิด’

หลังจากกลับออกมาได้ไม่นานนัก เหล่ยเจิ้นเทียนก็เดินตรงเข้ามาหาพวกเขาก่อนจะเปิดหัวข้อสนทนาด้วยคำทักทาย

“ผู้อาวุโสฉิน ท่านจะกลับไปที่นครไป๋อวิ๋นเลยใช่หรือไม่ ?”

เหล่ยเจิ้นเทียนเอ่ยปากด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ ราวกับว่าเขากำลังต้องการอะไรบางอย่าง อาการไม่เป็นปกติของบุรุษจากตระกูลคู่อริผู้นี้ทำให้ผู้อาวุโสตระกูลฉินพอจะคาดเดาบางสิ่งได้

ทว่าฉินอีเฟิงก็ยังคงพยักหน้าและกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มตามมารยาท “ทุกอย่างก็เรียบร้อยหมดแล้ว พวกข้าจึงคิดว่าได้เวลาที่ต้องกลับกันแล้ว ผู้อาวุโสเหล่ยมีเรื่องใดให้ช่วยรึ ?”

ฉินอีเฟิงรู้ดีว่า การที่คนเช่นเหล่ยเจิ้นเทียนผู้นี้จะยอมบากหน้ามาหาเขาแสดงว่าอีกฝ่ายจะต้องมืดแปดด้านแล้วอย่างแท้จริง

“ฮ่า ๆ ๆ ผู้อาวุโสฉิน ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะขอร้อง”

ในที่สุดเหล่ยเจิ้นเอ่ยเข้าประเด็น

“เรื่องมีอยู่ว่า สมาชิกของตระกูลเราที่เฝ้ารออยู่ด้านนอกจับอสูรมายามาได้หลายตัว พวกเราอยากจะทำให้พวกมันเชื่องก่อนจะเอากลับไป แต่ตอนนี้ตระกูลของเราไม่ได้พาผู้ฝึกสัตว์อสูรมาด้วย ฉะนั้นพวกเราจึงอยากจะขอให้คุณหนูฉินอวี้โม่ช่วยเราสยบมัน แน่นอนว่าเราจะมอบรางวัลที่สมน้ำสมเนื้อให้คุณหนูเป็นการตอบแทน”

แน่นอนว่าเหล่ยเจิ้นเทียนไม่ได้ต้องการจะบากหน้ามาขอร้องฉินอีเฟิงเท่าไหร่นัก  ทว่าตระกูลเหล่ยของพวกเขาจับอสูรมายามาได้เป็นจำนวนมาก หากไม่ทำให้พวกมันเชื่องก่อนเขาก็เกรงว่าการเดินทางครั้งนี้พวกเขาจะไม่ได้อะไรติดมือกลับไปเลย มิหนำซ้ำยังอาจจะเสี่ยงต่อความล่าช้าและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่อสูรมายาเกิดพยศระหว่างทางอีกด้วย

ในตอนที่พวกเขามา พวกเขาไม่ได้พาผู้ฝึกสัตว์อสูรมาจากตระกูลหรือต่อให้พวกเขาพามา ผู้ฝึกสัตว์อสูรของพวกเขาก็มีพลังไม่พอจะสยบอสูรมายาเหล่านี้ทั้งหมด

เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในถ้ำอสรพิษ ในตอนที่ฉินอวี้โม่สยบราชาอสรพิษเก้าเศียรได้ง่ายดายดั่งพลิกฝ่ามือ เหล่ยเจิ้นเทียนก็ฉุกคิดขึ้นมาได้  แม้ในใจจะไม่ใคร่ยินยอมนัก แต่เพื่อเห็นแก่ประโยชน์แห่งตระกูล เขาจึงต้องทิ้งทิฐิบากหน้ามาขอร้องตระกูลฉิน

ทว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสตระกูลเหล่ยไม่คาดคิดก็คือ ไม่เพียงแต่ฉินอวี้โม่จะไม่ปฏิเสธ แต่นางยังพยักหน้าตกลงอย่างรวดเร็ว

