ตอนที่ 61 มังกรทองห้าเล็บ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฉินอีเฟิงและคนอื่น ๆ มองดูชวี่เซียวสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรด้วยความกังวล ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ทันใดนั้น บุรุษอาวุโสจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็หยุดเคลื่อนไหวและสภาวะพลังของราชาอสรพิษเก้าเศียรฟื้นฟูกลับขึ้นมาอย่างฉับพลัน

พวกเขาทั้งหมดได้แต่หวาดหวั่นอยู่ภายในใจ ‘นี่หมายความว่าเจ้าคนบัดซบผู้นี้มันสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรได้แล้วอย่างนั้นรึ !’

…เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายถอนหายใจอย่างปลดปลง ยิ่งเมื่อเห็นราชาอสรพิษเก้าเศียรยืดกายใหญ่โตขึ้น หัวใจของพวกเขาก็แทบจะหยุดเต้นในทันที…

ทว่าแท้จริงแล้ว ในระหว่างที่ชวี่เซียวกำลังสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรอยู่ จู่ ๆ พลังมายาของเขาก็ถูกตัดขาดไปโดยสิ้นเชิง ในขณะที่สภาวะพลังของราชาอสรพิษเก้าเศียรก็ฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่น ซึ่งนั่นทำให้เขาอดที่จะสะดุ้งขึ้นมาไม่ได้

ยังไม่ทันที่จะหายจากอาการงุนงง ในอึดใจต่อมาชวี่เซียวก็ได้ยินเสียงของฉินอวี้โม่ และเมื่อหันไปมองเขาก็พบวว่าสตรีตระกูลฉินผู้น่ารำคาญกำลังยืนอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของร่างราชาอสรพิษเก้าเศียร

ทันใดนั้นสีหน้าของชวี่เซียวก็เปลี่ยนเป็น ใบหน้าของผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด

“เจ้าเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรอย่างนั้นรึ ?”

ชวี่เซียวชี้ไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ มือของเขาสั่นเทาและปลายนิ้วก็สั่นระริกด้วยความขุ่นแค้น  สตรีน้อยผู้นี้อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น แล้วนางจะสามารถสยบอสูรเทวะราชันเจ็ดดาราได้อย่างไร ที่สำคัญเขายังไม่เคยได้ยินว่าบนแผ่นดินหวงหลิงมีผู้ฝึกสัตว์อสูรที่อายุน้อยถึงเพียงนี้อยู่ด้วย !

“ถูกต้องแล้ว”

ฉินอวี้โม่ยิ้มหวานหยด ตอนนี้นางกำลังอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก

หลังจากทำพันธสัญญากับราชาอสรพิษเก้าเศียร ฉินอวี้โม่ก็ทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตนภมายาได้สำเร็จ ในขณะเดียวกันราชาอสรพิษเก้าเศียรเองก็เลื่อนระดับขึ้นด้วย มันกลายเป็นอสูรเทวะราชันเก้าดาราที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมแล้ว

ไม่เพียงเท่านั้น อสูรมายาตัวอื่นๆ ของนางก็เลื่อนระดับขึ้นไปอย่างพร้อมหน้า

ม่อเสียเลื่อนขึ้นสู่ระดับเทวะราชันหกดารา เสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินทำลายโซ่ตรวนแห่งพันธนาการได้สำเร็จและวิวัฒนาการกลายเป็นอสูรเทวะราชันในที่สุด นอกจากทั้งสองตัวแล้ว  พยัคฆ์สาวขนทองเสี่ยวเยี่ยผู้เรียบร้อยเองก็เลื่อนระดับขึ้นเป็นอสูรเทวะราชันแล้วเช่นกัน ทว่าการพัฒนาที่น่ากลัวที่สุดกลายเป็นของเจ้าเพียงพอนที่ยังคงหลับปุ๋ยไม่รับรู้เรื่องราว เพราะจากเดิมที่มันเพียงเติบโตขึ้นมาและยังไม่มีระดับ  ตอนนี้เจ้าตัวเล็กเลื่อนระดับขึ้นมารวดเดียวจนกลายเป็นอสูรเทวะหนึ่งดารา

