“เข้ามาสิครับ คุณเวสติน”

 

“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะครับ คุณเครย์ลีบัน”

 

เวสติน ชูลส์มาเยือนสำนักงานของร้านค้าเพลเลส

 

จะมาเยือนมันก็ได้อยู่หรอก แต่นี่เพิ่งจะติดต่อมาได้ไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ

 

“ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ควรจะแวะมาหาสักครั้งแหละนะ”

 

เวสตินวางท่าพูดเหมือนตนเป็นคนสำคัญเสียเต็มประดา เขาพูดจาราวกับขอโทษขอโพยที่ตัวเองไม่ได้ใส่ใจแวะมาเยี่ยม

 

คิ้วเรียวได้รูปของเครย์ลีบันกระตุกเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น

 

ท่าทางจะยังประเมินสถานการณ์ไม่ออกสินะ

 

เครย์ลีบันหงุดหงิด เขาจ้องหน้าเวสติน ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมานั่งไขว่ห้าง ประสานมือไว้บนตัก และไม่ลืมที่จะกระตุกยิ้มมุมปากราวกับจะเย้ยหยันอีกฝ่าย

 

“ต่อให้มาก็อาจจะไม่ได้พบข้าก็ได้ครับ ข้าเองก็ยุ่งมากเสียจนไม่มีเวลาเผื่อให้คุณเวสตินหรอกครับ” หมายความว่า ข้าไม่มีเวลาว่างมากมาเจอเจ้าหรอก

 

เครย์ลีบันมองเห็นถุงใต้ตาของเวสตินกระตุกเล็กน้อย ทว่าเขาก็ยังคงพูดต่ออย่างไม่แยแส

 

“เพราะฉะนั้นวันนี้มาด้วยธุระอะไรหรือครับ”

 

“นี่มันช่างน่าเสียใจจริงๆ นะครับ พวกเราต้องมีธุระเท่านั้นถึงจะพบหน้ากันได้หรือ”

 

“ใช่ครับ”

 

เครย์ลีบันพูดเสียงห้วน

 

“พวกเราไม่ได้สนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว ขนาดที่จะมาพบหน้า นั่งดื่มชากันได้โดยไม่มีธุระไม่ใช่หรือครับ”

 

และสายตาเย็นชาของเครย์ลีบันก็กวาดไล่มองเวสตินตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าหนึ่งรอบ

 

สายตาตำหนิคนที่ทำตัวกร่างวางท่าเหมือนกับมาพบลูกน้องตัวเองที่ห้องทำงาน

 

เครย์ลีบันไม่ใช่ลูกจ้างของลอมบาร์เดียอีกต่อไปแล้ว

 

คนที่ต้องรู้สึกเสียดายก็คือเวสตินเองนั่นแหละ

 

เพราะตอนนี้เครย์ลีบันเป็นคนที่สามารถลุกขึ้นจากที่นั่ง ออกไปพบคนที่มีคุณค่าและมีความสำคัญกว่าเวสตินได้ทุกเมื่อ

 

“อะแฮ่ม”

 

เวสตินเองก็คงจะเริ่มสังเกตได้ เขาขยับแผ่นหลังที่พิงอยู่กับพนักโซฟา เปลี่ยนท่วงท่าเป็นยืดหลังนั่งตัวตรง

 

ตอนนั้นเองแรงกดดันของเครย์ลีบันถึงได้ค่อยอ่อนตัวลงบ้างเล็กน้อย

 

“เหตุผลที่ข้ามาหาในวันนี้…”

 

เวสตินเหลือบมองประตูที่ถูกปิดแน่นเป็นการตรวจสอบก่อนจะเริ่มเปิดปากพูดธุระของตัวเอง

 

“บัตรเชิญงานเลี้ยงเมื่อครั้งก่อนน่ะครับ”

 

“ครับ”

 

“เพราะเหตุใดถึงได้…”

 

“หากไม่พูดให้ชัดเจน ทางข้าก็คงจะตอบได้ลำบากนะครับ บัตรเชิญงานเลี้ยงเมื่อครั้งก่อนมีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือครับ”

 

“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น”

 

เวสตินพยายามยิ้มกลบเกลื่อนจนดูน่าสมเพช

 

“มีคนที่ไม่ควรได้รับบัตรเชิญจากร้านค้าเพลเลสอยู่ในงานเลี้ยง…”

 

“อ้อ คุณหนูมาเรีย แพทโทรน?”

 

ทันทีที่นามของชู้รักตัวเองดังออกจากปากเครย์ลีบัน ใบหน้าของเวสตินก็กระตุกเกร็งไปชั่วขณะ

 

หลังจากนั้นเวสตินก็พยายามฉีกยิ้มอีกครั้ง แต่มันไม่ใช่รอยยิ้มที่เหมือนกับก่อนหน้านี้

 

ทางด้านเครย์ลีบันเองก็ได้แต่รู้สึกชื่นชมในความสามารถของฟีเรนเทีย

 

ฟีเรนเทียได้แจ้งเขาเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าธุระของเวสตินน่าจะมีเพียงแค่สองเรื่องเท่านั้น

 

แล้วหนึ่งในสองเรื่องที่ว่าก็เป็นเรื่องที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่ในตอนนี้นั่นเอง

 

ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ของเครย์ลีบัน มีความประทับใจ ‘ว่าแล้วเชียว’ แฝงเอาไว้อยู่

 

“เฮ้อ…”

 

เวสตินยกมือขึ้นลูบใบหน้า

 

และใบหน้าที่เปิดเผยให้เห็นในตอนนี้ มันเป็นใบหน้าที่แตกต่างจากใบหน้าที่เครย์ลีบันเคยเห็นมาโดยตลอด

