“อ๊ะ นั่น…”
ไม่มีจังหวะให้ทันได้ห้ามปราม
อาสทาน่าหยิบเอากล่องเข็มกลัดไปถือไว้ราวกับเป็นของของตัวเอง เขาเปิดฝากล่องออกในทันที
“เข็มกลัดเพชร?”
“เพชรเม็ดใหญ่ขนาดนี้…”
อาสทาน่ากับจักรพรรดินีต่างก็ตกใจจนพูดพึมพำออกมาพร้อมกัน
หมับ!
เฟเรสลุกขึ้นจากที่นั่ง ยื่นมือไปกระชากกล่องเข็มกลัดกลับคืนมาอย่างรุนแรง
“เจ้า…!”
จักรพรรดินีถลึงตาจ้องเฟเรสเขม็ง
“คนอย่างเจ้าใช้วิธีใดถึงหาของแบบนั้นมาได้…”
อาสทาน่าแทบไม่อยากเชื่อว่าเข็มกลัดนั่นเป็นของเฟเรส
“มันเป็นเข็มกลัดที่หม่อมฉันมอบให้เป็นของขวัญเพคะ”
เธอยิ้มถ่อมตัวพลางพูด
“เจ้าชายลำดับที่สอง หากไม่ว่าอะไร ช่วยเปิดกล่องเข็มกลัดให้ทุกคนได้ชื่นชมมันต่ออีกหน่อยได้มั้ยเพคะ”
อวดให้พวกมันได้เห็นชัดๆ กันไปเลย!
เฟเรสแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากทำเช่นนั้น แต่เขาก็ยอมเปิดกล่องเข็มกลัดออกตามคำสั่งของเธออย่างว่าง่าย
นัยน์ตาของทั้งสามคนที่ได้เห็นอัญมณีส่องประกายระยิบระยับอย่างเจิดจรัส ต่างก็มีความอิจฉาและความโลภแสดงออกมาให้เห็น
เยี่ยมมากเจ๋งไปเลย!
“ฮ่าฮ่า เจ้าชายลำดับที่สองมีเพื่อนที่ดีจริงๆ นะ”
แต่คนที่ยังพอจะมีสติเหลืออยู่ ก็มีแต่จักรพรรดิผู้ได้ครอบครองเพชรเม็ดใหญ่ไว้ในกำมืออยู่ก่อนแล้วเท่านั้น
เท่าที่เธอรู้มา จักรพรรดินีกับอาสทาน่ายังไม่มีเพชรไว้ในครอบครอง
ตระกูลอังเกนัสได้ทำการสั่งซื้อมาหลายครั้งแล้วก็จริง แต่เธอผลักไสพวกเขาไปอยู่ในลำดับสุดท้าย
ดังนั้นตราบใดที่พวกนั้นไม่ทุ่มเงินขอซื้อจากชนชั้นสูงตระกูลอื่นด้วยราคาที่มากกว่าราคาตลาด กว่าจักรพรรดินีจะได้เพชรมาไว้ในครอบครองก็คงจะอีกนานทีเดียว
เหมืองลีลาร์ที่แต่เดิมควรจะเป็นทรัพย์สินของอังเกนัส ตอนนี้มันกลายเป็นทรัพย์สินของเธอแล้ว
แม้กระทั่งเพชรเม็ดนี้ หากเป็นชีวิตก่อน มันก็คงจะเป็นของในครอบครองของจักรพรรดิกับอาสทาน่าแต่ว่า
‘ตอนนี้มันเป็นของเธอแล้วย่ะ’
เธออยากจะพูดกับทั้งสองคนที่ได้แต่นั่งเหม่อมองเข็มกลัดเพชรอยู่ข้างกันเสียจริง
บ้านเจ้าไม่มีของแบบนี้ใช่มั้ยล่ะ
หลายวันผ่านไป หลังกลับจากการเยี่ยมเยียนเมืองหลวง
ฟีเรนเทียกลับมายังสำนักงานของร้านค้าเพลเลสอีกครั้ง
“ยักยอกเงินไปเยอะเหมือนกันนะครับเนี่ย”
เครย์ลีบันขมวดคิ้วแน่น เขาส่งเอกสารให้เธอพลางพูดขึ้น
อันที่จริงหลังจากจบงานเลี้ยงของร้านค้าเพลเลส เธอก็ได้ขอความช่วยเหลือจากเครย์ลีบันให้เขาช่วยอะไรบางอย่าง
การแสดงละครของเวสตินยอดเยี่ยมมาก ขนาดเครย์ลีบันที่รู้เรื่องเวสตินกับอังเกนัสร่วมมือกันลับหลัง ยังต้องเอียงคอด้วยความงุนงง
ไม่มีใครสงสัยในความรู้สึกของเวสตินที่มีต่อชานาเนสเลยแม้แต่น้อยแต่พอเธอเล่าฉากที่เธอได้เห็นมาด้วยตัวเองให้ฟัง เครย์ลีบันก็รีบพับแขนเสื้อขึ้น รวบรวมกำลังพลและเส้นสายต่างๆ ที่เขายังมีเหลืออยู่ในลอมบาร์เดีย แอบสืบให้เธออย่างลับๆ ในทันที
“มากจนน่าแปลกทีเดียวครับที่ยังไม่ถูกจับได้”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ครับ หากตรวจสอบให้ละเอียดเสียหน่อย เพียงไม่นานก็จะพบจุดที่น่าสงสัยในทันทีเลยครับ…แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสงสัยในตัวเวสติน ชูลส์เลยสักคนน่ะสิครับ”
เพราะเขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเวสติน ชูลส์ผู้เป็นถึงบุตรเขยของตระกูลลอมบาร์เดีย
จะมีใครคิดล่ะว่าสมาชิกของตระกูลลอมบาร์เดียจะแอบยักยอกทรัพย์สินของตระกูลออกไป