เวลานี้ฉินอวี้โม่เพิ่งเข้าใจถึงความสำคัญของการทะลวงผ่านจากขอบเขตมายารัตนะมาสู่นภมายา นักฆ่าสาวได้รับรู้แล้วว่าความทรงพลานุภาพและความแข็งแกร่งอย่างเหนือชั้นของจอมยุทธ์นภมายาที่นางสงสัยมานานนั้นเป็นเช่นไร ในขณะที่อสูรมายาทั้งหลายในสังกัดก็ได้รับอานิสงส์จากความสำเร็จนี้ไปด้วย

“เจ้ามันต่ำช้า !”

เมื่อได้ยินคำตอบรับเสียงดังและรอยยิ้มหน้าระรื่นของฉินอวี้โม่ ชวี่เซียวก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงตวาดอย่างโกรธแค้น  เขากำลังกระหยิ่มใจเพราะคิดว่ากำลังจะได้ราชาอสรพิษเก้าเศียรมาครอบครอง  ไม่คิดเลยว่าสตรีบัดซบนี่จะโผล่ออกมาและแย่งสิ่งที่ควรจะเป็นของเขาไปหน้าด้าน ๆ  เรื่องนี้ทำให้เขาโกรธแค้นจนตัวสั่น

“อ่าว ! ผู้อาวุโสชวี่ อยู่ ๆ ดีทำไมถึงด่าตัวเองอย่างนั้นเล่า !”

ฉินอวี้โม่ไม่ได้โกรธเคืองถ้อยคำประณามของบุรุษอาวุโสผู้ด่าทอคนอื่นไม่ดูตัวเอง   ทว่านางกลับรู้สึกเหยียดหยามและติดจะขยะแขยงอีกฝ่ายเสียมากกว่า

“พวกเราทุกคนที่นี่ต่างก็ร่วมมือกันทำงานอย่างหนักเพื่อรับมือกับราชาอสรพิษเก้าเศียร แต่ท่านกลับทำตัวขี้ขลาดเอาแต่หลบซ่อนอยู่ด้านหลัง  ทว่าเมื่อพวกเราสยบราชาอสรพิษได้จนอยู่ในสภาพเหนื่อยล้า ท่านก็หน้าหนาหน้าทนออกมาตักตวงผลประโยชน์  เท่านั้นยังไม่พอ  ยังกล้าทำพฤติกรรมเลวทรามข่มขู่ผู้อื่น  ทีนี้บอกมาซิว่าใครกันแน่ที่ต่ำช้า !”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปาก ทว่าดวงตาคู่งามกลับไม่ยิ้มแม้แต่น้อย ชวี่เซียวผู้นี้หน้าหนายิ่งกว่ากำแพง เขาไม่ลงแรงทำสิ่งใดเลยแต่กลับคิดจะชุบมือเปิบเอาผลประโยชน์ไปเสียดื้อ ๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังคิดจะทำร้ายจอมยุทธ์ทั้งหลายในตอนที่พวกเขาอ่อนแรงไร้ทางสู้  เขาคงจะคิดไม่ถึงเป็นแน่ว่าสุดท้ายจะถูกฉินอวี้โม่ชิงราชาอสรพิษเก้าเศียรไป

แน่นอนว่าในเวลานี้ผู้อาวุโสชวี่จะต้องโกรธเป็นธรรมดา แต่เขาไม่รู้เลยว่าคนที่ไม่มีคุณสมบัติจะด่าผู้อื่นมากที่สุดก็คือตัวเขาเอง