“ผู้อาวุโสเหล่ย ท่านคงจะรู้นะว่าการสยบอสูรมายาระดับเทวะเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองพลังมาก ฉะนั้นแล้วจะให้ข้าช่วยเปล่า ๆ คงจะเป็นไปไม่ได้”

อันที่จริงสำหรับฉินอวี้โม่แล้ว อสูรมายาแค่ไม่กี่ตัวนี้ไม่คณามือของนาง ทว่าเมื่อผู้ที่นางต้องช่วยเป็นผู้คนจากตระกูลเหล่ยที่เหยียดหยามนางมาตั้งแต่ต้นเช่นนี้ หากนางไม่ตักตวงผลประโยชน์จากพวกเขาให้มากที่สุด นางก็ไม่ใช่ฉินอวี้โม่อดีตมือรีดไถแห่งศตวรรษที่ 21 แล้ว

“เรื่องนั้นแน่นอน ต้องการอะไรคุณหนูฉินอวี้โม่เชิญเอ่ยปากมาได้ ขอเพียงแค่เราคิดว่ามันสมเหตุผล เราก็พร้อมจะมอบให้”

เหล่ยเจิ้นเทียนพยักหน้า ในตอนนี้เขามีโอกาสจะได้ใช้ให้ฉินอวี้โม่สยบอสูรมายาให้แล้ว และเขาจะไม่ยอมเสียโอกาสนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์

ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วทำท่าทางราวกับกำลังคิดใคร่ครวญอะไรบางอย่าง ไม่นานนักนางก็ประกาศออกมาเสียงดังฟังชัด “ผู้อาวุโสเหล่ย ท่านคงรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเงิน ผู้ใดก็ล้วนอยากได้เงินทั้งนั้น แต่… ข้าไม่ต้องการเงิน”

เหล่ยเจิ้นเทียนพยักหน้า ‘มันก็แน่อยู่แล้ว นางเป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรจะไปขาดเงินได้อย่างไรกัน’

“และข้าคิดว่าตอนผู้อาวุโสเหล่ยเดินทางออกมาในครั้งนี้คงจะพกอุปกรณ์หรืออาวุธชั้นเลิศมาด้วย หากว่าท่านยอมมอบมันให้ข้า ข้าก็จะยอมทำตามคำร้องขอของผู้อาวุโสเหล่ยสักครั้ง”

แม้ว่าตระกูลฉินและตระกูลเหล่ยจะไม่ต่างจากศัตรูคู่แค้น แต่ครั้งนี้ฉินอีเฟิงก็ไม่ได้เข้าไปขัดขวางการต่อรองของฉินอวี้โม่และเหล่ยเจิ้งเทียน  เขาเองก็คิดเหมือนกับฉินอวี้โม่ที่ไม่เห็นอสูรมายาเหล่านี้อยู่ในสายตา แม้ว่าอีกฝ่ายจะได้พวกมันไปครอบครองก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับตระกูลฉิน

นอกจากนี้ หากดรุณีน้อยผู้พลัดพรากจากตระกูลสาขาใหญ่จะเลือกเส้นทางนี้ ผู้อาวุโสอย่างเขาก็พร้อมที่จะสนับสนุน เขารู้ดีว่าถึงแม้ฉินอวี้โม่จะยังเยาว์วัย แต่ก็เห็นชัดว่านางไม่ใช่คนที่จะยอมให้ผู้ใดรังแกได้ง่าย ๆ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เหล่ยเจิ้นเทียนจะเอาเปรียบนางได้

เมื่อผู้อาวุโสตระกูลอายุน้อยแห่งเหล่ยได้ยินข้อต่อรองของฉินอวี้โม่ เขาก็ผงะไปเล็กน้อยก่อนที่สมองจะหมุนเร็วจี๋เพื่อใคร่ครวญ

เขากำลังคิดว่าจะมีสิ่งของล้ำค่าใดที่จะจูงใจฉินอวี้โม่ได้บ้าง

คุณชายตระกูลเหล่ยไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นภายในถ้ำ เมื่อเขาเห็นผู้อาวุโสในตระกูลเดินไปขอร้องให้ฉินอวี้โม่ช่วยสยบอสูรมายา เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์

“ผู้อาวุโสหก นี่ท่านบ้าไปแล้วหรือถึงได้ไปขอให้ขยะแบบนี้ช่วยสยบอสูรมายา ?”