 

“ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

 

พอเก็บรอยยิ้มจอมปลอมออกไปจากใบหน้าหล่อเหลา สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแค่นัยน์ตาเป็นประกายเปี่ยมไปด้วยความโลภ

 

“ตอนนี้คำถามสำคัญไม่น่าจะใช่คำถามนั้นนะครับ”

 

“…ถ้าอย่างนั้นขอถามอีกครั้งก็แล้วกันครับ คิดอะไรอยู่กันแน่อยากเห็นชานาเนสรู้เรื่องทุกอย่างแล้วเป็นลมหมดสติไปด้วยความตกใจต่อหน้าผู้คนหรือครับ”

 

ช่างเป็นคำแก้ตัวที่ห่วยแตกเกินกว่าจะเป็นข้ออ้างของคนที่เป็นฝ่ายนอกใจเหลือเกิน

 

เป็นห่วงภริยาอย่างนั้นเหรอ

 

เครย์ลีบันหลุดหัวเราะด้วยความสมเพช

 

“เป็นแค่การเชื้อเชิญอย่างมิตรเท่านั้นเองครับ เห็นว่าคุณหนูแพทโทรนเองก็อยากมาร่วมงานเลี้ยงของร้านค้าเพลเลส เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้ไปเยือนเขตแดนชูลส์มา เห็นตำแหน่งที่ยืนในสังคมชั้นสูงที่นั่น ดูจะลำบากทีเดียวนะครับ”

 

เวสตินผงะ เพราะเพิ่งตระหนักได้ว่าเครย์ลีบันรู้เรื่องเกี่ยวกับมาเรียมากกว่าที่ตนคิด

 

“ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงของข้าที่ถือเป็นงานเลี้ยงติดอันดับในศตวรรษ ตอนนี้ก็คงแก้ปัญหาได้ราบรื่นมากทีเดียวเลยละครับ”

 

เป็นเรื่องจริง

 

มาเรีย แพทโทรนเริ่มสนิทสนมกับเหล่าคุณหนูตระกูลชั้นสูงที่ได้รู้จักกันที่นั่น และในตอนนี้นางก็ประสบความสำเร็จในการก้าวเท้าเข้าสู่แวดวงสังคมได้ในระดับหนึ่ง

 

“ข้านึกว่าจะได้รับคำขอบคุณเสียอีกนะครับ”

 

คำพูดของเครย์ลีบันทำให้หัวสมองของเวสตินเริ่มประมวลผลอย่างรวดเร็ว

 

ดูเหมือนว่าเครย์ลีบันจะเชิญมาเรียไปร่วมงานเลี้ยงด้วยความเห็นใจจริงๆ

 

ไม่มีสีหน้าตำหนิเรื่องที่ตนนอกใจชานาเนสเลยแม้แต่น้อย

 

เวสตินถามอย่างระมัดระวัง

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ส่งบัตรเชิญไปด้วยเจตนาดีจริงๆ หรือครับ”

 

“ยิ่งได้ทำงานในตระกูลลอมบาร์เดียนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เห็น ได้ยิน ได้รู้เรื่องอะไรมากมายเลยละครับ”

 

เครย์ลีบันพยักหน้าตอบ

 

“หลังจากที่ข้าทราบเรื่องเกี่ยวกับคุณหนูมาเรีย แพทโทรน ข้าก็ประเมินคุณเวสตินดีกว่าเดิมครับ”

 

“ประเมินดีกว่าเดิมอย่างนั้นหรือ…”

 

เครย์ลีบันสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามอดกลั้นไม่ให้เผลอแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกไป หลังจากนั้นจึงค่อยพูดประโยคที่เตรียมไว้

 

“จะบอกว่าพอใจก็ได้กระมังครับ”

 

ชั่วขณะเวสตินรู้สึกราวกับจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง

 

ว่าแล้วเชียว เครย์ลีบัน เจ้านี่ก็ดูถูกลอมบาร์เดียเหมือนกัน!

 

หมายความว่า ในบางมุมเจ้านี่เองมีนิสัยเหมือนกับตัวเขาคนนี้สินะ

 

ความกังวลของเวสตินคลายตัวลง ในตอนนั้นเขารู้สึกโล่งใจเหลือเกิน

 

“ใช่ ใช่แล้วละไอ้พวกลอมบาร์เดียมันไม่ใช่คนที่พวกเราจะทนอยู่ด้วยได้นานอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะครับ”

 

พอเห็นว่าเครย์ลีบันเองก็ดูจะเกลียดชังลอมบาร์เดียไม่ต่างจากตัวเอง เวสตินก็ไม่คิดเก็บงำคำพูดคำจาอีกต่อไป

 

“เพราะแบบนั้นคุณเครย์ลีบันถึงได้แยกตัวออกมาหรือครับ”

 

“ก็…จะมองแบบนั้นก็ได้อยู่ครับ”

 

“ฮ่าฮ่า! เลือกได้ฉลาดมากแล้วละครับ! น่าอิจฉาจริงๆ! ”

 

เวสตินสะบัดหน้าไปมาพลางหัวเราะเสียงดัง

 

“ทั้งเรื่องเหมืองแร่ลีลาร์เมื่อครั้งก่อนก็ด้วย เป็นคนมีความสามารถจริงๆ เลยนะครับเนี่ย!”

 

“ขอบคุณที่ชมครับ”

 

“ถ้าอย่างนั้นเรื่องอื่นๆ ก็คงจะง่ายหน่อย ค่อยเบาใจหน่อยครับ”

 

“…พูดมาตามสบายเถอะครับ”

 

เครย์ลีบันพูดกระตุ้นอีกฝ่าย