…ด้วยสัญชาตญาณแห่งนักฆ่าทำให้ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นว่า หลังจากที่ถูกปฏิเสธข้อเสนอเอาแต่ได้ไป แววตาและใบหน้าของชวี่เซียวก็ดูไม่น่าไว้วางใจเลยแม้แต่น้อย ใบหน้ามืดมนของเขามีบางอย่างเคลือบแฝง สายตาของเขาก็เอาแต่จับจ้องราชาอสรพิษเก้าเศียรไม่วางตา  เมื่ออดีตคุณหนูคนงามลองไตร่ตรองดูแล้วก็มีความเป็นไปได้สูงว่าบุรุษอาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์ผู้นี้น่าจะกำลังหาวิธีเอาราชาอสรพิษเก้าเศียรมาครอบครอง และแน่นอนว่าวิธีเดียวก็คือการรอคอยจังหวะเวลาที่เจ้างูยักษ์เก้าหัวอยู่ในช่วงอ่อนกำลังถึงขีดสุดและเข้าไปสยบมันให้ได้

ในคราแรกฉินอวี้โม่ไม่แน่ใจนักว่าจังหวะเวลาดังกล่าวจะเกิดหรือไม่ แต่นางก็ตัดสินใจในฉับพลันนั้นเลยว่าหากมีโอกาสที่สามารถสยบอสูรเทวะราชันตัวนี้เกิดขึ้นจริง นางจะชิงลงมือสยบมันมาครอบครองก่อนชวี่เซียวให้ได้ เพราะสิ่งหนึ่งที่นางมั่นใจคือผู้อาวุโสที่กำลังเคียดแค้นจากการถูกปฏิเสธความร่วมมือนั้นย่อมมีเจตนาไม่ดีอย่างแน่นอน

และด้วยเหตุนี้นางจึงให้เสี่ยวโร่วเป็นตัวแทนตระกูลฉินร่วมท้าชิงไข่ประหลาดแทนตัวเอง  อีกอย่างหนึ่งเรื่องเก็บไข่นั้นนางไว้ใจโอวหยางชิงเฟิงอยู่แล้ว  เมื่อบอกเล่าแผนการนี้ให้แก่เขา คนหนุ่มหน้าใสก็ไม่คัดค้านอะไร ดูแล้วเขาก็คงจะเห็นชอบด้วย

ในขณะที่คนอื่นๆ รับมือกับราชาอสรพิษเก้าเศียร ฉินอวี้โม่ก็คอยจับตาดูชวี่เซียวอยู่เงียบๆ  เมื่อเห็นว่าผู้ฝึกสัตว์อาวุโสเอาแต่จับจ้องมองดูราชาอสรพิษเก้าเศียรโดยไม่ยอมลงแรงบวกกับเมื่อสถานการณ์เริ่มคับขันจนเหล่ยเจิ้นเทียนต้องใช้ท่าไม้ตายนภายุทธ์  อดีตนักฆ่าสาวก็เริ่มรู้แล้วว่าโอกาสทองที่ชวี่เซียวกำลังคอยท่าอยู่นั้นคือเมื่อใด ในตอนนั้นนางจึงรีบลงมือดำเนินแผน ‘ดัดหลังคนพาล’ โดยไม่ลังเล

ฉินอีเฟิงและยอดฝีมือจากเมืองหลวงทั้งหลายจ้องมองฉินอวี้โม่ดรุณีน้อยจากเมืองอันห่างไกลด้วยแววตาตกตะลึง  และยิ่งฟังนางกล่าวกับผู้อาวุโสชวี่เซียวผู้นั้นแล้ว พวกเขาก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป

ฉินอีเฟิงและโอวหยางหมิงมีความสุขเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร  และยังสามารถชิงราชาอสรพิษเก้าเศียรไปจากมือของชวี่เซียวได้  ซึ่งนี่ก็ทำให้พวกเขาหลบรอดจากหายนะกันมาอย่างหวุดหวิด พวกเขาทั้งหมดล้วนชื่นชมความเฉลียวฉลาดของฉินอวี้โม่อยู่ในใจ