คุณชายสาม(หาว)ตระกูลเหล่ยเดินไปยืนข้างกายเหล่ยเจิ้นเทียนก่อนจะถามเสียงดังอย่างก้าวร้าว เขาไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้อาวุโสของเขาคิดอยู่แม้แต่น้อย

“เงียบซะ เจ้ายังไม่เข้าใจอะไร จำไว้ต่อไปนี้อย่าว่านางเป็นขยะอีก และอย่าได้ลบหลู่นางอีกเด็ดขาด ฉินอวี้โม่ไม่ใช่คนที่พวกเราควรจะไปยั่วยุ เอาเป็นว่าถ้าเจ้าอยากอายุยืนก็อย่าไปยั่วโมโหนาง”

เหล่ยเจิ้นเทียนกล่าวกับหลานชายด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ฮ่า ๆ หากว่านางไม่ใช่ขยะแล้วนางเป็นอะไร ?”

เสียงของคุณชายสามยังคงดังลั่น น้ำเสียงนั้นยังเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส

“แม้แต่ขยะข้างถนนก็ยังดีกว่าเจ้า อย่างน้อยข้าก็มีพลังพอจะเข้าไปในถ้ำได้ ผิดกับบุรุษจองหองบางคนที่ไม่มีความสามารถพอจะเข้าไป แต่ยังหน้าด้านกล่าววาจาว่าร้ายผู้อื่น !” เมื่อได้ยินถ้อยคำใส่ร้ายเสีย ๆ หาย ๆ ของคุณชายสามตระกูลเหล่ย ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะด่าทอกลับไป

“ผู้อาวุโสเหล่ย ท่านยังต้องการให้ข้าช่วยสยบอสูรมายาอยู่หรือไม่ ถ้าหากว่าท่านต้องการก็จงรีบตัดสินใจ ข้าไม่มีเวลาว่างมากนัก”

ฉินอวี้โม่เร่งรัด นางต้องการสิ่งของล้ำค่าของเหล่ยเจิ้นเทียนมากก็จริง แต่ถ้าหากว่าอีกฝ่ายยังคงชักช้านางเองก็ไม่อยากจะรอแล้วเช่นกัน

ใบหน้าของคุณชายสามเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของฉินอวี้โม่ เขาอยากจะกล่าวบางอย่าง ทว่าก็ถูกเหล่ยเจิ้นเทียนรั้งแขนเป็นเชิงห้ามปราม

“เรื่องนั้นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว คุณหนูฉินอวี้โม่ สิ่งนี้เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร ?”

เหล่ยเจิ้นเทียนนำเอาสิ่งของบางอย่างลักษณะคล้ายหม้อขนาดใหญ่ที่มีสามขาออกมาจากแหวนมิติด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะหันไปขยิบตาให้เหล่ยเซิงครั้งหนึ่งเพื่อส่งสัญญาณบอกให้เขาพาตัวคุณชายสามออกไปก่อน

แม้ว่าเหล่ยเจิ้นเทียนจะอยู่ในระบบอาวุโสของตระกูล แต่เขาก็ไม่ใช่บิดามารดาของคุณชายผู้นี้ ดังนั้นเขาก็ไม่ควรจะออกคำสั่งกับอีกฝ่ายมากนัก  อย่างไรก็ตามในครั้งนี้ผู้อาวุโสอายุน้อยเห็นว่านี่เป็นสถานการณ์จำเป็น เขาจึงต้องใช้การบีบบังคับคุณชายปากมอมผู้นี้สักหน่อย เพราะหากไม่รีบ ฉินอวี้โม่ก็จะไม่รอพวกเขาอีก และพวกเขาก็จะไม่ได้อะไรจากการมาเยือนป่าแสงจันทร์ในครั้งนี้เลย