“มีแค่คนที่รู้สถานการณ์ภายในเป็นอย่างดีเท่านั้นครับที่จะมองออก เรื่องนี้มองจากภายนอกแล้วดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ”
เพียงแค่เรื่องต่างๆ ที่เครย์ลีบันใช้เวลาไม่กี่วันก็สืบรู้มาได้ พวกเราก็ต้องนั่งสนทนากันพักใหญ่
เวสตินแต่งงานมาได้สิบหกปีแล้ว
ถ้าอย่างนั้นตลอดระยะเวลาอันแสนยาวนาน เจ้านั่นขโมยทรัพย์สินของตระกูลไปเป็นของตัวเองมากขนาดไหนกันแน่
เธอส่ายหน้าไปมา ไม่อยากแม้แต่จะคิด
“และก็เวสติน ชูลส์ได้ส่งเทียบเชิญขอเข้าพบข้าครับ แจ้งว่ามีปัญหาที่อยากปรึกษากันครู่หนึ่ง”
“ไม่ใช่ว่าเขารู้ตัวแล้วหรือคะว่าเครย์ลีบันกำลังตามสืบเรื่องของเขาอยู่น่ะค่ะ”
“วันที่จัดงานเลี้ยงเขาได้เข้ามาถามข้าเองโดยตรง ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ”
“อืม…”
วางแผนอะไรอยู่นะ
ในสถานการณ์ที่เหมืองควรจะตกเป็นของอังเกนัสกลับถูกพวกเราแย่งชิงมา หากเป็นเรื่องที่อยากจะปรึกษา เธอก็พอจะคาดเดาได้อยู่บ้าง
“อ๊ะ! แล้วเรื่องอสังหาริมทรัพย์ล่ะคะ ช่วงนี้มีตึกรามบ้านช่องคูหาไหนที่เขาได้ครอบครองหรือเปล่า”
เธอนึกถึงคำพูดประโยคที่บอกว่าจัดหาบ้านให้ผู้หญิงคนนั้นมาอาศัยอยู่ขึ้นมาได้ ถึงได้ฝากให้เครย์ลีบันช่วยสืบเรื่องนี้ให้ด้วย
“มีบ้านหลังหนึ่งที่เคยเป็นของลอมบาร์เดีย แต่ถูกโอนย้ายไปเป็นทรัพย์สินของเวสตินชูลส์เมื่อประมาณครึ่งปีก่อนครับ แต่แปลกที่ไม่มีเอกสารเหลืออยู่เลย อาจจะไม่ได้โอนย้ายด้วยวิธีปกติครับ”
“แต่เรื่องแบบนั้นมันเป็นเรื่องที่ผู้รับผิดชอบฝ่ายอสังหาริมทรัพย์ของลอมบาร์เดีย เป็นคนจัดการดูแลไม่ใช่เหรอคะ…ใครกันแน่ที่…อา”
คนที่คอยจัดการดูแลด้านอสังหาริมทรัพย์ของลอมบาร์เดียไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเบเจอร์
“ดูเหมือนเบเจอร์เองก็พอจะรู้เรื่องพฤติกรรมของเวสตินอยู่บ้างในระดับหนึ่งสินะครับเนี่ย”
ไอ้โง่เง่านั่น
ถึงแม้จะพิสูจน์ไม่ได้ว่าเบเจอร์รู้ทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องที่เวสตินนอกใจด้วยหรือเปล่า แต่อย่างน้อยเธอก็นึกว่าเบเจอร์จะรู้บ้างว่าทรัพย์สินของลอมบาร์เดียเป็นสิ่งที่มีค่าขนาดไหน
“ก็นะ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง คงยอมทำมากกว่านั้นอีก หากเป็นเจ้านั่นละก็”
เครย์ลีบันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ
“ไอ้คนเฮงซวยนั่น…เพราะงั้นสินะถึงได้ว่ากันว่าพ่อยังไงลูกยังงั้น ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเลย”
ในชีวิตก่อน หลังจากขับไล่เธอออกไปจากตระกูล คนที่ได้รับหน้าที่ในการดูแลจัดการอสังหาริมทรัพย์ก็คือเบเลซักนั่นเอง
นิสัยมักง่ายที่ชอบเอาอสังหาริมทรัพย์ของลอมบาร์เดียไปแจกจ่ายให้คนใกล้ชิดอยู่บ่อยๆ นั่น คงจะถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อนั่นแหละ
“ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเหรอครับ…?”
“อ่า ไม่มีอะไรหรอกค่ะ งั้นก็ลองนัดพบเวสติน ชูลส์ดูสักครั้ง จะได้รู้ว่าเจ้านั่นต้องการจะคุยเรื่องอะไรกันแน่”
“ครับ ทราบแล้วครับ”
“แล้วถ้าหากเวสติน…”
เหตุผลที่เวสตินต้องการขอพบเครย์ลีบันมันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นเธอถึงได้บอกวิธีรับมือให้เครย์ลีบันได้รับรู้เอาไว้ล่วงหน้า เผื่อกรณีที่เป็นไปได้ว่าจะต้องรับมือแบบไหน หรืออีกฝ่ายใช้วิธีการใดบ้าง