ส่วนสีหน้าของเหล่ยเจิ้นเทียนในเวลานี้ไม่ถือว่าดีเท่าไหร่นัก แต่เขาก็คิดว่านี่ยังดีกว่าให้ชวี่เซียวได้ราชาอสรพิษเก้าเศียรไปครอบครอง เพราะผู้ฝึกสัตว์อสูรอาวุโสจอมเอาเปรียบผู้นั้นข่มขู่ไว้ว่าจะคิดบัญชีกับทุกคนในทันที

ทว่าฉินอวี้โม่นั้น แม้ว่าการได้รับราชาอสรพิษเก้าเศียรไปจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้นางอย่างมหาศาลและทำให้ตระกูลฉินดูแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย  แต่หากประเมินในด้านของความเสี่ยงเฉพาะหน้าที่มีต่อตัวเขาในตอนนี้ก็ยังไม่นับว่าสูงมากนัก  อย่างน้อย ๆ คุณหนูบ้านนอกผู้นั้นก็ทำให้ชวี่เซียวเสียหน้าครั้งใหญ่ได้ ดังนั้นแล้วเหล่ยเจิ้นเทียนจึงพยายามจะปั้นสีหน้าให้ปกติมากที่สุด

ขณะที่ทางด้านหลินซวงจากสมาคมทหารรับจ้างนั้นไม่ได้สนใจเรื่องที่ว่าผู้ใดจะได้ครอบครองราชาอสรพิษเก้าเศียร เขาเพียงห่วงความปลอดภัยของทุกคนในที่แห่งนี้  ขอเพียงแต่ผู้ที่ได้อสูรเทวะราชันไปไม่ใช่ชวี่เซียวก็วางใจได้มากแล้ว มิฉะนั้นเขาเกรงว่าวันนี้คงไม่มีใครได้รอดกลับไปแน่

“นังเด็กสารเลว นี่เจ้า…”

ถ้อยคำประณามหยามเหยียดของฉินอวี้โม่ทำให้สีหน้าของชวี่เซียวเปลี่ยนเป็นคล้ำเข้ม  เขากำลังโกรธจนถึงขีดสุดและไม่สามารถกล่าววาจาใด ๆ ได้อีกแล้ว

ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ผู้อาวุโสชวี่ ที่นี่ไม่มีอะไรให้ท่านทำแล้ว ท่านอยากจะกลับไปเองหรือจะให้ข้าช่วยส่งดีล่ะ ?!”

กล่าวจบ ฉินอวี้โม่ก็หันไปมองราชาอสรพิษเก้าเศียรที่ชูคออยู่ไม่ไกล ก่อนจะหันกลับมาส่งรอยยิ้มโหดเหี้ยมให้ผู้อาวุโสหน้าไม่อายนามชวี่เซียวผู้นั้นเป็นการข่มขู่

“ดี! ความอัปยศในวันนี้ข้าจะขอจดจำเอาไว้!”

ชวี่เซียวมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาอาฆาตแค้น เขารู้ดีว่าจะดันทุรังอยู่ต่อไปก็ไร้ประโยชน์แล้ว ทั้งยังมีแต่จะสร้างภัยกับตัวเอง  ไม่ว่าจะเป็นราชาอสรพิษเก้าเศียรหรือไข่ประหลาดเขาก็ไม่มีสิทธิ์ใดๆ อีกเป็นแน่  ผู้ฝึกสัตว์อสูรอาวุโสจึงกล่าวคำข่มขู่สตรีน่าตายที่เขานึกชังไปครั้งหนึ่งแล้วหันหลังกลับเดินออกจากถ้ำไปอย่างรวดเร็ว  ก่อนหน้านี้เขาเองก็ขู่ผู้อาวุโสสี่ตระกูลใหญ่นั้นไปมากโข ถ้าคนพวกนั้นฟื้นพลังกลับมาได้ เขาก็เกรงว่าอาจจะไม่มีโอกาสออกจากถ้ำอีกเลย