“คุณหนูฉินอวี้โม่ นี่คือเตาหลอม มันถือเป็นอุปกรณ์ระดับวิญญาณ เจ้าสามารถใช้มันหลอมสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่อาวุธไปจนถึงโอสถได้  ประสิทธิภาพในการหลอมของเตานี้นับว่าสูงกว่าเตาหลอมอาวุธหรือเตาหลอมโอสถธรรมดามากมายหลายเท่า และคุณภาพของผลผลิตที่หลอมได้ก็จะดีกว่าการหลอมในแบบทั่วไปเป็นอย่างมากด้วย”

เหล่ยเจิ้นเทียนอธิบายด้วยรอยยิ้ม  ที่เขาเลือกนำสิ่งนี้มาเสนอก็เพราะว่าแม้จะเสียมันไป เขาก็ไม่เสียหาย เพราะเตาหลอมนี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงสำหรับเขาที่ไม่ใช่ช่างฝีมือหรือผู้หลอมโอสถ

อีกทั้งตระกูลเหล่ยเองก็ไม่มีช่างหลอมระดับสูงหรือผู้หลอมโอสถที่เก่งกาจเลยสักคน ดังนั้นแม้ว่าเตานี้จะมีประสิทธิภาพมากแต่ก็ไม่มีผู้ใดในตระกูลที่ใช้มันได้คุ้มค่า

นี่จึงถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเสนอเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ ถึงอย่างไรฉินอวี้โม่ก็จะช่วยพวกเขาสยบอสูรเทวะเจ็ดถึงแปดดารา  วันนี้พวกเขาจึงถือว่าไม่ขาดทุน

“เตาหลอม ?”

จิตใจของฉินอวี้โม่หวั่นไหวเล็กน้อย พี่ชายผู้พลัดพราก บุคคลสายเลือดเดียวกันที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันมานานของนางนั้นได้ยินมาว่าเขาก็เป็นผู้หลอมโอสถเช่นกัน มันคงจะดีไม่น้อยเลยหากนางจะนำเอาเตาหลอมนี้ไปเป็นของขวัญสำหรับเขา

อย่างไรก็ตาม นางก็ยังแสร้งตอบออกไปด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง “ข้าไม่ใช่ช่างหลอมหรือผู้หลอมโอสถ แล้วข้าจะเอาเตาหลอมนี่ไปทำอะไร ?”

เมื่อเหล่ยเจิ้นเทียนได้ฟังสิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย บุรุษหยิ่งยโสผู้อุตส่าห์บากหน้ามาขอร้องศัตรูเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมา

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเหล่ยเจิ้นเทียนเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว ฉินอวี้โม่ก็รีบกล่าวต่อ “แต่อย่างไรมันก็ยังถือว่าเป็นของที่ดี เหมาะจะนำไปเป็นของกำนัลให้สหาย ถ้าเช่นนั้น เป็นอันว่าข้าตกลงก็แล้วกัน”

หลังจากได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเหล่ยเจิ้นเทียนก็ค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

“ถ้าเช่นนั้น เราก็ต้องขอรบกวนคุณหนูฉินอวี้โม่แล้ว”

เหล่ยเจิ้นเทียนพยักหน้า และพาฉินอวี้โม่ไปยังจุดที่สมาชิกของตระกูลเหล่ยรวมตัวกันอยู่

และในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่ได้เข้าใจว่า เหตุใดเหล่ยเจิ้นเทียนจึงใจกว้างจนถึงกับยอมมอบของดีเช่นนี้ให้นาง  เพราะสิ่งที่นางเห็นอยู่ตรงหน้าก็คืออสูรเทวะเจ็ดถึงแปดดารา !

ทว่ารอยยิ้มร้ายก็ยังคงปรากฏบนใบหน้างาม เพราะยิ่งนางสยบอสูรมายาและทำพันธสัญญากับพวกมันได้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้อดีตสาวนักฆ่าก็มีแต่ได้กับได้