คนอื่นๆ ไม่มีผู้ใดคิดจะหยุดยั้งหรือขัดขวางชวี่เซียว พวกเขามองผู้อาวุโสหน้าไม่อายแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรที่กำลังเดินหน้าหด คอตก กลับออกจากถ้ำไปด้วยความสะใจ ทุกผู้คนในที่แห่งนั้นล้วนยกยิ้มอย่างเหยียดหยาม

“ทำได้ดีมากแม่นางอวี้โม่ วิเศษจริงๆ !”

โอวหยางหมิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะร่าและกล่าวชมฉินอวี้โม่จากใจจริง

“ท่านลุงสามชมเกินไปแล้ว  ข้าเพียงแค่ทำสิ่งที่พอทำได้เท่านั้น”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างถ่อมตัว

“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร เรื่องนี้ทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ”

ฉินอีเฟิงมองฉินอวี้โม่และพยักหน้าอย่างพึงพอใจ พรสวรรค์สูงส่ง ฉลาดหลักแหลม อนาคตของสตรีน้อยผู้นี้ช่างไร้ขีดจำกัด ถ้าหากเขาสามารถพานางกลับไปที่ตระกูลฉินได้  ตระกูลของพวกเขาก็จะมีผู้ฝึกสัตว์เพิ่มมาอีกคน …ครานี้แหละ เขาอยากจะรู้นักว่าตระกูลเหล่ยจะกล้ามาหาเรื่องพวกเขาอีกหรือไม่ !

“ลุงเจ็ด ข้าแค่มีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะการสยบอสูรมายามาโดยบังเอิญ อันที่จริงก็ไม่ถือเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรเต็มตัว”

ฉินอวี้โม่ตอบกลับด้วยยิ้มและไม่ได้กล่าวอธิบายสิ่งใดเพิ่ม

“ผู้อาวุโสฉินยินดีด้วย ตระกูลของท่านได้ผู้มีพรสวรรค์เพิ่มมาอีกหนึ่งคนแล้ว ต่อไปตระกูลฉินคงขึ้นมาเป็นขุมกำลังแนวหน้าได้ !”

หลินซวงยิ้มจริงใจ ตระกูลของพวกเขาไม่ได้มีความบาดหมางหรือเรื่องเคืองแค้นกับตระกูลฉิน เมื่อให้พวกเขาได้ดี เขาจึงเข้ามากล่าวแสดงความยินดีด้วยตามมารยาทที่ถูกที่ควร

“แนวหน้าที่ไหนกัน ? ท่านก็กล่าวเกินไป หากเทียบกับนายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างแล้ว เสี่ยวอวี้โม่ของข้ายังด้อยกว่ามาก”

ฉินอีเฟิงยิ้ม ในตอนนี้เขาถือว่าฉินอวี้โม่เป็นคนในครอบครัวแล้ว

เมื่อได้ฟังที่พวกเขาคุยกัน ฉินอวี้โม่ก็ส่ายศีรษะทว่าก็ไม่ได้กล่าวอะไร ตอนนี้นางเองก็อยากจะไปเยือนตระกูลฉินในเมืองหลวงสักครั้งเพื่อคลายข้อสงสัยที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะเพิ่งตัดขาดจากตระกูลฉินที่เมืองหลิงซี อีกทั้งยังมีเรื่องหมางใจกับฉินเทียนเรื่องมารดา อดีตคุณหนูจึงไม่รู้ว่าท่าทีของตระกูลฉินแห่งนครไป๋อวิ๋นที่มีต่อตนเองจะเป็นเช่นไร

— ปัง ! —

ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอย่างเริงร่าเพราะเรื่องร้ายผ่านไปแล้วนั้น อีกด้านหนึ่งของโถงถ้ำก็เกิดเสียงดังขึ้น  จอมยุทธ์หน่วยแนวหน้ารีบหันไปมองทันที  ในเวลานี้ ทางด้านของหน่วยชิงไข่ประหลาดได้มีการปะทะกันเกิดขึ้น !  เหล่าผู้ท้าชิงไข่ทั้งหลายจากตระกูลต่าง ๆ กำลังเปิดศึกแย่งชิงไข่กันอย่างดุเดือด

ตอนนี้โอวหยางชิงเฟิงคว้าไข่มาอยู่ในมือได้แล้ว ขณะที่เสี่ยวโร่วและม่อเสียก็ยืนอยู่ด้านหน้าเขาเพื่อคุ้มกัน

“ข้าว่าพอแค่นี้เสียดีกว่า !”

โอวหยางชิงเฟิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเพื่อบอกให้อีกฝ่ายหยุดมือพร้อมกล่าวจริงจัง

ทางฝั่งเขามีเสี่ยวโร่วและอสูรเทวะราชันคอยช่วยเหลือ อย่างไรก็เป็นฝ่ายที่ได้เปรียบกว่า แม้ว่าจะสู้กันต่อไปก็ไม่มีใครชิงไข่มาจากเมืองเขาไปได้แน่ ยิ่งกว่านั้นการต่อสู้กับราชาอสรพิษเก้าเศียรในอีกด้านหนึ่งก็จบลงแล้วด้วย ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่เหล่าผู้ชิงไข่จะต้องต่อสู้กันต่อไป

คนอื่น ๆ หันมามองหน้ากัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่อยากยินยอม ทว่าก็ได้แต่พยักหน้าอย่างจนใจ

พวกเขาเข้าใจดีว่าที่โอวหยางชิงเฟิงกล่าวมาถูกต้อง ภายใต้การคุ้มกันของเสี่ยวโร่วและอสูรเทวะราชัน พวกเขาไม่มีทางเข้าใกล้โอวหยางชิงเฟิงได้  ไม่ต้องพูดถึงตัวของโอวหยางชิงเฟิงเองที่เป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาผู้ซึ่งกำลังถือไข่อยู่

โอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วยิ้มโล่งใจและเดินกลับมารวมกลุ่มกับเหล่าผู้อาวุโสในตระกูล

“คุณหนูไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ ?”

เมื่อมาถึงเสี่ยวโร่วก็ไม่มองผู้อื่นแม้แต่น้อย นางมองแต่คุณหนูของนางและกล่าวถามด้วยความห่วงใยในทันที

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ อดีตคุณหนูผู้งดงามยิ้มแล้วตอบเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล”

เสี่ยวโร่วพยักหน้าพลางหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“อวี้โม่ ไข่อยู่นี่แล้ว !”

โอวหยางชิงเฟิงเดินกลับมาพร้อมกับไข่ เขายื่นมันให้ฉินอวี้โม่โดยไม่ลังเล ใบหน้าของหนุ่มหน้ามนคนหน้าใสยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับว่าภูมิใจนักหนาที่ชิงของขวัญเพื่อสาวงามมาได้

โอวหยางหมิงเห็นการกระทำของโอวหยางชิงเฟิง ทว่าเขาก็ไม่ได้เอ่ยคัดค้าน ผู้เป็นลุงสามของคุณชายสองได้แต่ลอบทอดถอนใจอยู่เงียบ ๆ … ‘เจ้าหลานคนนี้จะใจกว้างเกินไปแล้ว !’

เมื่อฉินอวี้โม่เห็นการกระทำของโอวหยางชิงเฟิงนางก็ชะงักไปอย่างคาดไม่ถึง  ทว่าด้วยรอยยิ้มใสซื่อแสนจริงใจนั้นก็ทำให้สาวงามผู้กำลังนึกจะปฏิเสธของกำนัลนั้นทำไม่ลง  หลังจากลังเลอยู่นานในที่สุดนางก็เข้าใจความตั้งใจของชายหนุ่ม

…เหมือนว่าโอวหยางชิงเฟิงจะมุ่งมั่นตั้งใจแล้วว่าจะมอบไข่ประหลาดเป็นของขวัญให้ฉินอวี้โม่ !

ฉินอวี้โม่ไม่สนใจสายตาของผู้คนชั่วขณะแล้วรับไข่มาไว้ในมือ

แท้จริงแล้วนางแค่ต้องการรับมันมาดูเท่านั้น แล้วตั้งใจว่าจะส่งมันคืนให้โอวหยางหมิงตัวแทนแห่งตระกูลโอวหยาง  ทว่าในตอนที่กำลังจะยกไข่เรืองแสงสีสันสดสวยขึ้นดู ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเสียงปริแตกเบา ๆ …จู่ ๆ เปลือกไข่ก็กะเทาะออกมา !

เกิดเสียปริแตกดังอย่างต่อเนื่องก่อนที่เปลือกไข่ประหลาดจะแตกกระจายออกมา  ในตอนนั้นเองสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่ยังไม่ทราบเผ่าพันธุ์ที่ชัดเจนก็ปรากฏตัวต่อสายตาของทุกผู้คน มันตัวเล็กมากและมีขนาดเท่ากับหนึ่งฝ่ามือของฉินอวี้โม่เท่านั้น เจ้าตัวน้อยนั่งแหมะอยู่บนฝ่ามือเรียวของสาวงามและจ้องมองนางตาแป๋ว ไม่ทราบว่าเป็นเพราะลูกตาของมันใหญ่มากหรือตัวของมันเล็กเกินไปจึงทำให้ตาดำ ๆ ทั้งสองข้างดูกลมบล็อกอย่างน่ารักน่าชัง

สิ่งมีชีวิตตัวน้อยนี้ดูจะมีความสุขมากที่ได้เห็นฉินอวี้โม่ ทว่ายังไม่ทันที่ฉินอวี้โม่จะได้ตอบสนองสิ่งใด  นางก็สัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณแปลกประหลาดสายหนึ่งเล็ดลอดเข้ามาในห้วงจิต และเสี้ยวลมหายใจหลังจากนั้นสาวงามก็สัมผัสได้ถึงจิตใจของเจ้าตัวน้อยตัวนี้

“อะไรกัน ? เจ้าตัวเล็กนี่ทำพันธสัญญากับข้า ! เหตุใด จู่ ๆ พันธสัญญาก็ขึ้นเองเช่นนี้ ?”

ฉินอวี้โม่รีบหันมามองโอวหยางชิงเฟิง อดีตนักฆ่าสาวไม่ต้องการให้สหายหนุ่มเข้าใจตนเองผิดไป

“อย่างนั้นหรือ ? ข้าว่าเจ้าตัวน้อยตัวนี้คงไม่ธรรมดาซะแล้ว !”

โอวหยางชิงเฟิงไม่คิดมาก ตรงข้ามสิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำให้หนุ่มหน้าใสมีความสุขเสียมากกว่า

โอวหยางหมิงหมดคำพูดในบัดดล ‘เห้อ ! เจ้าหลานซื่อบื้อ จะโง่ไปถึงไหน’ เห็นได้ชัดเลยว่าเขาพยายามอย่างหนักเพื่อชิงมันมา แล้วเหตุใดถึงเอาไปมอบให้ผู้อื่น อีกทั้งยังมองดูผู้อื่นทำพันธสัญญากับอสูรมายาที่เหนื่อยยากหามาแทบตายด้วยท่าที่มีความสุขได้เช่นนั้น

…ดูไปแล้วคงไม่แคล้วว่า คุณชายรองตระกูลโอวหยางจะกำลังตกหลุมรักสหายผู้มีรูปโฉมงดงามของตนเข้าให้แล้ว

ฉินอีเฟิงยิ้ม เขาไม่คิดว่าครั้งนี้ฉินอวี้โม่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มหาศาลถึงเพียงนี้ ในฐานะผู้อาวุโสในตระกูลและในฐานะลุงเจ็ด เขาอดรู้สึกดีใจไปกับนางไม่ได้

“แม่จ๋า…”

สิ่งมีชีวิตตัวน้อยรู้สึกได้ถึงสายใยและความผูกพันที่มีต่อฉินอวี้โม่  ทันใดนั้นเจ้าตาแป๋วก็กางปีกเล็ก ๆ ทั้งสองข้างออก มันกะพริบตากลม ๆ แสนบ้องแบ๊วอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะบิดขี้เกียจเหยียดขยายร่างเล็ก ๆ ฮึบฮับไปมา เจ้าตัวน้อยพยายามกระพือปีกและบินขึ้น

สิ่งมีชีวิตที่เพิ่งออกจากไข่บินขึ้นมาเกาะบนไหล่ของฉินอวี้โม่ก่อนที่จะแลบลิ้นเล็กจิ๋วของมันเลียแก้มนวลเบา ๆ อยู่หลายครั้ง

ฉินอวี้โม่หมดคำพูด ในตอนนี้จู่ ๆ นางก็กลายเป็นแม่คน… ไม่สิ… แม่ของอสูรมายาวัยทารกไปแล้ว*…* ทั้ง ๆ ที่ไม่ว่าจะชีวิตนี้หรือชีวิตก่อน ‘เธอ’ ก็ยังไม่เคยผ่านชีวิตการแต่งงานมาก่อนเลยด้วยซ้ำ !

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองดูความเด๋อด๋าอย่างน่ารักน่าชังของเจ้าตัวน้อยตัวนี้ ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปสัมผัสหัวของมันเบา ๆ

แม้ว่ามันจะมีรูปร่างคุ้นตา ทว่ามันก็ยังตัวเล็กเกินไป  หลังจากมองจ้องและพยายามพิจารณากันอยู่นาน ทุกคนในที่แห่งนั้นก็ยังคงดูไม่ออกว่าสิ่งมีชีวิตที่เพิ่งฟักเป็นตัวตัวนี้คืออสูรมายาชนิดใด

อดีตสาวนักฆ่ารู้สึกว่ามันดูคล้ายกับสิ่งที่เรียกว่ามังกรในชีวิตก่อน ทว่าก็ไม่มั่นใจนัก ตอนนี้ถึงอย่างไรเจ้าตัวนี้ก็ยังเล็กมาก และมากเกินกว่าจะดูลักษณะของมันให้ชัดเจนได้

‘นายหญิง เจ้าตัวนี้คือมังกรจริง ๆ และมันยังเป็นมังกรระดับสูงในหมู่เผ่าพันธุ์มังกร  สายเลือดของมันบริสุทธิ์มากและศักยภาพของมันก็สูงส่งไร้ขีดจำกัด !’

เสียงของซิวดังขึ้นมาในจิตของฉินอวี้โม่เพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับตัวตนของเจ้าหนูน้อยตัวนี้

‘เห็นกรงเล็บของมันหรือไม่ มือแต่ละข้างของมันมีห้าเล็บ ข้าคิดว่ามันอาจจะเป็น ‘มังกรทองห้าเล็บในตำนาน’ !’

เมื่อได้ยินที่ซิวบอก ฉินอวี้โม่ก็จับอุ้งเท้าน้อยของเจ้าตัวเล็กยกขึ้นดูชัด ๆ ทันที และนางก็เห็นว่ามันมีห้าเล็บจริง ๆ เสียด้วย อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูพยักหน้าเบา ๆ อย่างตื่นเต้น… เหมือนว่านางจะพบกับสุดยอดสมบัติเข้าให้แล้ว